หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป
ฉันเดินเข้าบริษัทตามเคย แต่เพราะหลายวันมานี้ ฉันนอนไม่ค่อยหลับ นอกจากพวกผีตามทางจะคอยแวะเวียนมาหาแล้ว เรื่องเมื่อหนึ่งสัปดาห์ก่อนก็ยังตามมากวนใจเสมอ ฉันสลัดดวงตาดุดันนั้นไม่ออกเลย ราวกับมันเป็นรอยประทับที่เมื่อเห็นเพียงครั้งก็จะจดจำไปจนตายซะอย่างนั้น
“อั่ก...” เป็นเพราะฉันเหม่อ ขณะที่จะเดินไปยังห้องของท่านประธาน ทำให้เดินชนใครสักคนอย่างจัง ให้ตายเถอะต้องเรียกสติตัวเองให้กลับมาหน่อยแล้ว
“ขอโทษทีค่ะ เป็นฉันไม่ระวังเอง” ฉันหันไปสบตาก่อนที่จะเอื้อมมือไปช่วยเขา แต่ไม่รู้เพราะใบหน้าของฉันที่มันดูตาขวาง ดุดัน แถมไม่ได้นอน ทำให้คนตรงหน้าตกใจตื่นกลัวจนตัวสั่น พูดจาฟังไม่รู้เรื่อง
“ผมไม่ได้เป็นอะไรครับ ผมผิดเองที่เดินชนผู้จัดการ”
“หืม...เรียกฉันว่าผู้จัดการแบบนี้ แสดงว่าพนักงานใหม่สินะ”
“ครับ” ชายตรงหน้ายืนสำรวมก้มหน้า กุมมือตัวสั่นงึก ๆ ดูท่าฝ่ายอบรมคงเอาฉันไปพูดอะไรไม่เข้าท่าให้คนตื่นกลัวแบบนี้อีกแล้วนะสิ เอาซะตอนนี้คนทั้งบริษัทที่อยู่ใต้อำนาจมองฉันเป็นนางยักษ์นางมารกันหมดแล้ว
ไม่นานเลขาของไอ้กรณ์ ก็เดินผ่านเข้ามาพอดี เมื่อเธอเห็นฉันประจันหน้าเด็กใหม่ก็แลดูตกใจจนต้องเข้ามาไกล่เกลี่ย
“เกิดอะไรขึ้นคะ คุณฟ้า”
“ไม่มีอะไร แค่เดินชนกัน” เลขาได้ยินดังนั้นก็หันไปขึ้นเสียงกับพนักงานใหม่
“นายเดินชน คุณฟ้าเหรอ ขอโทษรึยัง”
“ใจเย็น ๆ ฉันเป็นฝ่ายเดินชนเขาเอง ไม่มีอะไรหรอก กลับไปทำงานเถอะ”ฉันหันไปพูดกับพนักงานใหม่ก่อนจะหันกลับมาพูดกับเลขาของไอ้กรณ์มัน “ว่าแต่กรณ์มาทำงานรึยัง”
“ท่านประธาน มาแล้วค่ะคุณฟ้า”
“ฉันมีเรื่องต้องปรึกษากับกรณ์ เธอช่วยชงกาแฟเข้ามาให้ฉันด้วยได้มั้ย”
“ได้ค่ะ คุณฟ้า”
“ขอบใจมากนะ” ฉันตบไหล่เธอเบา ๆ ก่อนจะตรงไปยังห้องประธานของตึกนี้ ชั้นบนสุดอย่างเคย
ณ.ห้องประธานบริษัท
“ทำไมมาหาแต่เช้า ฉันยังไม่ได้เรียกซะหน่อย” ไอ้กรณ์ที่กำลังหัวหมุนกับเอกสารกองโตตรงหน้า
“ฉันจะมาถามว่า ไอ้โครงการนั่นที่เรายื่นเสนอไปมีข่าวคราวคืบหน้าจากทางกลุ่มนักลงทุนนั่นรึเปล่า” ฉันพูดพลางหย่อนตัวลงบนโซฟาด้านข้าง ก่อนที่เลขาของกรณ์จะนำกาแฟร้อนมาให้
“ยังเลย ไม่มีอะไรคืบหน้าสักนิดดูท่าบริษัทเราคงไม่ถูกเลือกให้รับโครงการนี้แล้วล่ะ” กรณ์ละสายตาจากเอกสารเท้าคางมองฉันอย่างหมดอาลัยตายอยาก
“เฮ้อ...เอานา..บริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งนั้นที่ยื่นเสนอตัวทำโครงการ แค่เห็นชื่อบริษัทก็คงปัดเอกสารเราทิ้งแหละ” ฉันเองก็รู้สึกหงุดหงิดเหมือนกัน การที่ต้องยื่นเสนอแผนโครงการ แต่กลับไม่ได้แม้แต่จะอธิบายมันจะไปสำเร็จได้ยังไง เสียดายชะมัด
“โอ๊ย เงินพันล้านของกู เวรเอ้ย” หึ...ซีอีโอ อย่างไอ้กรณ์หัวร้อนออกมาต่อหน้าฉัน อย่างไม่ปิดบัง ภาพลักษณ์แบบนี้ ทั้งบริษัทก็มีแต่ฉันนี่แหละที่ได้เห็นมัน
“ช่างเถอะ งานในมือของเราก็ล้นอยู่แล้ว ไว้โอกาสหน้าค่อยว่ากันใหม่”
“แต่นั่นพันล้านเชียวนะ งานที่เรามีอยู่รวมกันยังไม่ถึงเลย” กรณ์หน้าค้อนใส่ฉัน ก็รู้ว่าเสียดายแต่จะทำไงได้
“อย่าโลภเลยมึง บริษัทของแกเพิ่งก่อตั้งแยกจากบริษัทพ่อมึงมาไม่นาน เติบโตเกินตัวมันจะลำบากเอาได้นะ มีกูอยู่เดี๋ยวไว้จะไปหาดีลโครงการดี ๆ มาให้อีก” ฉันพูดพลางจิบกาแฟไป
“เฮ้อ บริษัทฉันถ้าขาดมึงไปคงแย่แน่ว่ะ อย่าทิ้งกันนะเว้ย” ไอ้กรณ์พูดพลางจ้องมองส่งสายตาน่าสงสาร ตลกเว่อร์
“ฮ่า....จะทิ้งได้ไง ร่วมหัวจมท้ายกันมาขนาดนี้”
“มึงพูดแบบนี้กูก็สบายใจ ถ้าไม่มีมึง พ่อกูก็คงไม่ยอมปล่อยให้มานั่งบริหารเองแบบนี้หรอก”
“เอาล่ะ ในเมื่อมันไม่คืบหน้ากูขอตัวไปจัดการงานอื่น ๆ ต่อก่อน” ฉันที่กำลังจะลุกจากโซฟา จู่ ๆ เสียงโทรศัพท์ของกรณ์ก็ดังขึ้น น่าจะเป็นการโอนสายมาจากเลขาของมันเอง
“สวัสดีครับ”
(...)
“ใช่ครับ”
(...)
“อะไรนะครับ” จู่ ๆ ไอ้กรณ์ก็ลุกขึ้นพรวด ใบหน้าเบิกตาโพลงราวกับได้ยินสิ่งที่ตกใจจนเก็บสีหน้าไว้ไม่ได้ มันจ้องมาที่ฉัน จากใบหน้าแน่นิ่ง ตอนนี้เรียวปากของไอ้กรณ์ก็ค่อย ๆ ปรากฏเป็นรอยยิ้มขึ้นมา
(...)
“ได้ครับ ทางเรารู้สึกเป็นเกียรติอย่างมากที่จะได้ไปเยี่ยมชม”
(...)
“ได้ครับ ขอบคุณมากครับ ผมจะไปตามวันเวลาที่กำหนดแน่นอนครับ”
สิ้นการสนทนาไอ้กรณ์ยืนตัวแข็งทื่อก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งเก้าอี้ไปทั้งอย่างนั้น
“เป็นอะไรไปมึง ใครโทรมา ทำหน้าอารมณ์ดีเชียว” ฉันถามเพราะดูสภาพตอนนี้ของไอ้กรณ์แล้วเหมือนคนสติเลอะเลือน แถมตอนนี้ยังเงยหน้า เอามือปิดตาอีกก่อนจะหัวเราะออกมาลั่น นี่มันไอ้กรณ์จริง ๆ เหรอเนี่ย
“ฮ่ะ...ฮ่ะ...ฮ่า...” เสียงหัวเราะที่ฟังแล้วขนลุกแปลก ๆ
“เห้ย อย่าทำให้งงดิ เกิดอะไรขึ้น”
“ฟ้าคราม พวกเราจะรวยแล้วเว้ย”
“รวย? ที่เป็นอยู่ยังรวยไม่พอเหรอ”
“ไม่ ๆ ฉันหมายถึงบริษัทเรากำลังจะทำกำไรสูงสุดแล้วเว้ย”
“กำไร เดี๋ยวนะหรือว่าที่โทรมาเมื่อกี้ คือ...”
“ใช่ พวกเราทำได้เขาเลือกบริษัทเราเป็นส่วนหนึ่งของโครงการยักษ์ใหญ่นี่แล้ว”
ฉันที่นั่งฟังอยู่ ก็รู้สึกดีใจไปด้วย เงินพันล้านท่องไว้ พันล้านมันมากองอยู่ตรงหน้าบริษัทเราแล้วจริง ๆ เหรอเนี่ย ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเขาจะเลือกบริษัทขนาดกลางแบบนี้
“ไม่อยากจะเชื่อ” ฉันที่กำลังจะลุกออกไปสุดท้ายก็หย่อนตัวนั่งลงโซฟาตามเดิม
“อีก 3 วันเตรียมตัวเลยนะ เราสองคนต้องออกเดินทางไปยังเกาะที่ตั้งของโรงแรมนั่น ดูเหมือนจะได้นอนค้างด้วยราว 3 วัน 2 คืน”
“เร็วขนาดนั้นเลยเหรอ กูไม่จำเป็นต้องไปก็ได้มั้ง”
“ไม่ แกต้องไป ทางโน้นแจ้งว่าต้องเป็นคนที่ไปโรงแรมวันก่อนด้วยเท่านั้น”
“แปลกแหะ แต่ไปก็ได้ 3 วันใช่มั้ย กูจะได้เตรียมเอกสารให้พร้อมเผื่อรับมือด้วย”
“มีเพื่อนเก่งนี่มันดีจริง ๆ”
“มึงก็ด้วย ไปจัดการงานกองโตซะ ถ้าเราได้งานนี้ขึ้นมา ดูท่าต้องทุ่มให้กับงานนี้หลายเดือนแน่” เราสองคนคุยกันไปยิ้มกันไปด้วยความอารมณ์ดี ตามประสาคนกำลังจะรวยเป็นกอบเป็นกำ (รวยอยู่แล้ว แต่รวยขึ้นไปอีกไงล่ะ อิอิ)
31- ความเป็น ความตาย–“ช่วยด้วย......” ร่างของฉันกระตุกดีดตัวขึ้นร้องเสียงดังไปทั่วห้อง ดวงตาบวมเป่งจากการร้องไห้อย่างหนัก ใบหน้าผุดเหงื่อจากอาการหวาดผวา ฉันหอบหายใจรัวระรินราวกับขาดอากาศหายใจเจียนตาย นั่นมันไม่ใช่ความฝันหรอก แต่สถานที่แห่งนั้นคือเส้นแบ่งระหว่างความเป็นกับความตาย ฉันนึกว่าฉันจะไม่รอดกลับมาในโลกคนเป็นซะแล้ว พอคิดแบบนั้นก็พาลทำให้รู้สึกแย่แทบบ้าแล้วอะไรที่ทำให้ฉันกลับมาได้กันนะ นั่นคือสิ่งที่สมองฉันกำลังคิด“เป็นอะไร ฝันร้ายเหรอครับ” เสียงเข้มดังขึ้นนั่นจึงทำให้ฉันหลุดจากภวังค์เหม่อลอย ฉันเพิ่งจะรู้ตัวว่า มือของฉันถูกกุมไว้ด้วยมือหนาตั้งแต่ต้น และเขาเองก็นอนอยู่ข้าง ๆ ฉันมาตลอด เพียงฉันหันหน้าไปมองเขาความกลัวจนอกสั่นขวัญแขวนก็พลอยรู้สึกปลอดภัยขึ้นเขาละมือหนาออกจากมือฉันก่อนจะดึงฉันเข้าสวมกอดพลางลูบหัวอย่างอ่อนโยน“ฝันร้ายเหรอครับ ไม่เป็นไรผมอยู่ตรงนี้ตลอด คุณจะไม่เป็นไร คุณฟ้า” เพียงคำพูดของเขาเปล่งออกมา นั่นก็ทำให้ฉันร้องไห้ขึ้นอีกครั้ง มันไม่ใช่น้ำตาแห่งความกลัว หรือ เสียใจ แต่มันเป็นน้ำตาแห่งความรู้สึกดี อบอุ่นซาบซึ้งใจจนเอ่อล้นสองมือของฉัน โอบกอดเอวของเขาก่อนจะซ
30- รู้ว่าเสี่ยง...แต่คงต้องขอลอง –ฉันคว้ากระเป๋าเดินออกจากห้องพลางมองนาฬิกาข้อมือ“21.00 น. ยังพอมีเวลา น่าจะได้ความคืบหน้าอะไรมาสักหน่อยล่ะนะ” ฉันเดินตรงดิ่งผ่านตึก B ซึ่งฉันมีบัตรผ่านอยู่เพราะเป็นผู้ร่วมดูแลความรับผิดชอบ แต่เมื่อไปเกือบถึงตึก C ฉันก็ต้องค่อย ๆ ลัดเลาะมองซ้ายขวาเพื่อไม่ให้ใครสังเกตเห็น ขืนมีคนมาเห็นเข้ามีหวังโดนมองเป็นผู้ต้องสงสัยไปอีกคนฉันเดินมาจนถึงทางเข้าตึก C ทางหนึ่งซึ่งไม่ใช่ทางหลัก พยายามยืนนิ่ง ๆ ก่อนที่ผีคุณปานจะปรากฏ“คุณปานว่าไงคะ ได้คุยกับวิญญานตนนั้นรึยัง” ฉันหันไปพูดกับผีคุณปานที่ตอนนี้ลอยอยู่ใกล้ ๆ ฉัน‘ค่ะ แต่ เขา ยัง เอา แต่ เสีย สติ เพราะ บ่วง ห่วง อยู่ ค่ะ ไม่ ต่าง จาก ปาน’ ผีคุณปานพูดด้วยความหดหู่ ทั้งที่เรื่องเขาเองก็น่าหดหู่อยู่แล้ว“คุณปานช่วยทำยังไงก็ได้ให้เขามาตรงนี้ได้มั้ยคะ คือฟ้าเข้าไปด้านในไม่ได้จริง ๆ มันอันตรายเกินไป” ฉันทำหน้าวิงวอนผีคุณปาน ซึ่งเธอก็พยักหน้ารับก่อนจะหายวับไปอีกครั้งฉันเดินไปมาเงียบ ๆ พลางก้มมองดูนาฬิกา ด้วยใจตุ๊ม ๆ ต่อม ๆ เพราะไม่อยากอยู่นานกลัวถูกจับได้ฉันกัดนิ้วหัวแม่โป้งด้วยความกังวลจนเป็นรอย ไม่นานผีคุณปานก
29- คดีอุบัติเหตุ หรือ ฆาตกรรม –หลังว่าสาย ไม่มีคำพูดใด ๆ ของพวกเรา ต่างคนต่างรีบจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่ เก็บของสำคัญลงกระเป๋าก่อนจะรีบวิ่งแจ้นออกจากบ้านไปที่รถยนต์ที่จอดอยู่หน้าบ้านทันที‘บรืน............’ รถของพวกเรามุ่งหน้าไปทางท่าเรืออย่างเร่งด่วนตอนนี้ ไม่มีเวลาแม้แต่จะสนใจกัน ใบหน้าของคนขับรถเข้มดุ คิ้วขมวด กัดริมฝีปากบ่งบอกถึงความไม่สบอารมณ์ส่วนฉันเองก็ตกใจไม่แพ้กัน เมื่อปลายสายที่โทรเข้ามาคือไอ้กรณ์ มันโทรมาเพื่อจะถามข่าวเกี่ยวกับศพบนโรงแรมที่กำลังเป็นข่าวไปทั่วเมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อน แต่เพราะฉันไม่ได้อยู่ที่นั่น เลยให้คำตอบมันไม่ได้ฉันก็ต้องตื่นตระหนกอยู่แล้ว เพราะทำงานที่นั่น แต่คนที่ควรจะเครียดมากกว่าฉัน มันก็ต้องเป็นคนข้าง ๆ อย่างเขาเนี่ยแหละ เพราะโรงแรมแห่งนี้ยังไม่ทันจะเปิดให้บริการแต่กลับมีศพบนเกาะแน่นอนว่าถ้าข่าวสะพัดไปเป็นวงกว้าง ผลกระทบที่ตามมามันมากมายแน่นอนเรามาถึงท่าเรือ และเลือกที่จะนั่งสปีดโบ๊ทเพราะต้องการไปถึงเกาะให้เร็วที่สุด เมื่อเรือเทียบท่า คุณเอ็ดเวิร์ดก็เดินเข้มเข้าไปในโรงแรมทันทีพร้อมกับเรียกประชุมด่วนของพนักงานในบริษัท (ก็ไม่ได้เกี่ยวกับฉันล่ะนะ)ฉันเด
28- อยากรักต้องกล้าหน่อย –เช้าวันใหม่ฉันตื่นขึ้นมาหาววอด ๆ พลางกะพริบตาถี่ ๆ เพื่อค่อย ๆ รับแสง อาทิตย์ที่สาดเข้ามาผ่านกระจกระเบียงพอสร่างเมาแล้วความคิดต่าง ๆ ก็ถาโถมเข้ามาในสมองไม่หยุดไม่หย่อนฉันรู้ว่าตัวฉันไม่สามารถจะโหวกเหวกโวยวายได้ เพราะเวลาฉันเมาแล้วนั้น มันมักจะลืมตัวทำอะไรในแบบที่ปกติฉันไม่มีทางทำแน่ ๆแต่มันมีอะไรบางอย่างที่ทำให้ฉันหงุดหงิดทุกทีจริงๆ ขนาดฉันปล่อยเนื้อปล่อยตัวขนาดนี้ เขาแค่นอนทื่อ ๆ สวมกอดฉันก็เท่านั้น พาลทำให้หงุดหงิดอะไรก็ไม่รู้ จนตอนนี้อยากจะลุกขึ้นออกไปสูดอากาศให้รู้สึกหัวโล่งซะหน่อยเพียงที่ฉันคิดจะลุกขึ้น ฉันก็รู้สึกว่าร่างของฉันถูกพันธนาการด้วยสองแขนแกร่งแน่น ใบหน้าของเขาอยู่ไม่ห่างจากใบหน้าฉันมากนัก มันสามารถมองชัดจนเห็นขนตางอนของเขาที่รับกับใบหน้าได้เลยฉันจึงไม่พยายามขยับอีกเพราะกลัวเขาตื่น แต่กลับจ้องมองเขาด้วยความถวิลหา อิฟ้ามันก็ผู้หญิงคนหนึ่ง ผู้ชายหล่อมาก ๆ ก็ค่อนไปทางสเปกแถมอยู่ห่างไม่ถึงคืบจะไม่ให้หวั่นไหวได้ไงอ่ะพวกแก“คุณฟ้า จะจ้องผมนานมั้ยครับ” เสียงเข้มแหบพร่า เพราะว่าเพิ่งตื่นนอนเอ่ยขึ้น แต่ดวงตาของเขาก็ไม่ได้เปิดออกแต่อย่างใด“ฉันไม่
27- ความสัมพันธ์ที่คลุมเครือ(2) –ฉันพูดออกไป พลางเกยคางสะอื้นเบา ๆ เงียบ ๆ แบบนั้น เรี่ยวแรงหายหมด ทั้งยังปวดหัวตึก ตึก เป็นระยะ“คุณฟ้า...” เสียงเขาเรียกฉัน นั่นทำให้ฉันขยับใบหน้าเอียงมองเขาด้วยสายตามที่พริ้มด้วยอาการที่ยังมึนเมาค้างอยู่“คะ???”“ผมบอกคุณว่าวันนี้ไม่ต้องมาห้องผม แต่ผมไม่ได้บอกให้คุณออกมาเที่ยวนะครับ”“ละ..แล้วทำไมฉันจะออกมาเที่ยวไม่ได้ละคะ”“ก็คุณฟ้า พึ่งจะไม่สบายมานะครับ ผมก็เลยไม่ให้คุณมาห้องผม”“ไม่ใช่ว่าวันนี้ คุณต้องนอนกับผู้หญิงคนนั้นเหรอคะ” ฉันเอ่ย หน้าเอียงคอถามเขา“ผู้หญิงคนนั้น?? คนไหน” เขาเอ่ยเสียงทุ้มเข้มมองหน้าฉันคิ้วขมวด เหอะ.... คงเยอะจนไม่รู้ว่าใครเป็นใครล่ะสิ“ก็คนสวย ๆ ในห้องทำงานของคุณเอ็ดเวิร์ดไงคะ ทำเป็นจำไม่ได้ ออกจะทอดสายตาหวานซึ้งขนาดนั้น” ฉันพูดพลางเบือนหน้าเกยบ่าเขาไป เพราะจู่ ๆ ก็รู้สึกหงุดหงิดทุกทีที่คิดถึงผู้หญิงคนนั้นของเขา“หึ... นี่คุณหึงผมเหรอคุณฟ้า” เพียงคำนั้นของเขาทำให้ฉันสะดุ้งมองหน้าเขาอย่างลนลาน“จะเป็นแบบนั้นได้ยังไงคะ ใคร..ใครหึงคุณกัน คุณจะนอนกับใครอะไรที่ไหนก็เรื่องของคุณเอ็ดเวิร์ดอยู่แล้ว ฉันเป็นแค่ลูกจ้าง ไม่ใช่ผู้หญิง
26- ความสัมพันธ์ที่คลุมเครือ(1) –เขาอุ้มฉันจะออกมาด้านนอก จวบจนเดินมาถึงรถยนต์ของเขา ความรู้สึกอึดอัดพาลให้ฉันหายใจโล่งขึ้น ใบหน้าของเขาพลันปรากฏต่อสายตาฉันชัดเจน และใกล้จนเขาน่าจะสามารถรับรู้การหายใจถี่ ๆ ขอฉันได้ ทำไมนะเหรอ ก็หัวใจเจ้ากรรมดันเต้นแรงตึกตัก ไม่รู้เพราะเมาเหล้า หรือเมารักแต่ถึงยังไงฉันก็ไม่อยากไปกับเขาหรอก พอคิดว่าเขาไม่ได้เป็นอะไรกับฉัน แถมเขาก็เพิ่งจะแยกกับผู้หญิงคนนั้นมา พาลทำให้ฉันอารมณ์เสียถ้าเขาจะงุนงง ว่าฉันเป็นบ้าอะไรคงไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะฉันก็ไม่รู้ตัวเหมือนกันว่าเป็นบ้าอะไร เรื่องงานฉันอาจจะเก่ง คิด วิเคราะห์ แยกแยะ แต่กับเรื่องความรักฉันไม่สันทัดจริง ๆ“คุณจะปล่อยฉันได้รึยัง” เพียงฉันพูดออกมา เขาก็คลายแขนปล่อยให้ฉันลง ฉันหันไปคว้ากระเป๋าใบเล็กของฉันที่เขาถืออยู่ก่อนจะหันหลังเดินออกไปดุ่ม ๆ มุ่งไปทางออกถนนใหญ่แบบไม่พูดอะไรถึงท่าเดินที่ไม่เป็นเส้นตรง แถมสายตาก็เบลอ ๆ ก็ไม่ทำให้ฉันกลับไปกับเขาหรอก“นั่น.... คุณจะไปไหน” เสียงของคุณเอ็ดเวิร์ดพูดตามหลังฉัน“กลับบ้าน....สิ” ฉันหันไปมองเขาพร้อมกับพูดไปแบบนั้นก่อนจะหันเดินต่อเพื่อออกไปยังถนนใหญ่“ผมบอกให้คุณ