แชร์

บทที่ 9

last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-04-02 07:05:35

ในความคิดของเยว่อวิ๋น เด็กน้อยอายุไม่กี่ขวบเหล่านี้ หากถูกเลี้ยงดูดีๆ มีใครบ้างที่ไม่ขาวอวบนุ่มนิ่มดังเช่นซาลาเปา

ทว่าน่าเสียดายนัก ลูกเลี้ยงของนางทั้งสองคนกลับเป็นได้แค่หัวไชเท้าน้อยเปื้อนโคลน พวกเขาไม่เพียงมีร่างกายที่ผ่ายผอมแคระแกร็น ทั้งยังเต็มไปด้วยริ้วรอยบาดแผลฟกช้ำตามเนื้อตัวชนิดไม่มีที่ว่าง เยว่อวิ๋นที่ปกติเป็นคนอารมณ์ดีเห็นแล้วยังนึกสบถสาปแช่งคนสกุลเซี่ยด้วยความรังเกียจไปหลายต่อหลายรอบ

โดยเฉพาะเซี่ยซื่อแม่สามีราคาถูกของนาง

หากเป็นคนอื่น แม้จะรังแกสองพี่น้องก็ยังพอจะมองข้ามไปได้บ้าง เพียงแต่ตัวแม่เฒ่าเซี่ยนั้นเป็นมารดาของเซี่ยฉงอวิ๋น เด็กสองคนนี้ก็คือสายเลือดแท้ๆ ของนาง เหตุใดจึงปล่อยปละละเลยทิ้งขว้างได้ถึงเพียงนี้เล่า

คิดแล้วเยว่อวิ๋นก็ได้แต่ถอนลมหายใจให้กับชะตาชีวิตของเด็กน้อย เอาเถอะ นางตอนนี้มีศักดิ์ฐานะเป็นมารดาของอีกฝ่ายแล้ว ต่อไปภายหน้าก็ค่อยๆ ดูแลกันไปก็แล้วกัน

ในอดีตเยว่อวิ๋นใช้ชีวิตอยู่ในกองทัพ แม้จะไม่สันทัดในเรื่องการทำอาหาร แต่ด้านการใช้ชีวิตประจำวันนั้นไม่ถือว่าแย่ หญิงสาวพลิกเสื้อคลุมอังไฟไปมาไม่นานก็เสร็จเรียบร้อย ยามส่งเสื้อคืนให้แก่เจ้าของ ข้าวต้มในหม้อก็เริ่มส่งกลิ่นหอมลอยอวล

รอจนเมล็ดข้าวสุกดี นางจึงตักข้าวต้มข้นๆ ใส่ถ้วยให้เด็กสองคน จากนั้นจึงนำไข่ที่ล้างด้วยน้ำเย็นส่งให้ทั้งคู่อีกคนละสองใบ ก่อนจะหันไปจัดการปอกของตัวเอง

“นะ… นี่” ดวงตากลมของเสี่ยวอวี้เบิกกว้าง เด็กหญิงจ้องมองไข่ในมือตัวเองด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ

“ทำไมรึ” เยว่อวิ๋นเงยหน้าจากชามข้าวต้ม พลางเลิกคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นอาการงุนงงของเจ้าตัวเล็ก

“ไข่สองใบนี้ ให้เสี่ยวอวี้กินใบหนึ่งก็พอแล้วขอรับ” ต้าเป่าดึงไข่จากมือน้องสาวมาหนึ่งฟอง ก่อนจะส่งคืนมาพร้อมกับไข่ที่อยู่ในมือตนเอง “ท่านพ่อล้มป่วยมานาน ไม่เคยได้บำรุงร่างกายดีๆ ไข่พวกนี้…”

เดิมเขาคิดว่าได้กินแค่ข้าวต้มใสๆ ก็ดีแล้ว นึกไม่ถึงว่ามารดาคนใหม่จะใจดีแบ่งไข่ให้พวกตนถึงคนละสองฟอง

“ใช่ๆ เจ้าค่ะ เสี่ยวอวี้เป็นเด็ก กินแค่ข้าวก็พอแล้วจะได้ไม่สิ้นเปลือง” เห็นพี่ชายเอ่ย เสี่ยวอวี้ก็ตัดใจส่งไข่ที่เหลือในมือคืนให้ด้วยท่าทางเสียดาย

มารดาใจดียอมแบ่งให้ แต่นางจะเห็นแก่ตัวไม่ได้ อย่างที่พี่ชายบอก ไข่เหล่านี้สามารถเก็บไว้ให้ท่านพ่อกินบำรุงร่างกายได้

เยว่อวิ๋นหลุบตามองมือเล็กที่ยื่นไข่ส่งคืนมาพลางนึกสะท้อนใจ ถึงจะอัตคัดและขัดสนจนตัวเองผ่ายผอมขนาดนี้ ทว่าเจ้าไชเท้าน้อยทั้งคู่ก็ยังคงไม่ลืมที่จะนึกถึงบิดา

นางคิดถึงชีวิตก่อนของตนในวังอ๋อง แม้มีทุกสิ่งพร้อมสรรพ ทว่ากลับไม่เคยมีผู้ใดคิดเผื่อ หรือแสดงความห่วงใยหยิบยื่นส่งให้เลยสักครั้ง ก็ให้อดนึกสะท้อนใจไม่ได้

เพื่อแลกกับความเชื่อใจฮ่องเต้ เสด็จพ่อส่งนางไปอยู่ข้างกายไทเฮาในวังหลวงที่มีแต่อุบายรอบด้าน ยามเติบโตนางเข้ากองทัพที่รอบกายเต็มไปด้วยอันตราย ทุ่มเททุกอย่างแต่ละย่างก้าวล้วนคิดคำนึงถึงบิดามารดาน้องชาย

แต่ในเวลาที่นางบาดเจ็บแทบล้มประดาตาย กลับไม่เคยได้รับคำพูดหรือการกระทำแสดงออกถึงความห่วงใยจากพวกเขาเลยสักประโยค

ที่แท้ความห่วงใยเหล่านี้คือเรื่องปกติของครอบครัวสามัญชนเท่านั้น หรืออันที่จริงเพราะนางไม่เคยใช่ครอบครัวของพวกเขากันแน่นะ

รอยยิ้มหยันผุดให้เห็นแวบหนึ่งก่อนจะจางหายไปอย่างรวดเร็ว เยว่อวิ๋นไม่ได้กล่าวคำพูดอีก เพียงปอกไข่ในมือเงียบๆ

สองพี่น้องเห็นเยว่อวิ๋นรับไข่ไปแล้วไม่ตอบ ก็ได้แต่นิ่งงันมองหน้ากันไปมา จากนั้นจึงเป็นเสี่ยวอวี้ที่เริ่มลงมือกิน ต้าเป่ากลืนน้ำลายลงคอฝืดๆ กลิ่นข้าวต้มอบอวลเต็มจมูก ท้องที่ว่างเปล่าก็ส่งเสียงคร่ำครวญประท้วงไม่หยุด ในที่สุดเขาก็อดใจไม่ไหวยกชามข้าวต้มขึ้นซดบ้าง

เยว่อวิ๋นเงยหน้ามองทั้งคู่ เห็นท่าทางกินรวดเร็วทว่าเรียบร้อยไม่มูมมามก็พยักหน้ายิ้มอย่างพอใจ ก่อนจะวางไข่ต้มที่ถูกปอกเปลือกเรียบร้อยแล้วลงในชามข้าวของพวกเขา

มองไข่สองใบในชาม ดวงตากลมของเสี่ยวอวี้ก็เบิกกว้างกว่าเดิมเป็นเท่าตัว ทว่าเด็กหญิงยังคงจดจำคำพูดเมื่อครู่ของพี่ชายได้ดี ใบหน้าเล็กจึงหันมองไปทางต้าเป่าด้วยอาการลังเล

“เจ้ากินเถอะ” เห็นสายตาหิวโหยของน้องสาว ต้าเป่าอดนึกสงสารไม่ได้ “น้องสาวยังเด็กต้องการการบำรุงให้นางกินไป ส่วนของข้าก็เก็บไว้ให้ท่านพ่อเถอะขอรับ”

ประโยคที่กล่าวมานั้นสื่อความหมายคล้ายต้องการอธิบายในเชิงปรึกษา เยว่อวิ๋นฟังแล้วเผยรอยยิ้มบาง เจ้าไชเท้าคนพี่ช่างพูดช่างจาเสียเหลือเกิน ทว่าเจ้าตัวคงลืมไปแล้วกระมัง น้องสาวที่บอกว่ายังเด็กนั้นอายุห่างกับเขาเพียงไม่ถึงชั่วยาม [1] เท่านั้น

“กินเถอะ พวกเจ้ายังเด็กร่างกายก็ต้องการการบำรุงเช่นกัน ส่วนของบิดาเจ้าย่อมมีอยู่แล้ว ข้ารับรองว่ามื้อต่อไปก็จะไม่ขาดเช่นกัน”

แม้นางจะพูดออกไปแล้ว ทว่าสีหน้าเจ้าหัวไชเท้าทั้งสองก็ยังแสดงออกถึงความลังเล เยว่อวิ๋นเม้มริมฝีปาก กล่าวต่อเรียบๆ

“ไข่ก็ปอกไปแล้ว ส่วนของบิดาเจ้าก็มีพอ เขากินไม่หมดแน่นอน ที่เหลือนี้หากไม่รีบกินให้หมด รอจนท่านย่าของพวกเจ้ามาถึง เกรงว่าถึงอยากกินก็คงไม่ได้กินแล้ว”

เดิมสองพี่น้องยังคงมีความกังวลอยู่ไม่น้อย ทว่าพอฟังคำพูดประโยคหลัง ทั้งคู่ก็หยิบไข่ใส่ปากโดยไม่ลังเลทันที ถ้าเก็บไว้แล้วต้องถูกท่านย่าเอาไป ไม่สู้พวกเขากินเองดีกว่าหรือ

เห็นพวกเขาก้มลงกินไม่คิดปฏิเสธอีก เยว่อวิ๋นพยักหน้าพึงพอใจ มองแก้มตอบที่ยามนี้โป่งพองเพราะอาหาร อารมณ์หกหู่เมื่อครู่จึงพอลดลงไปได้สักเล็กน้อย ก่อนจะเริ่มกินอาหารตรงหน้าตัวเองบ้าง

ความหิวโหยจากการอดอาหารมาหนึ่งวันหนึ่งคืน ทำให้เยว่อวิ๋นแทบเป็นลมเพราะความหิว ยามนี้นางจึงมุ่งความสนใจไปที่อาหารตรงหน้าเพียงอย่างเดียว

หญิงสาวใช้เวลาไม่นานก็จัดการไข่สองใบกับข้าวต้มอีกสามชามเกลี้ยงหายวับ หลังจากนั้นจึงค่อยลุกหยิบเอาชามข้าวต้มที่ตักพักไว้กับไข่ที่ปอกเปลือกแล้วเดินออกจากห้องครัวไป

“พี่ชาย…” เสี่ยวอวี้มองตามแผ่นหลังมารดาคนใหม่ พลางกลืนน้ำลายลงคอเล็กน้อย

“มีอะไรหรือ”

“ท่านแม่นางใจดีมาก และก็...กินได้รวดเร็วยิ่งนัก” อีกทั้งยังกินเก่งอีกด้วย ข้าวต้มชามใหญ่ๆ สามชามถูกนางกินจนหมดเกลี้ยงไม่มีเหลือเลยสักหยด

ต้าเป่ามองปากที่อ้าเผยอของน้องสาวแล้วให้กลัดกลุ้มยิ่งนัก คำว่าเจ้ายังกล้าวิจารณ์ผู้อื่นอีกหรือติดค้างอยู่ที่ริมฝีปาก เขามองปากเล็กๆ ที่กลืนข้าวต้มเป็นชามที่สองแล้วก็คิดเป็นห่วงอนาคตขึ้นมาทันที

ใช่แล้ว มารดาเลี้ยงกินเก่งมาก แต่น้องสาวเองก็กินเก่งไม่แพ้กันเลยทีเดียว ในอนาคตเขาคงต้องพยายามทำงานให้หนักเสียแล้ว ไม่เช่นนั้นรายได้ที่ได้คงไม่เพียงพอกับค่าอาหารของพวกนางเป็นแน่

[1] ชั่วยามคือหน่วยนับเวลาของจีนสมัยโบราณ โดยหนึ่งชั่วยามเท่ากับสองชั่วโมง
อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • ซาลาเปาบ้านข้านั้นทั้งขาวทั้งนุ่ม   บทที่ 315

    ทว่าองค์หญิงเจียงหนิงที่เดินเข้ามากลับยังคงมีสีหน้ายิ้มแย้มไม่รู้สึกรู้สา ทั้งยังถามน้ำเสียงไร้เดียงสาต่อ “ข้าถามท่านทำไมไม่ตอบเล่า หรือว่าท่านมีเรื่องอะไรปิดบังข้ากัน” พูดจบก็แสดงสีหน้าโกรธเกรี้ยวไม่พอใจทันทีเยว่หลินมองอย่างชินชา คนในราชวงศ์พวกนี้เปลี่ยนสีหน้าไวยิ่งกว่ากิ้งก่าเปลี่ยนสี เขาชินเสียแ

  • ซาลาเปาบ้านข้านั้นทั้งขาวทั้งนุ่ม   บทที่ 314

    ช่างนิสัยแย่เสียจริงนางไม่ใช่คนไร้เดียงสา ย่อมไม่คิดแน่นอนว่าการทำดีด้วยจะโน้มน้าวใจหลิวซื่อไว้ได้ แต่ที่เซี่ยฉงอวิ๋นกล่าวก็ถือได้ว่าถูกต้องอยู่ครึ่งหนึ่ง นั่นก็คือนางมีความคิดอยากรั้งตัวคนจริงๆไม่จำเป็นต้องมาอยู่ด้วยกันก็ได้ นางแค่ต้องการให้อีกฝ่ายออกจากหลุมลึกของสกุลเยว่ สามารถใช้ชีวิตที่ดีมั่นค

  • ซาลาเปาบ้านข้านั้นทั้งขาวทั้งนุ่ม   บทที่ 313

    แม่เฒ่าเยว่อายุไม่น้อยแล้วเรี่ยวแรงย่อมไม่อาจสู้จางซื่อ นางผงะหงายหลังลงไปนอนเอ้งเม้งบนพื้น โดยมีฝ่ายหลังล้มตามลงไปติดๆแม่เฒ่าเยว่ถูกทับด้วยร่างอวบอ้วนของลูกสะใภ้ ความเจ็บแปลบจากกระดูกสันหลังที่ถูกกระแทกทำให้นางไรเรี่ยวแรงจะผลักคนออก ได้แต่นอนร้องโอดโอยน้ำเสียงแหบแหลม“ท่านแม่!”เยว่ฉินกับเยว่เจินเ

  • ซาลาเปาบ้านข้านั้นทั้งขาวทั้งนุ่ม   บทที่ 312

    “นั่นก็จริง” แม่เฒ่าเยว่พยักหน้าเห็นด้วย รอยยิ้มของมารดาผู้รักและเมตตาบุตรจึงค่อยๆ คืนกลับมาอีกครั้ง “เจ้าเองก็เหนื่อยมาเยอะแล้ว กินอะไรแล้วก็ไปนอนพักเถอะ”บอกบุตรชายเสร็จนางก็หันไปตะโกนสั่งให้สะใภ้คนโตตั้งโต๊ะอาหาร ก่อนจะมีสีหน้าบูดบึ้งอีกครั้งเมื่อจางซื่อตอบกลับมาว่าอาหารยังทำไม่เสร็จ“เจ้าจะใช้เว

  • ซาลาเปาบ้านข้านั้นทั้งขาวทั้งนุ่ม   บทที่ 311

    เจ้านายของนางอารมณ์รุนแรงเช่นนี้เป็นเรื่องปกติ นางเป็นคนสนิทที่ปรนนิบัติรับใช้ข้างกายเจ้านายมาเนิ่นนาน มีครั้งไหนบ้างที่อีกฝ่ายบันดาลโทสะแล้วไม่ถูกลูกหลง“ธุระสำคัญอะไรกันนักหนา เมื่อวานข้ารอจนดึกดื่นเขาก็ยังไม่กลับ วันนี้พอข้าตื่นมาเขาก็ออกไปแต่เช้า ข้าว่าเขาจงใจจะหลบเลี่ยงข้าเสียมากกว่า” เสียงแหลม

  • ซาลาเปาบ้านข้านั้นทั้งขาวทั้งนุ่ม   บทที่ 310

    แม้จะรู้ว่าความคิดของตนเองนั้นไม่ถูกต้อง ทว่าเมื่อเผชิญกับความกดดันที่ได้รับ การกระทำของนางก็คล้ายกับสายน้ำที่ได้รับการระบายนางเปลี่ยนความเสียใจความรู้สึกแย่ๆ ของตนมาเป็นความเกลียดชัง หลอกตัวเองโทษว่าทุกสิ่งเป็นความผิดของบุตรสาว ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง นางที่ทำเรื่องชั่วร้ายเหล่าน

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status