“ที่แท้เจ้านัดข้ามามิใช่พูดคุยธุระ หากแต่มาเพื่อหานางเช่นนั้นรึ” เจิ้งหนานเอ่ยพร้อมทำท่าทางจะลุกขึ้น แต่ก็ถูกเฟิงหลิงเอ่ยทัดทานไว้เสียก่อน
“เฮ้ย ๆ นี่ท่านอ๋องไยทำทีใจน้อยราวสตรีเช่นนี้กันเล่า วันนี้หนะข้าย่อมต้องการพบท่านสิ ดูสิไม่พบเจอกันเสียนานว่ากันว่าท่านอ๋องหนีคุณหนูเว่ยไปอยู่ค่ายทหารเพราะชังนาง เจิ้งหนานเจ้าอย่าได้ชังนางไปเลยสตรีท่าทางบอบบางแต่น่าทะนุถนอมราวไห่ถังฮวาเช่นนางมิเห็นว่าจะมีตรงไหนให้น่าชัง วันนี้สหายเช่นท่านหนานจวิ้นอ๋องหวนกลับเมืองหลวงทั้งทีก็ย่อมต้องมาฉลองในที่พิเศษ ๆ เสียหน่อย มา ๆ ” เฟิงหลิงเอ่ยตะล่อม เขารึก็อุตส่าห์ใช้เรื่องนี้เพื่อมาพบสาวงาม เพราะการเข้าออกหอเยว่เซียนบ่อย ๆ นั้นมิค่อยเป็นการดีเท่าไหร่สำหรับตน แต่ก็คว้าน้ำเหลวเสียนี่ เช่นนั้นวันนี้เมื่อได้มาแล้วอีกทั้งบรรยากาศยังคึกคักดีเช่นนี้ สาวงามรึก็เดินขวักไขว่อวดโฉมไปมาเป็นเช่นนี้ก็เจริญหูเจริญตาไปอีกแบบ เขาเบื่อกับการจัดงานเลี้ยงในจวน การจ้างคณะสังคีตแลนางระบำมาเต้นร่ายรำในจวนนั้นแรก ๆ ก็ตื่นเต้นดีหลัง ๆ มานี้ชักน่าเบื่อเกินไปจริง ๆ การที่ได้ออกมาเปิดหูเปิดตาเช่นนี้ก็นับว่าไม่เลวนัก เฟิงหลิงเผยยิ้มกว้างก่อนจะยกจอกสุรายื่นให้แก่สหายของตน
“เจ้านี่ รู้มากเสียจริง” เจิ้งหนานกัดฟันเอ่ยออกมาก่อนจะสาดสุราลงคอหมดจอกในคราเดียวเพื่อสะกดกลั้นความไม่พอใจที่กำลังร้อนกรุ่นอยู่ในใจ นี่คงเป็นนางอีกกระมังที่ปล่อยข่าวพวกนี้ออกมาหากนั่นมันก็มิผิดในเมื่อเขาชังหน้านาง จะให้ทนอยู่ในตำหนักแล้วมองกาฝากเช่นนางเดินไปมาในจวนเช่นนั้นหรือ หึ! เมื่อความกรุ่นโกรธในใจเกิดปะทุจึงดับอารมณ์ด้วยการยกสุราสาดเข้าคอถี่ ๆ โดยหารู้ไม่ว่าในระหว่างนั้นมีสตรีสองนางกำลังยกยิ้มอยู่หลังม่านไหมภายอีกด้านของห้องใหญ่นี้
“คุณหนูบ่าวได้เอาเงินไปให้คนของเราเพื่อเปลี่ยนสุราแล้วเจ้าค่ะ งานนี้คุณหนูของบ่าวต้องทำสำเร็จแน่เจ้าค่ะ” สตรีรูปร่างผอมบางหากแต่ใบหน้าหมดจดกำลังเอ่ยบอกผู้เป็นนายด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“หึ เช่นนั้นก็ดีในเมื่อท่านอ๋องกลับมาข้าก็ไม่อาจทนรีรอและข้านั้นมิได้ใจกว้างพอให้สตรีอื่นมามองบุรุษของข้าเสียหรอกนะ อีกทั้งปล่อยให้พวกนางเพ้อฝันคิดหมายปองในบุรุษของข้าได้เฉกเช่นกัน หึ!” ซ่างกวนอี้เหยามองคู่หมั้นตนด้วยดวงตาหมายมาด หากเจิ้งหนานพ่ายแพ้ให้กับเสน่ห์ของตนคืนนี้ไม่ว่าเช่นไรงานมงคลสมรสต้องได้จัดขึ้นโดยเร็วอย่างแน่นอน หึ! เมื่อเป็นเช่นนี้พวกบุตรีขุนนางเหล่านั้นจะได้เลิกปรามาสนางเสียที
สองบุรุษร่ำสุราจนเวลาล่วงเข้าสู่ยามไฮ่ [22.00 น.] แม้กระนั้นหอบุปผชาติก็ยังมิได้ร้างราผู้คนที่เดินเข้าออกกันขวักไขว่ หากแต่บุรุษสูงศักดิ์ทั้งสองเล่าบัดนี้เฟิงหลิงนั้นเมามายฟุบลงไปกับโต๊ะทั้ง ๆ ที่มือยังจับจอกสุราอยู่เป็นที่เรียบร้อย ส่วนเจิ้งหนานบัดนี้แม้มิได้ฟุบหลับแต่รู้สึกว่าร่างกายของตนนั้นช่างร้อนรุ่มผิดปกติ ลมหายใจหอบหนักถี่กระชั้นผิดจังหวะ โหนกแก้มที่ขาวประดุจหยกมันแพะบัดนี้ถูกแต้มอาบด้วยสีแดงระเรื่อ กรามแกร่งขบกัดกันแน่น อาการเช่นนี้ที่เกิดขึ้นนี่ไม่ถูกต้องนักเขานั้นเป็นแม่ทัพดื่มพันจอกมีหรือจะเมามาย นี่นับประสาอะไรกับสุราเพียงไม่กี่ไห...เป็นผู้ใดกันแน่ที่ช่างกล้ามาลูบคมพยัคฆ์!
“อวี้หลาง!” เจิ้งหนานพยายามประคองสติพร้อมเรียกหาราชองครักษ์ของตน
“พ่ะย่ะค่ะ” อวี้หลางเมื่อได้ยินผู้เป็นายเรียกด้วยน้ำเสียงไม่ปกติ ก็รีบปรี่เข้ามาในห้องในทันที ก่อนจะพบว่าผู้เป็นนายนั้นมีทีท่าผิดปกติไป ส่วนผู้เป็นสหายนั้นบัดนี้ได้หลับใหลไปเป็นที่เรียบร้อยเสียแล้ว
“กลับ!” เจิ้งหนานพยายามประคองสติกัดฟันเอ่ยจนสันกรามนูนเด่นชัดผิวพรรณที่ขาวผ่องประดุจหยกมันแพะบัดนี้แดงเถือกไปทั้งตัว
“ขอรับ” อวี้หลางที่เห็นท่าทางผิดปกติของผู้เป็นนายก็รีบข้าไปประคองในทันที พร้อมทั้งเรียกผู้ติดตามของคุณชายเฟิงหลิงมาดูแลผู้เป็นนายตน โดยมิลืมวางถุงเงินไว้ที่โต๊ะก่อนจากไป
ฟางเฟยเดินก้าวต่อขึ้นไปยังห้องส่วนตัวเพื่อตรวจบัญชีหลังไม่ได้มาสะสางนานเสียหลายวัน หลังจากมองหาผู้เป็นสามีและบิดามิพบนางนั่งสะสางบัญชีเพียงมินานก็มีมือใหญ่สอดเข้าโอบเอวนางจากด้านหลัง และกลิ่นนี้ท่าทางเช่นนี้นางรับรู้ได้ในทันทีว่าคือผู้ใด“ท่านอ๋อง” ฟางเฟยยิ้มอบอุ่นส่งให้ผู้เป็นสามีที่วันนี้การแต่งกายดูผิดแผกไปนัก อาภรณ์สีเรียบมองดูแล้วราวกับเป็นคุณชายตระกูลใหญ่สักตระกูลแต่ใบหน้าและท่าทางยังคงแผ่กลิ่นอายสูงศักดิ์ออกมาโดยรอบ“วันนี้เป็นวันหยุดข้าและท่านพ่อตา วันนี้พวกเราจึงมาช่วยเจ้าหนึ่งวัน” เจิ้งหนานเอ่ยจบก็ประทับจุมพิตที่แก้มนุ่มของนางไปหนึ่งคราหนัก ๆ“อืม เช่นนั้นรึเจ้าคะ เช่นนั้นหอเยว่เซียนของข้านี้นับว่าไม่เหมือนผู้ใดจริง ๆ มีคนงานเป็นถึงหนานจวิ้นอ๋องและเจ้ากรมพระคลัง แถมอดีตขันทีใหญ่อย่างเสี่ยวกงกงด้วยหนึ่งคน ฮึ ๆ” ฟางเฟยเอ่ยพร้อมทั้งหัวเราะออกมาอย่างขำขัน ก่อนจะพิงศีรษะเข้ากับแผ่นอกแกร่งของผู้เป็นสามีอย่างออดอ้อน สายตาก็ไล่อ่านบัญชีร้านไปพลาง ๆ“ก็เจ้านั้นวาสนาดีได้แต่งข้าเป็นสามีเช่นไรเล่า”“ท่านอ๋องเพคะ หวานจนเลี่ยนแล้ว” ฟางเฟยแกล้งเย้าสามีที่ระยะหลังมักป้อนคำหวานให้นางจนวัน
เป็นเวลากว่าบ่ายคล้อยที่ฟางเฟยตื่นขึ้นมา วันนี้นางมิต้องไปเคารพผู้ใดเจิ้งหนานเมื่อคืนเขากำชับนางไว้ว่าอีกสักสองสามวันค่อยเข้าวังไปเคารพไทเฮาและฮองเฮา ด้วยพระองค์ฝากความมาถึงว่าไม่เร่งรีบอันใดจวนอ๋องอยู่นอกวังการเดินทางก็ลำบากอยู่ พระองค์ยังไม่อยากรบกวนเวลาของสามีภรรยาเท่าใดนัก อีกอย่างเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วก็ไม่จำเป็นต้องมากพิธีอะไรนัก“พระชายาตื่นแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ” เสี่ยวกงกงเดินเข้ามารอท่าเตรียมรับใช้“แล้วเอ่อ...ท่านอ๋องเล่า” ฟางเฟยตื่นขึ้นมาก็ถามหาสามีเป็นอันดับแรก ส่วนซูหนิวนั้นนางรู้อยู่แล้วว่าคงไปดูแลหอบุปผชาติแทนนาง“เอ่อเข้าวังแต่เช้าตรู่พร้อมท่านเว่ยแล้วพ่ะย่ะค่ะ วันนี้พระองค์มีว่าราชการจึงฝากให้กระหม่อมดูแลพระชายาให้ดีพ่ะย่ะค่ะ” เสี่ยวกงกงเอ่ยด้วบใบหน้าแสดงความปิติยินดี เขายิ้มกว้างกว่าทุกคราที่ฟางเฟยเคยพบเจอ ก่อนจะหันไปเรียกนางกำนัลที่รอรับใช้สองคนมาช่วยพยุงนางที่ยังรู้สึกเจ็บร้าวบริเวณกึ่งกลางกายขึ้นพร้อมทั้งปรนนิบัติอาบน้ำ‘ให้ตายเถิดข้ามิน่าเหิมเกริมกับท่านอ๋องเลยจริง ๆ ข้าประเมินกำลังเขาต่ำไปมากนัก’ ฟางเฟยคร่ำครวญในใจก่อนจะนิ่วหน้าพร้อมทั้งหลุดเสียงครางน้อย ๆ ยามที่น
“อื้อ อะอ๊า ทะท่านอะอ๋อง อื้อ” ฟางเฟยบัดนี้ขยับสะโพกถูไถถ้ำบุปผาของตนเข้าบดเบียดกับหน้าขาแกร่งของเขารุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ตามแรงอารมณ์ที่กำลังจู่โจมนาง และยิ่งลิ้นหนาของเขาก้มลงดูดดึงแลบีบเคล้นปถุนถันคู่งามของตนอย่างหิวกระหายประหนึ่งทารกแล้วนั้นนางยิ่งทวีอารมณ์ปรารถนาในตัวเขารุนแรงยิ่งขึ้น นางนึกขัดใจเล็กน้อยที่วันนี้เขาไม่จู่โจมนางในทันทีกลับอิดออดไปเสียเช่นนั้นจนเมื่อนางใกล้เข้าใกล้จุดสูงสุดเวลานี้นายหญิงแห่งหอเยว่เซียนจึงเลือกเอาหนึ่งในวิชาสอนสตรีและกระบวนท่าในตำราร้อยบุตรขึ้นมาปรนนิบัติผู้เป็นสามีแทน ในเมื่อเป็นสามีภรรยากับแล้วก็ย่อมเปิดเผยตรงไปตรงมาเช่นนั้นวันนี้นางจะให้เขาเป็นฝ่ายร้องขอ ในเมื่อเขาวันนี้ต้องการกลั่นแกล้งนางเช่นนั้นนางจะให้บทลงโทษแก่สามีรูปงานเองในวันนี้“อึก ๆ” เจิ้งหนานเวลานี้ตาเบิกกว้างเมื่อหวางเฟยตัวน้อยพลิกตัวขึ้นนั่งควบกดทับบนแท่งหยกแกร่งของตนแม้ยังไม่สอดใส่แต่เวลานี้เจิ้งหนานนั้นหัวใจแกร่งแทบทะลุออกมายังภายนอกอกแกร่งเข้าเสียแล้ว“ท่านอ๋อง...อะอื้ม...ท่านพี่...” ฟางเฟยก้มเอ่ยประชิดริมฝีปากหนาอย่างยั่วเย้า สะโพกนั้นก็หมุนควงคลึงแท่งหยกของเขาไปมาอย่างช้ำชองตามวิ
เช้าวันนี้นับเป็นวันที่ฤกษ์ดีและเป็นมงคลที่สุดในรอบหลายปีของจวนหนานอ๋อง ทั่วทั้งจวนประดับตกแต่งด้วยผ้าและข้าวของสีแดงทั้งจวนใหญ่แลถนนหนทางและด้านหน้าหอเยว่เซียนนั้นเต็มไปด้วยกระดาษสีแดงเขียนอักษรมงคลและคำอวยพร ฟางเฟยสวมใส่ชุดสีแดงปักลวดลายมงคลตระการตา ชุดนี้ไทเฮาประทานให้กับหลานสะใภ้หลวงเช่นนางด้วยพระองค์เอง ซึ่งหลังจากวันนั้นที่กลับไปไทเฮาก็ส่งช่างหลวงมาที่จวนมาวัดตัวนางละไม่นานชุดแต่งงานนี้ก็ถูกนางกำนัลประจำกองภูษานำมาส่งให้ในอีกสามวันต่อมา ร่างบางถูกพาเดินไปตามทางเดินศีรษะนั้นมีผ้าสีแดงปกคลุมอยู่ ด้วยความที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวนั้นอาศัยอยู่ในจวนเดียวกันการรับตัวเจ้าสาวจึงเป็นเพียงการเดินข้ามตำหนักเท่านั้น แต่หนานจวิ้นอ๋องหลานรักไทเฮาและพระราชนัดดามีชื่อในฮ่องเต้เหยียนโจวแต่งพระชายยาทั้งทีจะให้น้อยหน้าได้เฉกเช่นใด ฉะนั้นแม้ไม่มีเกี้ยวแปดคนหามมาส่งเจ้าสาวแต่กลับเป็นสินสมรสพระราชทานจากวังหลวงทั้งจากฝ่าบาทและไทเฮาประทานมาให้คนทั้งคู่แทน ลือกันว่าหัวขบวนถึงจวนหนานอ๋องแล้วแต่ท้ายขบวนนั้นกลับพึ่งออกห่างจากกำแพงพระราชวังพียงไม่กี่จั้ง นับว่าเป็นงานมงคลที่จัดได้ยิ่งใหญ่และสมฐานะแลพระเกียรติอยู่ม
หลังไทเฮากลับไปค่ำคืนนี้นางตั้งใจจะเอ่ยบางอย่างกับหนานจวิ้นอ๋องวันนี้จึงตั้งใจอาบน้ำตั้งแต่หัวค่ำก่อนจะนอนพักสายตารอเขากลับมาที่ตำหนักของตน“หืม หอมยิ่งนักข้าชักเสพติดเจ้าเสียแล้วกระมัง เหตุใดวันนี้นอนเร็วนักเล่า” เจิ้งหนานที่อาบน้ำเรียบร้อยก็ตรงเข้าไปก้มใบหน้าคมเข้มที่มีไรหนวดเคราขึ้นจาง ๆ อิงแอบซุกซบกับฟางเฟยที่นอนหลับตานิ่งบนเตียงในทันที ก่อนเปลี่ยนเป็นตวัดให้นางนอนหนุนแขนแกร่งของตนแทน“อื้อ ท่านอ๋องมาแล้วหรือ ข้ามีเรื่องหนึ่งจะพูดคุยกับพระองค์เสียหน่อยเพคะ”“อืม เจ้าว่ามาเถอะ” เจิ้งหนานนอนหลับตานิ่งแต่มือหนายังคงลูบหลังนางเล่นไปมา“หากว่าพวกเรากราบไหว้เพียงฟ้าดินได้รึไม่” ฟางเฟยเอ่ยเสียงอู้อี้ใต้อ้อมแขนแกร่งเจิ้งหนานพอได้ยินฟางเฟยเอ่ยเช่นนั้นก็ถึงกลับชะงัก เขานิ่งพินิจความคิดของนางเพียงครู่ ก่อนจะบอกกล่าวถึงเหตุผลที่กระทำพิธีเรียบง่ายเช่นนางว่าไม่ได้“แต่หากว่าพระองค์แต่งข้าเป็นพระชายาแล้วเช่นนั้นข้าจะสามารถดูแลหอเยว่เซียนได้อีกรึไม่ เช่นนั้นจะไม่เสื่อมเสียไปถึงพระองค์หรอกหรือ รึไม่เช่นนั้นพวกขุนนางที่ยืนคนละฝ่ายกับพระองค์จะไม่...อื้อ” ฟางเฟยยังเอ่ยมิจบก็ถูกหนานจวิ้นอ๋องจุมพิตปิด
ฟางเฟยเวลานี้นั่งดื่มชาชมดอกบัวในเก๋งหลังใหญ่ ในมือบางนั้นถือม้วนราชโองการจากฝ่าบาทอยู่ในมือด้วยจิตใจล่องลอย หากแต่ใบหน้านั้นกลับสว่างวาบมุมปากแต้มประดับยิ้มน้อย ๆ“เอ๊ะ คุณหนูดูนั่นสิเจ้าคะ” ซูหนิวชี้ให้ดูสองบุรุษที่เดินเคียงข้างตามกันไปด้วยท่าทีพูดคุยหยอกล้อกันไปตลอดทางเดินให้ผู้เป็นนายได้มองชัด ๆ“นะนั่นท่านพ่อนี่ แล้วก็ท่านอ๋อง…” ฟางเฟยเห็นภาพบุรุษที่เริ่มซึมซับเข้ามาในใจนางขึ้นทุกวันก็พลันเกิดความอุ่นวาบขึ้นมาใจและนางมองภาพนั้นด้วยรอยยิ้มกว้าง ก่อนจะตัดสินใจแน่ชัดว่าต่อไปจะดำเนินชีวิตไปในทิศทางใด‘ในเมื่อพระองค์ใส่ใจข้าและพิสูจน์ชัดแล้วว่ามิได้ไร้ใจ อีกทั้งเป็นที่พักพิงให้ข้าได้ยามข้ามีภัย นี่ก็เพียงพอแล้วกระมัง’ ฟางเฟยเมื่อคิดตกดีแล้วพลันถอนหายใจออกมาอย่างนึกปลงในใจ เอาเถิดในเมื่อตัดสินใจแล้วก็ย่อมไม่กลัวผลลัพธ์“แม่นางเว่ย ๆ แฮ่ก ๆ” เสี่ยวกงกงวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาหานางถึงด้านในเก๋งหลังใหญ่ ขันทีวัยกลางคนมีสีหน้าแตกตื่น ก่อนเขาจะยืนหอบหายใจเพียงครู่ก็ละล่ำละลักเอ่ยกับนาง“ทะไทเฮาเสด็จขะขอรับ แฮ่ก ๆ เกรงว่าพระองค์จะตั้งใจมาพบท่านกระมัง ทะท่านรีบไปเถิด”“ฮ่ะห๊ะ ทะไทเฮาเสด็จมาเช่นนั