บทที่ 3 บะหมี่เนื้อตุ๋น
ราวยามโหยว่ (17:00-18:59) มู่เฟิงและมู่หนิงเฉิง หิ้วปลาที่ตกมาได้กลับมาบ้าน มู่หนิงชิงเห็นแล้วเวทนาทั้งคู่จับใจ โดยเฉพาะน้องชายที่มีอายุเพียงเก้าหนาว แต่กลับต้องทำงานหนักมิต่างจากผู้ใหญ่ เด็กวัยนี้สมควรที่จะได้เริ่มเรียนหนังสือ และวิ่งเล่นกับเพื่อนๆ ด้วยความสนุกสนานมากกว่า “วันนี้ตกปลาได้สามตัวเลยหรือเจ้าคะท่านพ่อ พี่รอง” เจ้าตัวเล็กเพิ่งช่วยมารดาล้างถ้วยชามเสร็จ วิ่งตัวปลิวไปหาบิดาและพี่ชาย ที่เพิ่งก้าวเข้ามาในบ้านอย่างร่าเริง ถึงจะผอมบางตัวเล็กเพราะขาดสารอาหาร แต่กลับมีชีวิตชีวาราวลูกกวางน้อยในทุ่งกว้าง ช่างน่าเอ็นดูโดยแท้ “ฝีมือของเฉิงเอ๋อร์ล้วนๆเลยนะวันนี้ พ่อเพียงแค่ช่วยแกะปลาออกจากเบ็ดเท่านั้น” ผู้เป็นบิดาเอ่ยชมบุตรชายด้วยความภาคภูมิใจ “เฉิงเอ๋อร์เก่งจริงๆ” มู่หนิงชิงเอ่ยสมทบ คนถูกชมใบหูเป็นสีแดง ยกมือเกาท้ายทอยอย่างเก้อเขิน ดวงตาของเด็กชายทอประกายสดใส ตัวเขาเองก็ดีใจที่วันนี้จับปลาได้ อย่างน้อยทุกคนจะได้มีเนื้อปลาไว้กินไม่ใช่กินแต่ผัก… “ข้าแค่ดวงดีขอรับ ไม่ได้เก่งกาจอะไร” “พี่รองเก่งที่สุดต่างหาก อันเอ๋อร์อยากตกปลาได้อย่างพี่รองบ้าง ท่านพ่อเจ้าขาครั้งหน้าพาลูกไปด้วยนะเจ้าคะ” “ฮ่ะๆๆ ได้ๆ คราวหน้าพ่อจะพาอันเอ๋อร์ไปด้วย ชิงเอ๋อร์ลูกรู้สึกอย่างไรบ้างยังปวดหัวอยู่หรือเปล่า ให้พ่อไปตามท่านหมอหูมาดูลูกอีกสักครั้งดีไหม” สายตาของมู่เฟิงเต็มไปด้วยความรักความห่วงใยที่มีต่อบุตรสาว “ไม่จำเป็นต้องตามท่านหมอหูแล้วเจ้าค่ะท่านพ่อ ข้าดีขึ้นมากแล้ว เพียงแค่ยังเจ็บท้ายทอยอยู่บ้าง ท่านพ่อไม่ต้องเป็นห่วงนะเจ้าคะ” นางกลัวว่าท่านหมอหูจะสั่งยาให้นางดื่มเพิ่มต่างหาก แค่นี้นางก็ฝืนใจจะแย่อยู่แล้ว โชคดีที่เวลานี้นางมีมิติแห่งความอิ่มหนำ พอดื่มยาเสร็จก็รีบแอบเข้าไปตักน้ำผึ้งมาอมไว้ มิเช่นนั้นนางคงไม่กล้าแตะต้องยาต้มนั่นอีก รสชาติเหลือทนจริงๆ มื้อเย็นของครอบครัวในวันนี้ ประกอบไปด้วยหมั่นโถวแป้งหยาบ ผักป่าลวกและน้ำแกงปลา มู่หนิงชิงที่แอบไปกินสเต็กเนื้อวากิวชิ้นใหญ่มาแล้ว จึงทานเพียงหมั่นโถวหนึ่งลูกและน้ำแกงปลานิดหน่อย นางอ้างว่าไม่ค่อยหิวอาจเป็นเพราะเพิ่งฟื้น หลังมื้อเย็นราวครึ่งชั่วยามทุกคนก็แยกกันไปอาบน้ำแล้วเข้านอน ยังมีบางเรื่องที่มู่หนิงชิงรู้สึกข้องใจ นั่นคือหน้าตาของนาง ที่แทบไม่มีส่วนคล้ายคนในครอบครัวเลยสักนิด แตกต่างเจ้าหัวผักกาดน้อยทั้งสองที่มีหน้าตาดูละม้ายกันอยู่บ้าง หากมิใช่เพราะสายตาของซูซื่อและมู่เฟิงยามมองนาง เต็มไปด้วยความรักความห่วงใยแล้วไซร้ นางคงคิดว่าร่างนี้อาจถูกเก็บมาเลี้ยงแน่ๆ…หรือว่านางที่คิดมากไปเองเพราะเพิ่งทะลุมิติมา เลยยังไม่คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมรอบตัว ระหว่างนอนคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่นั้น มู่หนิงชิงหยิบเอาหยกแดงออกมาพิจารณา แม้ว่าจะมีเพียงแสงจากดวงจันทร์สาดส่องเข้ามาในห้องเพียงรำไร ทว่ากลับไม่เป็นปัญหาต่อเนตรปีศาจของนาง จากที่พอรู้มา หยกเหอเถียนเนื้อดีขนาดนี้ ทั้งยังมีสีแดงสดงดงามสม่ำเสมอไปทั้งชิ้น ราคาย่อมสูงแน่ แล้วเหตุใดเจ้าของร่างถึงได้มีมันอยู่ในครอบครอง หากนำไปขายคงได้เงินไม่น้อย สมาชิกในบ้านจะได้ไม่ต้องอดอยากเหมือนอย่างที่เป็นอยู่ น่าสงสัยจริงๆ! ราวต้นยามจื่อ(23:00-00:59)แผนบำรุงร่างกายคนในบ้านของมู่หนิงชิงจึงเริ่มต้น หญิงสาวกลับเข้าไปมิติแห่งความอิ่มหนำ “ยินดีต้อนรับสู่มิติแห่งความอิ่มหนำ มู่หนิงชิง” "ขอบใจซินดี้" มู่หนิงชิงถือวิสาสะ เรียกระบบเอไอที่ควบคุมมิติแห่งความอิ่มหนำว่า ซินดี้ ชื่อเหมือนกับระบบเอไอในอพาตเมนต์ของเธอจากภพเดิม ร่างผอมบางเดินไปหยิบผ้ากันเปื้อนมาสวม เตรียมอุปกรณ์และเครื่องปรุงทุกอย่างที่ต้องใช้ เมื่อคนพร้อม ของพร้อม ขั้นตอนการทำบะหมี่เนื้อตุ๋นจึงเริ่มต้นขึ้น! รอบนี้มู่หนิงชิงหยิบสันนอกวัวชิ้นใหญ่ที่มีน้ำหนักราวสิบจิน* มาหั่นเป็นลูกเต๋า ใส่เกลือพริกไทย เครื่องเทศป่นสูตรสำหรับเนื้อ ตามด้วยน้ำมันมะกอกนิดหน่อยคลุกเคล้าให้เข้ากัน หมักทิ้งไว้ราวสองเค่อ ระหว่างนั้นนางจึงหันไปล้างและหั่นผักเตรียมไว้ นำน้ำซุปกระดูกปรุงรสสูตรพิเศษ จากตู้แช่แข็งออกมาละลาย โชคดีที่น้ำซุปแช่แข็งมีข้อยกเว้นไม่ต้องจ่ายเงิน แต่จำกัดให้ใช้ได้เพียงวันละสิบลิตรเท่านั้น! เยี่ยมไปเลย!! เมื่อครบเวลา มู่หนิงชิงนำเนื้อวัวลงไปผัดกับน้ำมันมะกอกในหม้อตุ๋นแรงดันใบใหญ่ จนหอมไปทั่วห้องครัว ใส่หัวหอมใหญ่ แครอท ขึ้นช่ายฝรั่งผัดต่ออีกสักครู่ จากนั้นจึงใส่โรสแมรี่และใบกระวาน ตามด้วยเทเหล้าจีนสำหรับทำอาหารตามลงไป รอจนแอลกอฮอล์ระเหยหมด เทน้ำซุปสูตรพิเศษของภัตตาคารใส่หม้อให้ท่วมเนื้อ ใช้ไฟกลางในการตุ๋น อาหารมื้อนี้นางยอมทุ่มทุน หั่นโสมเกาหลีใส่ลงไปด้วย เพื่อบำรุงสุขภาพของทุกคนในบ้าน จากนั้นจึงหันไปคลายก้อนบะหมี่รอไว้ พร้อมกับทำกิจกรรมท้าทายเสียเลย เพราะต้องการนำเอาไข่ไปใส่ในบะหมี่เป็นเครื่องเคียง "ซินดี้ ฉันขอทำกิจกรรมท้าทายของรอบนี้ทีสิ" "ตอบรับคำขอของท่าน" เสียงระบบที่ควบคุมมิติแห่งความอิ่มหนำดังขึ้น *จิน : 500 กรัมบทที่ 86 อาการป่วยของซวินเหิงเยว่ (ตอนปลาย) องค์ชายสี่ถูกแต่งตั้งให้มาเป็นอ๋องครองเมืองแทนซวินเหิงเยว่ คนรักของเขาซึ่งเป็นองครักษ์ส่วนพระองค์เดินทางติดตามมาด้วย องค์ชายสี่เป็นคนมีคุณธรรม และตั้งใจทำงานที่ได้รับมอบหมายอย่างเต็มที่ มีปัญหาอะไรก็จะปรึกษาหย่งหนานโหวเพื่อขอคำแนะนำ ทั้งคู่กลายมาเป็นสหายดีที่ต่อกัน ช่วยกันดูแลเมืองอี้เฉิงให้เจริญรุ่งเรืองมิต่างจากตอนที่ซวินเหิงเยว่ครองเมือง แม้นว่าโหวหนุ่มจะคิดถึงสหายรักจอมกวนอยู่บ่อยครั้ง หากแต่หน้าที่ต้องมาก่อน จะทำตัวติดกันเป็นปาท่องโก๋ เหมือนตั้งแต่สมัยที่ยังเยาว์จนกระทั่งก่อนซวินเหิงเยว่อภิเษกสมรสไม่ได้อีกต่อไป ตระกูลฟ่านเปิดใจยอมรับโหวหนุ่มมากขึ้น อนุญาตให้หมั้นหมายฟ่านฮุ่ยเจินไว้ก่อน แต่กำหนดแต่งงานยังมิได้ระบุ หลังผ่านพ้นหน้าหนาวในปีนั้น องค์รัชทายาทซวินเหิงเยว่และพระชายา ออกเดินทางทั่วแคว้น เพื่อศึกษาพื้นที่ และตรวจดูความเป็นอยู่ของราษฎร ตามพระราชโองการของฮ่องเต้ซวินเสวียนคง อันที่ซวินเหิงเยว่เป็นผู้บีบคั้นพระบิดา ให้ออกพระราชโองการให้เขากับพระชายา ออกเดินทางเยี่ยมราษฎร ชายหนุ่มไม่โปรดชีวิตวุ่นวายในเมือง เนื่องจากบรรดาขุนน
บทที่ 86 อาการป่วยของซวินเหิงเยว่ (ตอนต้น) แสงตะวันอบอุ่นยามเช้าในช่วงกลางฤดูใบไม้ผลิ สาดส่องผ่านช่องหน้าต่างห้องหอ ปลุกให้ซวินเหิงเยว่ที่ตื่นเช้าเป็นกิจวัตรลืมตาขึ้น ทั้งที่เจ้าตัวพึ่งล้มตัวลงนอนไปได้ไม่ถึงสองชั่วยาม! เขานอนตะแคงทอดมองชายาคนงาม ที่ยังอยู่ในห้วงนิทราด้วยแววตาลึกซึ้ง ท่อนแขนแกร่งพาดบนอยู่เอวคอดกิ่ว มือใหญ่วางทาบอยู่บนสะโพกเปลือยเปล่า และเมื่อขยับผ้าห่มเล็กน้อย ตั้งใจจะช่วยคลุมกายชายารักให้มากขึ้น เพราะกลัวว่านางจะหนาว ดวงเนตรคู่คมพลันเหลือบเห็นจ้ำสีกุหลาบกระจายอยู่เต็มผิวขาวเนียนละออ ริมฝีปากหยักกระตุกยิ้มอย่างพึงใจ นึกถึงภาพเร่าร้อนของเขาและนางที่ร่วมกระทำกันมาทั้งคืน เพียงแค่คิดความเป็นชายก็ตั้งตระหง่าน ชายหนุ่มมุดหายเข้าไปใต้ผ้าห่ม ซุกใบหน้าหล่อเหลากับบุปผางามที่ยังแดงช้ำจากร่วมหออย่างดุเดือด เซียวหนิงชิงรู้สึกถึงบางสิ่งร้อนชื้นกำลังดูดดึงส่วนบอบบางของตน ความรู้สึกรัญจวนวาบหวามพลันบังเกิด ถึงตายังหลับทว่ากลับส่งเสียงครางหวาน ขานรับการปรนเปรอจากลิ้นร้อนของสวามี ร่างแกร่งใต้ผ้าห่มยิ่งได้ใจ ขยับทั้งลิ้นและนิ้วเป็นจังหวะประสาน ส่งร่างบางถึงฝั่งฝันในเวลาต่อมา ก
บทที่ 85 ค่ำคืนที่รอคอย (ตอนปลาย) เขาปลดอาภรณ์ของตนออก เผยให้เรือนกายแกร่งสมส่วน ผิวขาวเนียน แผ่นอกแกร่ง หน้าท้องแน่นเป็นลอนที่เซียวหนิงชิงหลงใหล ไล่ต่ำลงมาจนถึงความเป็นชายใหญ่โตขาวนวลส่วนปลายแดงก่ำ ที่กำลังตั้งตระหง่านชี้นางอยู่ตอนนี้! เซียวหนิงชิงหน้าร้อบวาบ ดวงตาเบิกกว้าง ตกใจกับขนาดส่วนนั้นของซวินเหิงเยว่ พลันคิดในใจว่าใหญ่ขนาดนี้นางไม่เจ็บแย่เหรอ จะใหญ่โตไปไหน…! ครั้นได้เห็นสีหน้าของคนรัก ชายหนุ่มยกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ โน้มตัวลงบดจูบนางอีกครั้ง ก่อนเลื่อนริมฝีปากไปที่ข้างใบหูขาว เสียงแหบพร่าเร้าใจกระซิบใส่หูเล็กจนคนฟังใจสั่น "อย่ากลัวไปเลยเด็กดี ข้าจะอ่อนโยนกับชิงเอ๋อร์ จะทะนุถนอมเจ้าอย่างดี" ใบหน้าหล่อเหลาซุกไซ้ซอกคอหอมกรุ่น พรมจูบดูดดึงผิวขาวอย่างอย่างเอาแต่ใจ มือแกร่งกอบกุมบีบเคล้นเต้าอวบ สร้างความรู้สึกวาบหวามจนหญิงสาวเริ่มบิดเร่า ชายหนุ่มเปลี่ยนมาอ้าปากเข้าครอบครองเต้าอวบ ปลายลิ้นร้อนตวัดรัวชิมรสหวานล้ำจากยอดถันสีสวย เซียวหนิงชิงหลุดครางหวาน แอ่นอกรับสัมผัสที่เขาปรนเปรอให้อย่างลืมอาย จิกนิ้วกับผ้าปูที่นอนจนยับย่น "อื้ออ สวามี" เสียงครางแผ่วราวเสียงครางของลูกแ
บทที่ 85 ค่ำคืนที่รอคอย (ตอนต้น) เสียงดนตรีจากวงปี่พาทย์ดังขึ้นหน้าจวนแม่ทัพอุดร เป็นสัญญาณว่าบัดนี้เจ้าบ่าวมาถึงตามฤกษ์ยามที่กำหนดไว้ องค์รัชทายาทซวินเหิงเยว่ในชุดสีแดงงามสง่า ลงจากหลังอาชาสีขาวตัวใหญ่ด้วยท่วงท่าองอาจ ดวงพักตร์หล่อเหลาที่ยามปกติเย็นชาเย่อหยิ่งอยู่เป็นนิจ วันนี้ดูอ่อนโยนขึ้นหลายส่วน รอยยิ้มบางประดับมุมปากตั้งแต่ออกจากตำหนักบูรพาจนถึงตอนนี้ยังไม่เลือนหาย ตลอดเส้นทางที่ขบวนเคลื่อนผ่าน มีประชาชนออกมายืนรอชื่นชมบารมีขององค์รัชทายาท และรอรับถั่วเงินถั่วทองรวมถึงลูกวาดมงคลที่โปรยแจก นอกจากพวกเขาจะตกตะลึงในรูปโฉมหล่อเหลาของชายหนุ่มแล้ว ทุกคนยังอ้าปากค้างเมื่อได้เห็นเกี้ยวดอกไม้สีแดงแปดคนหามหลังใหญ่ ถูกสั่งทำขึ้นอย่างประณีตวิจิตร ประหนึ่งงานศิลปะชั้นยอด ครั้นมองเห็นหาบสินสอดอีกหลายสิบหีบ ที่นำมามอบให้เจ้าสาวเพิ่มเติมนอกเหนือจากวันหมั้น ชาวบ้านแต่ละคนดวงตาแทบถลนออกมานอกเบ้า ยืนอ้าปากค้างหุบไม่ลงกันไปพักใหญ่!! หลังจากทำพิธีฝั่งเจ้าสาวเสร็จก็ได้ฤกษ์ส่งตัวเซียวหนิงชิงขึ้นเกี้ยว ท่านชายฮั่นจินผู้มีศักดิ์เป็นน้องชาย ถึงแม้จะไม่เต็มใจเป็นน้องเสียเท่าไหร่ ยืนย่อเข่าลงเ
บทที่ 84 วันสำคัญของคู่รัก (ตอนปลาย) เมืองเฉินเฉิง เจ็ดวันก่อนออกเดินทาง เซียวหนิงชิงพาทุกคนไปที่ไร่ชาของครอบครัวของนักพรตหวู่หุน หวู่ฟู่เต๋อพาพวกเขาเดินดูไร่ชาด้วยตนเอง พร้อมอธิบายความรู้เรื่องชาอย่างคร่าวๆ “อีกไม่นาน ชาฤดูใบไม้ผลิยอดแรกจะถูกเก็บเกี่ยว และนี่คือยอดชาที่ดีที่สุดของปีขอรับ” เขาอธิบายให้ทุกคนฟัง เฉินอ๋องหันไปแปลเป็นภาษาฮวาล่าให้ลี่นาซาและฮั่นจินเข้าใจ ลี่นาซาเลยขอทำการค้าชากับพวกเขาในปีถัดไป เพราะปีนี้ถูกเซียวหนิงชิงกว้านซื้อไปหมดแล้ว “ข้าแบ่งให้ท่านแม่บุญธรรมครึ่งหนึ่งก็ได้เจ้าค่ะ หากสนใจทำการค้าปรึกษารุ่ยอ๋องได้เลย คนรักของข้าความสามารถทางด้านการค้าไม่เป็นรองคนตระกูลฟ่านเลยนะเจ้าคะ” เซียวหนิงชิงสนทนากับลี่นาซาด้วยภาษาฮวาล่าอย่างยิ้มแย้ม ทว่าคนที่ถูกกล่าวถึงกลับยืนหน้านิ่ง แผ่จิตสังหารจ้องตาเด็กหนุ่มชาวฮวาล่า ผู้มีหน้าตาคมคายอย่างเอาเรื่อง ทางฮั่นจินเองก็ไม่ยอมลดละ จ้องตาชายหนุ่มอายุมากกว่าอย่างท้าทาย เซียวหนิงชิงคล้ายมองเห็นสายฟ้าพุ่งปะทะกันอยู่กลางอากาศ นางกระซิบถามหลี่โหยวว่าเกิดอะไรขึ้น “ท่านอ๋องเหลือบมาเห็นตอนที่ท่านชายฮั่นจิน เอาดอกไม้มาปักผมให้ท่านหญ
บทที่ 84 วันสำคัญของคู่รัก (ตอนต้น) ชาวฮวาล่าทุกคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นล้วนตกตะลึงกับถ้อยคำของท่านชายฮั่นจิน ลี่นาซาตกใจจนหน้าเหวอ ไม่รู้จะหาคำใดมาอธิบาย จึงหันไปตำหนิบุตรชายเสียงเขียว "ฮั่นจิน! ลูกจะหยาบคายกับท่านหญิงแบบนี้ไม่ได้นะ เป็นลูกผู้ชายต้องให้เกียรติสตรี" "ท่านแม่ ลูกไม่ได้หยาบคายนะขอรับ ลูกซื่อสัตย์กับความรู้สึกและหัวใจของลูก ลูกชอบนาง ลูกก็บอกนางตามตรง ไยท่านแม่กล่าวว่าลูกหยาบคาย" ในขณะที่สองแม่ลูกกำลังโต้เถียงกันอยู่นั้น เซียวหนิงชิงหันมากระซิบถามบิดา เรื่องนิสัยใจคอของบุรุษชาวฮวาล่า คำตอบที่ได้รับช่วยให้นางกระจ่างแจ้ง "ฮั่นจินเติบโตมากับพ่อก็จริง แต่นิสัยบางส่วนเหมือนกับหยาอินไม่มีผิด คิดอะไรก็พูดออกมาอย่างนั้น ชอบก็บอกว่าชอบ ไม่ชอบก็บอกว่าไม่ชอบ ถึงภายนอกจะดูดุดันไปบ้าง ทว่าจิตใจกลับอ่อนโยนยิ่ง นาซาเคยเล่าให้พ่อฟังถึงวิธีที่หยาอินใช้เกี้ยวพานนาง ลูกคิดว่าเขาเกี้ยวพานนางอย่างไร“ "อย่าบอกว่า จู่ๆก็มาสารภาพรักและขอแต่งงานเลยนะเจ้าคะ" เซียวหนิงชิงลองเดาดูจากพฤติกรรมของคนเป็นลูก เฉินอ๋องอมยิ้ม พยักหน้าเป็นคำตอบ “…” เซียวหนิงชิง 'ได้เลือดพ่อแท้ๆมาเต็มๆ' ขบวนอาคั