หลังจากออกจากงานเลี้ยงแล้วเฉียวซื่อก็พาคุณหนูทั้งสามของจวนผิงกั๋วกงไปเที่ยวชมเทศกาลหยวนเซียวที่จัดขึ้นในตลาดทิศใต้ ผู้คนมากมายโคมไฟหลากสีไม่เพียงทำให้เด็กสาวทั้งสามตื่นตาตื่นใจ แม้แต่ตัวนางเองก็พลอยตื่นเต้นไปด้วย นานมากแล้วที่ตัวนางไม่ได้ออกมาเดินเที่ยวในเทศกาลเช่นนี้ ยิ่งการได้มากับเด็กสาวทั้งสามก็เหมือนตนเองพลอยได้ถือโอกาสออกมาเดินเที่ยวกับเด็กๆ ด้วย
“ท่านแม่ท่านดูโคมร้านนั้นสิเจ้าคะ แม้ว่าจะไม่งดงามและประณีตเทียบเท่าโคมในวัง แต่ลวดลายและรูปแบบกลับแปลกตาเป็นอย่างมาก” เมื่อเฉินเจียวเจียวเอ่ยเช่นนี้เฉินเจียวมี่ที่เกาะแขนเฉียวซื่ออยู่ก็เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงออดอ้อน
“ท่านป้าสะใภ้ข้าอยากได้โคมไฟอันนั้นเจ้าค่ะ” เฉียวซื้อก้มมองเฉินเจียวมี่ด้วยความเอ็นดู
“ได้สิวันนี้เจ้าทำได้ดีมาก เช่นนั้นป้าจะซื้อให้เจ้าก็แล้วกัน”
“แต่ท่านแม่เจ้าคะ ข้าเห็นก่อนนางนะเจ้าคะ” เมื่อเฉินเจียวเจียวเอ่ยเช่นนี้เฉียวซื่อก็หัวเราะออกมา
“ในร้านย่อมต้องมีโคมเช่นนี้อีกเป็นแน่ หากไม่มีเจ้าก็ต้องยอมเสียสละให้น้องสามของเจ้าแล้ว ถึงอย่างไรวันนี้คนที่ช่วยทำให้เจ้าหักหน้าผู้อื่นได้ก็คือน้องสามของเจ้านะ” เฉียวซื่อเอ่ยพลางเดินตรงไปยังร้านขายโคมไฟที่ทั้งเฉินเจียวเจียวและเฉินเจียวมี่หมายตาเอาไว้ โชคดีที่ภายในร้านยังมีโคมไฟที่เหมือนกันอีกหนึ่งโคม เด็กสาวทั้งสองจึงแบ่งกันถือคนละโคม
“ให้บ่าวช่วยถือให้นะเจ้าคะ” ตงจื้อเอ่ยพลางยื่นมือไปจะช่วยถือโคมไฟให้เด็กสาวทั้งสอง
“ไม่ต้องหรอกข้าอยากถือด้วยตนเอง” เมื่อเฉินเจียวเจียวเอ่ยเช่นนี้เฉินเจียวมี่ก็ดึงโคมไฟของตนเองมาถือเอาไว้เช่นเดียวกัน
“ของข้างดงามกว่า” เมื่อนางเอ่ยเช่นนี้เฉินเจียวเจียวก็หัวเราะออกมา
“ได้! ของเจ้างามกว่าของข้าก็ได้” เฉินเจียวเจียวเอ่ยพลางชูโคมไฟที่เหมือนกันทั้งรูปแบบและลวดลายให้น้องสาวดูด้วยสีหน้าขบขัน
“เจ้าไม่ซื้อบ้างหรือ เลือกโคมที่เจ้าชอบมาสักโคมเถิดป้าสะใภ้จะซื้อให้เจ้าเอง” เฉียวซื่อหันไปถามเฉินเจียวเหม่ยด้วยสีหน้าอ่อนโยน
“ไม่เจ้าคะ ข้าไม่ได้ชื่นชอบของเช่นนี้เท่าใดนักเจ้าค่ะ” เฉินเจียวเหม่ยเอ่ยพลางส่ายหน้า ซึ่งเฉียวซื่อก็ไม่ได้เอ่ยอันใดออกมา นางซื้อให้ตนเองหนึ่งโคมและยังเลือกอีกโคมให้สาวใช้ของเฉินเจียวเหม่ยถือเอาไว้ พร้อมกับมอบเงินจำนวนหนึ่งให้บรรดาสาวใช้ไปเลือกซื้อโคมที่ตนเองถูกใจ เพื่อจะได้ไปปล่อยโคมกันบริเวณริมแม่น้ำเหอ ที่ยามนี้ผู้คนเริ่มบางตามากแล้ว
แม้ว่าผู้คนจะบางตาแต่ก็มีหลายคนที่คิดเหมือนกันกับพวกนาง คนที่ออกจากงานเลี้ยงภายในวังย่อมไม่พลาดที่จะมาร่วมหาความสำราญภายในงานเทศกาลแห่งนี้ จ้าวซีอินเองก็เช่นกันนางถูกทั้งบิดาและมารดาตำหนิจึงไม่อยากจะกลับจวน ใช้ความดื้อดึงลักลอบติดตามพี่ชายของนางออกมาเที่ยวที่งานเทศกาลแห่งนี้ด้วย
“นั่นมิใช่คุณหนูทั้งสามของจวนผิงกั๋วกงหรือ” จ้าวซีเฉิงพี่ชายคนโตของนางชี้ให้นางดูว่ายามนี้อริของนางกำลังเดินเล่นกันอยู่บริเวณริมแม่น้ำ จ้าวซีอินมองด้วยความแค้นใจแล้วก็เอ่ยกับพี่ชายด้วยน้ำเสียงประสงค์ร้าย
“ข้าจำได้ว่าเป็นเพราะคราวที่แล้วเป็นเพราะท่านพี่ช่วยเหลือคุณหนูสกุลจี้เอาไว้ท่านจึงจำใจต้องรับนางมาเป็นภรรยา เช่นนั้นหากข้าอยากจะจับคู่ให้ใครสักคนก็แค่ผลักนางให้ตกน้ำแล้วหาคนไปช่วยนางก็ได้แล้วกระมัง” เมื่อจ้าวซีอินเอ่ยเช่นนี้จ้าวซีเฉิงก็เอ่ยออกมาอย่างรู้ทัน
“เจ้าอยากจับคู่คุณหนูจวนผิงกั๋วกงกับผู้ใดหรือ”
“ย่อมจะต้องเป็นจอมเสเพลอันดับหนึ่งของเมืองหลวง เจ้าหนุ่มสกุลอู๋ผู้นั้นอย่างไรเล่าเจ้าคะ” จ้าวซีอินเอ่ยพลางชี้ไปยังอู๋มู่จือที่ยามนี้กำลังเดินติดตามเกี้ยวสตรีตรงริมฝั่งแม่น้ำ
“เช่นนั้นพี่จะจัดการให้เจ้าเอง” จ้าวซีเฉิงเอ่ยออกมาพลางหันไปสั่งการลูกน้อง
“พวกเจ้าไปบอกอู๋มู่จือว่าข้าจะมอบสาวงามสกุลใหญ่ให้เขา ขอแค่เขาสามารถช่วยเหลือนางขึ้นจากน้ำได้ก็พอ หญิงสาวที่ถูกช่วยขึ้นมาจากน้ำหากไม่แต่งงานกับคนผู้นั้นเพื่อกอบกู้ชื่อเสียงของตนเองก็จะต้องแบกรับว่าตนเองสูญเสียความบริสุทธิ์ให้แก่คนที่ช่วยเหลือตนเองขึ้นมาจากน้ำไปจนวันตาย เพราะฉะนั้นขอเพียงเขาสามารถช่วยเหลือคุณหนูใหญ่จวนผิงกั๋วกงได้เขาก็จะได้ครอบครองสาวงามแถมยังได้เป็นเขยขวัญของท่านผิงกั๋วกงอีกด้วย” เมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้ลูกน้องของเขาก็รีบรับคำแล้วเดินไปจัดการในทันที
แม่น้ำเหอแห่งนี้เป็นแม่น้ำสายใหญ่ที่ไหลผ่านเมืองหลวงของแคว้นต้าเยียน ความกว้างของสองฟากฝั่งของแม่น้ำถือว่ากว้างมากทีเดียว ยามนี้น้ำในแม้นำกำลังพัดพาดวงประทีปจำนวนมากไหลไปตามกระแสน้ำดูงดงามจับตาเป็นอย่างยิ่ง
“ข้าเองก็อยากลอยดวงประทีปเจ้าค่ะ” เฉินเจียวมี่เอ่ยออกมาด้วยสีหน้าออดอ้อน
“เอาไว้พวกเราปล่อยโคมกันก่อนแล้วค่อยไปลอยดวงประทีปด้วยกันดีหรือไม่” เมื่อเฉียวซื่อเอ่ยถามเช่นนี้นางก็พยักหน้าพลางรับคำออกมา
“ก็ได้เจ้าค่ะ เช่นนั้นพวกเรารีบปล่อยโคมกันเถิดเจ้าค่ะ” เฉินเจียวมี่เอ่ยด้วยสีหน้ากระตือรือร้น นางรีบอธิษฐานขอพรแล้วเดินไปยังลานกว้างปล่อยให้โคมลอยของตนลอยขึ้นไปบนฟ้าด้วยสีหน้าจริงจัง สายลมเย็นจากริมตลิ่งช่วยทำให้โคมของนางลอยสูงขึ้นไปเรื่อยๆ โดยมีโคมของเฉินเจียวเจียว เฉียวซื่อและสาวใช้ที่ติดตามมาลอยติดตามโคมของนางไป
“ท่านป้าสะใภ้ข้าเองก็อยากปล่อยโคมเจ้าค่ะ” เมื่อได้ยินเช่นนั้นเฉียวซื่อก็ส่งสัญญาณให้สาวใช้ของนางนำโคมที่ซื้อมาเผื่อไปมอบให้แก่เฉินเจียวเหม่ยอย่างไม่ได้คิดอันใด แต่ทั้งเฉินเจียวเจียวและเฉินเจียวมี่ที่มีสายตาว่องไวกลับส่งสายตาหยอกเย้าให้แก่เฉินเจียวเหม่ยในทันที
หยวนอี้เดินถือโคมตรงมาทางนี้ เมื่อเขาเห็นสตรีจากจวนผิงกั๋วกงเข้าก็ทำท่าว่าหลบออกไปแต่กลับถูกเฉินเจียวเหม่ยส่งเสียงเรียกพลางถือโคมของนางเดินไปหาเขาด้วยสีหน้ายินดี
“คุณชายหยวน ท่านก็จะมาปล่อยโคมเช่นกันหรือเจ้าคะ พอดีเลยข้าเองก็ยังไม่ได้ปล่อยโคม เช่นนั้นพวกเรามาปล่อยพร้อมกันดีหรือไม่”
“จะดีหรือ..” หยวนอี้เอ่ยถามพลางมองไปทางเฉียวซื่อเมื่อเห็นว่านางกำลังมองมาด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้มเขาก็รีบเดินไปคารวะนางในทันที
“คารวะผิงกั๋วกงฮูหยินขอรับ”
“คิดไม่ถึงว่าจะได้พบคุณชายหยวนที่นี่” เฉียวซื่อเอ่ยด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม ก่อนหน้านี้หยวนอี้เองก็เข้าร่วมงานเลี้ยงภายในวังด้วยนางจึงคิดไม่ถึงว่าจะได้พบเขาที่นี่อีก
“ข้าติดตามสหายมาเดินเที่ยวน่ะขอรับ สหายของข้ามาแล้วข้าต้องขอตัวไปหาสหายก่อนนะขอรับ” หยวนอี้เอ่ยพลางชี้ไปทางทางลู่เสวียนและคุณชายอีกหลายคนที่กำลังเดินมาทางนี้
“ไปเถิด อย่าปล่อยให้สหายของท่านต้องรอเลย” เมื่อเฉียวซื่อเอ่ยเช่นนี้เขาจึงได้หันไปส่งรอยยิ้มอันขัดเขินให้เฉินเจียวเหม่ยอีกครั้งแล้วจึงได้เดินจากไป เฉินเจียวเหม่ยทำได้แค่เพียงมองตามเขาไปอย่างเสียดายแต่แล้วก็เดินไปอธิษฐานอยู่นานสองนานก่อนที่จะปล่อยโคมให้ลอยขึ้นฟ้า
“พี่เจียวเหม่ยอธิษฐานขอพรเรื่องใดหรือเจ้าคะ เหตุใดต้องทำสีหน้าจริงจังแถมยังใช้เวลานานมากถึงเพียงนี้” เฉินเจียวมี่เอ่ยถามในทันทีเมื่อพี่สาวของนางเดินเข้ามาสมทบ
“ข้าย่อมมีหลายเรื่องให้ขอพร เจ้าอย่าได้รู้เลย” เมื่อเฉินเจียวเหม่ยเอ่ยเช่นนี้เช่นเจียวมี่ก็ไม่ได้เซ้าซี้เพราะความสนใจของนางพุ่งเป้าไปที่การลอยดวงประทีปแล้ว
หลังเสร็จสิ้นงานเลี้ยงเฉินฮองเฮาจึงได้ปลีกตัวกลับตำหนักอันหนิงไปก่อนเหลือเพียงหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ที่ทรงเรียกน้องชายเข้ามาตักเตือนเป็นการส่วนพระองค์โดยมีองค์ชายทั้งสองประทับอยู่ด้วย“จนถึงยามนี้แล้วเจ้าก็ยังคิดไม่ได้อีกหรือ น้องรองพระชายาของเจ้าผู้นี้แม้ว่าจะไม่ได้งดงาม รูปร่างก็ใหญ่โตแต่สิ่งที่นางมีเหนือผู้อื่นก็คือความจริงใจ แม้ว่าจะดุดันและไม่ช่างเอาอกเอาใจแต่เจ้าก็ไม่ต้องคอยระมัดระวังตัวและคอยคาดเดาอารมณ์ของนาง นางโกรธเจ้าก็รู้ นางโมโหเข้าก็แค่ถูกด่าหลังจากถูกโบยตีไม่กี่ทีนางก็กลับไปเป็นปกติแล้ว” หลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสพลางถอนพระปัสสาสะออกมา“ในขณะที่คนงามส่วนใหญ่กลับซับซ้อนมากกว่านั้นภายใต้สีหน้ายิ้มแย้มของพวกนางมีความคิดมากมายซุกซ่อนอยู่ภายในใจ ข้าเชื่อว่าเจ้าไม่มีทางจะคาดเดาความคิดของนางได้แน่ น้องรองเจ้าโชคดีแล้วที่ได้โม่หลันเป็นพระชายา อย่าได้คิดหาเศษหาเลยแล้วทำให้ชีวิตของตนเองต้องตกต่ำอีกเลย” เมื่อหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสเช่นนี้โซ่วอ๋องที่คุกเข่าขอรับผิดอยู่ตรงหน้าก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วเอ่ยถามด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ“เสด็จพี่! แล้วพระองค์ทรงไม่เคยหวั่นไหวบ้างเลยหรือ มีคนงามมาอยู่ตรงห
เฉินฮองเฮาแห่งแคว้นต้าเยียนทรงสิริโฉม เต็มเปี่ยมไปด้วยสติปัญญา ได้รับความรักและความให้เกียรติจากสวามีจนสตรีทั่วแคว้นต่างโจษจันกันไปจนทั่ว สตรีทุกนางล้วนริษยาในความพรั่งพร้อมและสมบูรณ์พูนสุขของพระนางนาง พระนางประสูติพระโอรสสองพระองค์พระธิดาหนึ่งพระองค์แม้ว่าจะทรงมีพระชันษามากแล้วความงามของพระนางก็ยังคงเป็นที่กล่าวขานถึง“นี่ใช้คำว่ารักและให้เกียรติได้อย่างไรกัน ต้องใช้คำว่ารักและเคารพมากกว่า” หลี่เทียนหลงองค์รัชทายาทแคว้นต้าเยียนเอ่ยกับพระอนุชาด้วยสุรเสียงแผ่วเบา“รักหรือไม่ข้าไม่แน่ใจ แต่เคารพและเกรงกลัวข้าขอยืนยันว่าเป็นความจริง เสด็จพี่ทรงทอดพระเนตรดูขุนนางที่ไม่รู้จักตายนั่นสิ พยายามจะยัดเยียดบุตรสาวโฉมงามให้เสด็จพ่อ แถมยังโอ้อวดว่าทั้งร่างกายและจิตใจบุตรสาวของเขาล้วนงดงามพิสุทธิ์หาผู้ใดเทียม ช่างไม่ดูเสียบ้างว่ายามนี้สีพระพักตร์ของเสด็จพ่อซีดเซียวเสียยิ่งกว่าไก่ในโถน้ำแกงเสียอีก” หลี่เทียนเฮ่าผู้เป็นองค์ชายรองเอ่ยกับพระเชษฐาด้วยน้ำเสียงซุกซน โดยไม่สนพระทัยหลี่เทียนหรูพระขนิษฐาพระองค์เล็กที่ในยามนี้หลบไปนั่งอยู่กับบรรดาสตรีในจวนผิงกั๋วกงแล้ว ค่ำคืนนี้เป็นงานเลี้ยงฉลองเทศกาลหยวนเซี
หลังจากเสร็จสิ้นพิธีอภิเษกไปเพียงไม่กี่วัน เฉินเจียวเจียวก็ต้องสวมชุดไว้ทุกข์ให้แก่จ้าวไทเฮา แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่คาดเดาได้อยู่แล้ว แต่เพลิงพิโรธของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ผู้เป็นราชบิดาของสามีก็ยังทำให้นางอดใจสั่นไม่ได้“เจ้าลูกเลว! หากเจ้าไม่ส่งคนไปบอกยามนี้พระนางก็คงจะยังทรงดำเนินชีวิตได้ตามปกติ” พระสุรเสียงที่ทรงตรัสออกมาทำให้เฉินเจียวเจียวที่คุกเข่าอยู่ทางด้านข้างขององค์รัชทายาทไม่กล้าเงยหน้าขึ้น“ลูกก็แค่คิดว่าไม่ควรจะหลอกลวงพระนางอีกต่อไป”“ยังไม่สำนึกอีก! หลี่ไท่หลงนางคือเสด็จย่าของเจ้านะ นางคือแม้แท้ๆ ของข้า และก็เป็นนางที่ผลักดันจนข้าได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้จวบจนทุกวันนี้” ถ้อยคำนี้ของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทรงเต็มไปด้วยกระแสอารมณ์อันเศร้าโศกและโกรธเกรี้ยว เฉินเจียวเจียวที่ก้มหน้าอยู่อดเหลือบมองสวามีของตนเองที่ยามนี้เงยหน้าขึ้นไปทุ่มเถียงกับพระราชบิดาของตนเองไม่ได้“แต่ก็เป็นพระนางที่วางแผนปลิดชีพพระมารดาของลูก เป็นพระนางที่ยึดครองพระราชอำนาจของเสด็จพ่อไปตั้งนานหลายปี แล้วก็เป็นพระนางที่สนับสนุนสกุลจ้าวให้ทะเยอทะยานและก้าวล้างพระราชอำนาจของเสด็จพ่ออยู่หลายครั้ง ลูกเข้าใจในความรักความผูกพัน
พิธีอภิเษกขององค์รัชทายาทและคุณหนูใหญ่จวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ บุรุษของจวนผิงกั๋วกงเดินทางเข้าเมืองหลวงพร้อมกันอีกครั้งเพื่อเข้าร่วมในพิธีครั้งนี้ เฉินเจียวเจียวแต่งกายอย่างดงามสวมมงกุฎหงส์และผ้าคลุมหน้าที่ปักลวดลายอันวิจิตรนั่งเกี้ยวเข้าวังหลวงอย่างยิ่งใหญ่ การแต่งงานในชาตินี้นับว่าเป็นการแต่งงานที่ยิ่งใหญ่กว่าในชาติที่แล้ว คนที่รอรับนางลงจากเกี้ยวก็ไม่ใช่คนเดิม นางจึงไม่กล้าตั้งความหวังต่อชีวิตการแต่งงานเท่าใดนัก ไม่คาดหวังก็ย่อมจะไม่ผิดหวัง เรื่องนี้นางสามารถเรียนรู้มาจากชาติที่แล้ว ในชาตินี้ชีวิตของนางจึงถูกเติมเต็มไปด้วยความสุข“ฮู่ว ในที่สุดก็ได้พบหน้ากันโดยไม่ต้องปีนกำแพงเสียที” องค์รัชทายาทเอ่ยหลังจากที่ใช่คันชั่งเปิดผ้าคลุมหน้าของนางแล้ว เขาจ้องมองนางอยู่ครู่หนึ่งด้วยสายตาอันแวววาว แล้วจึงได้เอ่ยถ้อยคำชื่นชมออกมาอย่างที่ควรจะเป็น“เจ้างามมาก” คำพูดประโยคนี้ของเขาทำให้นางอดยิ้มออกมาไม่ได้ฝ่าบาททรงประทานงานเลี้ยงฉลองให้แก่ผู้มาร่วมงานภายในวัง แต่เพราะเขามีฐานะเป็นถึงองค์รัชทายาทจึงไม่ต้องออกไปคารวะสุรามงคลให้แก่ผู้ใด ยามนี้ภายในห้องหอจึงมีเพียงเขาและนางเพียงเท่านั้น
พิธีปักปิ่นของคุณหนูใหญ่ของจวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ในฐานะว่าที่พระชายาองค์รัชทายาท ย่อมมีเจ้าหน้าที่จากกรมพิธีการมาช่วยเหลือในการดำเนินพิธี เฉินเจียวเจียวนั่งอยู่ท่ามกลางเหล่าฮูหยินผู้เต็มไปด้วยโชคลาภทั้งหลายด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม พวกนางช่วยหวีผมให้พร้อมคำอวยพรอันเป็นมงคลปิ่นแรกที่ปักลงมาบนมวยผมคือปิ่นพระราชทานจากเฉียวกุ้ยเฟย ตามมาด้วยปิ่นของพระนางเต๋อเฟย และบรรดาพระสนมที่เฉินเจียวเจียวเคยพบ ฮูหยินผู้เฒ่าจวนผิงกั๋วกงและฮูหยินผู้เฒ่าจวนสกุลหยวนนำปิ่นมาปักลงบนมวยผมของเฉินเจียวเจียวด้วยตนเอง ต่อมาก็เป็นสตรีอาวุโสในจวนและสตรีอาวุโสที่มีความสัมพันธ์กันดีกับจวนผิงกั๋วกงเมื่อเสร็จสิ้นพิธีปักปิ่นเฉินเจียวเจียวก็ลูกขึ้นคารวะขอบคุณอย่างเต็มพิธีการสามครั้งแล้วจึงเข้าสู่งานเลี้ยง เฉินเจียวเหม่ยและเฉินเจียวมี่ที่ได้รับหน้าที่ถือพานใส่หวีและปิ่น ต่างรีบจับจูงนางกลับเรือนด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม มีคุณหนูจากหลายจวนที่มีความสัมพันธ์อันดีมาร่วมแสดงความยินดีด้วย แน่นอนว่าคนที่มาย่อมขาดหวังฮุ่ยหลิงและองค์หญิงเก้าหลี่ถังหรูไม่ได้เหตุการณ์ปราบกบฏสกุลเจ้าเกิดขึ้นเร็วกว่าในชาติที่แล้ว ในชาตินี้เซียว
เมื่อบ้านเมืองสงบสุขชีวิตความเป็นอยู่ของชาวประชาก็กลับมาดำเนินไปตามปกติ เกิดแก่เจ็บตายล้วนเป็นไปตามยถากรรมของโลก ในเมื่อหลินชิงเหมยไม่สามารถทนรับความบอบช้ำของร่างกายไม่ไหว นางจึงได้ตายจากไปในที่สุด ในตอนที่นางจะตายนางยังเคยอดสงสัยไม่ได้ว่า หากนางไม่ทะเยอทะยาน หากนางไม่คิดจะร่วมมือกับสกุลจ้าวชีวิตของนางจะต้องจบลงเช่นนี้ไหม น่าเสียดายที่ต่อให้นางสงสัยมากเพียงใดก็ไม่อาจจะทำอันใดได้แล้วแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้นแต่นางกลับรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่า การตายเช่นนี้กลับดีมากแล้ว เพราะในความฝันของนาง นางเคยต้องเผชิญกับความตายที่น่ากลัวกว่านี้ ทั้งถูกทุบตี ทั้งถูกรุมย่ำยีแถมยังถูกทารุณกรรมจนไม่เหลือสภาพความเป็นคน อยากตายก็ไม่ได้ตาย ลืมตาขึ้นมาในแต่ละวันต้องร้องไห้ทุกครั้งที่พบว่าตนเองยังมีชีวิตอยู่ การถูกโบยจนตายน่าจะเป็นการตายที่สวรรค์ปรานีสำหรับนางมากแล้ว นี่คือความคิดสุดท้ายในห้วงความนึกคิดของนาง ตอนที่โซ่วอ๋องมารับร่างที่ไร้ลมหายใจของนางจึงได้เห็นว่าแม้ในยามหลับบนใบหน้าของนางก็ยังมีรอยยิ้มประดับอยู่หลินชิงเหมยตายแล้ว โซ่วอ๋องจะทุกข์ใจหรือไม่เฉินเจียวเจียวไม่ได้ให้ความสนใจอีกแล้ว เรื่องราวในกาลก่อนราวกับ