เริ่มต้นจากภาพและจังหวะที่จัดวางอย่างตั้งใจใน 'คือเธอ' ตอนที่ 6 ทำให้ฉันรู้สึกได้ทันทีว่าผลงานชิ้นนี้ตั้งใจจะเล่นกับความทรงจำและความเงียบมากกว่าแค่บทสนทนา การตัดต่อที่สลับระหว่างภาพใกล้ใบหน้าและมุมกว้างของเมืองสร้างบรรยากาศแบบนิ่ง ๆ ที่เต็มไปด้วยสิ่งที่ไม่ถูกพูดตรง ๆ ซึ่งในมุมมองของฉัน แรงบันดาลใจตรงนี้มาจากงานภาพยนตร์อินดี้และนวนิยายวัยรุ่นหลายเรื่องที่เน้นการสื่อสารผ่านสัญลักษณ์ ความสัมพันธ์ และรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ของชีวิตประจำวัน แทนที่จะชูเหตุการณ์ใหญ่โตเพียงอย่างเดียว
ฉากสวย ๆ ที่ใช้สีและแสงแบบเฉพาะเจาะจงทำให้ฉันนึกถึงสีพาเลตของผู้กำกับที่ชอบใช้โทนอบอุ่นปนเหงาอย่างหนังบางเรื่องของผู้กำกับต่างประเทศ แต่ยังมีความเป็นเอเชียสมัยใหม่ผสมอยู่ด้วย ส่วนการหยิบเอาการเล่าเรื่องแบบกระโดดข้ามเวลาเล็กน้อยหรือการชอบใช้ภาพความทรงจำย้อนกลับมาเป็นโมทีฟ ก็มีกลิ่นของงานที่เล่นกับความทรงจำอย่าง '
eternal sunshine of the Spotless Mind' และงานที่เน้นบทสนทนาสร้างความใกล้ชิดแบบ 'Before Sunrise' ซึ่งทั้งหมดนี้ถูกตีความใหม่ผ่านมุมมองคนทำงานไทย ทำให้ได้ทั้งความคุ้นเคยและความแปลกใหม่
นอกจากอิทธิพลจากภาพยนตร์และ
วรรณกรรมแล้ว ฉากในเมือง ถนนในยามค่ำคืน และการใช้เสียงรอบข้างก็บ่งบอกถึงแรงบันดาลใจจากชีวิตจริงของเมืองใหญ่—ความเหงา ความคึกคัก ความสัมพันธ์แบบผ่านหน้าจอ สื่อสังคม และเพลงอินดี้ที่เน้นเมโลดี้เรียบ ๆ
บทเพลงประกอบที่เลือกใช้ในตอนนี้ช่วยขับอารมณ์ให้ความเงียบมีเสียง และทำให้การกระทำเล็ก ๆ ของตัวละครมีน้ำหนักมากขึ้น อีกส่วนที่ฉันคิดว่าเป็นแรงบันดาลใจคือการละครเวทีหรือการเล่าเรื่องเชิงทดลอง ที่ชอบท้าทายโครงสร้างเวลาและมุมมองของผู้ชม ทำให้บรรยากาศการดูเปลี่ยนจากการตามรอยเหตุการณ์เป็นการสัมผัสความรู้สึก
มุมมองส่วนตัวแล้ว ฉันชอบการนำองค์ประกอบหลาย ๆ อย่างมาผสมกันจนเกิดเป็นโทนเดียวที่ชัดเจนในตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นการจัดเฟรมที่ใส่ใจรายละเอียด การเลือกเพลงประกอบที่เรียบง่ายแต่กินใจ และการให้พื้นที่การสื่อสารในระดับสายตาและสัมผัสเล็ก ๆ ระหว่างตัวละคร ทำให้ตอนที่ 6 ของ 'คือเธอ' เป็นฉากที่เหมือนการอ่านจดหมายเก่า ๆ ที่เต็มไปด้วยเรื่องไม่พูดถึง — นั่นแหละคือสิ่งที่ทำให้ฉันหลงรักฉากนี้มาก