공유

บทที่ 3 รถม้าปริศนา (1)

last update 최신 업데이트: 2025-06-19 00:41:53

ต้นยามโฉ่ว [1]

เสียงลมโกรกหวีดหวิวดังอยู่ข้างหู สตรีสองนางจับจูงมือกันมุ่งหน้าอยู่บนเส้นทางอันมืดมิด แขนขาทั้งสองข้างเริ่มอ่อนล้าไร้กำลังลงทุกขณะ

“คุณหนู เราจะไปที่ใดกันหรือเจ้าคะ” โปหรานหน้าซีดขาวเหงื่อเปียกโซมเต็มแผ่นหลัง 

“อาหรานเราแยกกันตรงนี้เถิดนะ เจ้ากลับบ้านเดิมของเจ้า แล้วนำเงินก้อนนี้ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่”

โปหรานจับมือไป๋เฉินเซียงแน่นพลางส่ายหน้าระรัวเร็ว ดวงตาแดงก่ำคลอไปด้วยหยาดน้ำตา “คุณหนูบ่าวเป็นห่วงท่าน ท่านจะไปที่ใดให้บ่าวไปด้วยเถิดนะเจ้าคะ”

ดวงตาสุกสกาวฉายแววความเอื้ออาทร เพราะไป๋เฉินเซียงเองก็ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นจากที่ตรงไหน เดิมทีไป๋เฉินเซียงถูกเลี้ยงดูให้อยู่ติดในจวน ทว่าครั้งหนึ่งนางเคยขึ้นเขาไปไหว้พระขอพรที่วัดเฉินหลิงกับมารดาในตอนที่มารดาของนางยังมีชีวิตอยู่ 

ไป๋เฉินเซียงเล่นซ่อนแอบกับเด็กชายคนหนึ่ง ดูเหมือนเขาก็มาที่นี่กับมารดาเช่นเดียวกัน ตอนนั้นนางและเขาต่างก็เด็กด้วยกันทั้งคู่ แม้อีกฝ่ายดูโตกว่าแต่นั่นนับเป็นเรื่องเมื่อชาติก่อน ไป๋เฉินเซียงจำหน้าค่าตาของเขาไม่ได้แล้ว

วิ่งเล่นกันไปมาไป๋เฉินเซียงก็หลงเข้าไปในอารามด้านใน จึงได้เห็นว่าที่วัดเฉินหลิงไม่ใช่เพียงวัดเก่าที่อยู่บนเนินเขาทึมทึบธรรมดา ทว่ากลับเป็นถึงสำนักศึกษาของหมอหัตถ์เทวดาที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ แม้ตอนนั้นไป๋เฉินเซียงอายุเพียงไม่กี่หนาว แต่นางก็พอรู้ความบ้างแล้ว

ไป๋เฉินเซียงเคยนึกสงสัยมาโดยตลอด หากมารดาของนางอยากไหว้พระขอพรไยต้องตรากตรำเพียงนี้ ทั้งที่วัดในเมืองหลวงก็มีตั้งมาก ทว่ากลับเลือกบากบั่นเพื่อมาขอพรยังวัดเก่าคร่ำคร่าที่ไร้ผู้คน หนำซ้ำบรรยากาศยังวิเวกวังเวงประหนึ่งวัดร้าง หากไม่มีองค์พระพุทธรูปตั้งอยู่ และมีนักพรตอาศัย ไป๋เฉินเซียงคงคิดว่าที่นี่เป็นเพียงซากปรักหักพังแห่งหนึ่งเท่านั้น 

แท้ที่จริงมารดาของไป๋เฉินเซียงก็เป็นลูกศิษย์ของนักพรตที่นี่ มารดาของไป๋เฉินเซียงมีนามว่า เยว่ซิน นางคือหมอหญิงหัตถ์เทวดาผู้เก่งกาจ ซ้ำยังเติบโตที่วัดเฉินหลิงตั้งแต่แบเบาะ 

เยว่ซินเป็นเด็กกำพร้า อยู่มาวันหนึ่งนางได้พบเข้ากับชายบาดเจ็บโดยบังเอิญที่ตีนเขา เยว่ซินตัดสินใจช่วยชีวิตเขาไว้จนเกิดมีใจให้กัน ผู้ใดจะทันคาดคิดว่าหมอหญิงผู้ปราดเปรื่องจะส่งตัวเองไปลงนรก ณ จวนสกุลไป๋ เพราะคำว่ารักบังตาคำหวานของบุรุษลวงใจทำให้นางแต่งเข้าจวนสกุลไป๋เงียบ ๆ 

เยว่ซินร่ำลาอาจารย์เพื่อออกเดินทางไปยังจวนสกุลไป๋พร้อมกระเตงท้องที่เริ่มโตขึ้นทุกวันไปด้วย กระนั้นเมื่อไปถึง เยว่ซินจึงได้รู้ว่าบุรุษที่นางมอบทั้งตัวและใจให้เขามีฮูหยินและลูกรออยู่ที่จวน นางจึงเป็นได้เพียงอนุผู้ต่ำต้อย หลังให้กำเนิดไป๋เฉินเซียงจนนางอายุครบห้าหนาว เยว่ซินก็ด่วนจากไปด้วยไข้ใจอันเรื้อรัง 

มิน่าเล่าไป๋เฉินเซียงจึงชอบศึกษาเกี่ยวกับตำราพืชสมุนไพร นางสามารถจดจำรายละเอียดเรื่องการรักษาโรคต่าง ๆ ได้ แม้จะลอบเรียนรู้ด้วยตนเองก็ตาม แต่ก็นับว่าไป๋เฉินเซียงเรียนรู้ได้ไวอย่างยิ่ง อาจเพราะนางได้รับสืบทอดจิตสำนึกการเป็นหมอผ่านสายเลือดมาจากมารดาเต็มตัว 

ตอนไป๋เฉินเซียงอายุได้เจ็ดหนาว นางยังเคยร้องขอบิดาเพื่อร่ำเรียนเกี่ยวกับการแพทย์ ทว่าไป๋จื่อเหิงกลับไม่เห็นด้วย หยางปิ่งอี้ก็ขัดขวาง ไป๋เฉินเซียงจึงได้ร่ำเรียนแค่เพียงการเย็บปักถักร้อย วาดภาพ เล่นดนตรีเฉกเช่นสตรีทั่วไป ต่อให้เป็นเช่นนั้นนางก็ยังลอบเข้าหอตำราของสกุลไป๋อยู่บ่อยครั้งโดยไม่มีผู้ใดจับพิรุธได้ 

ในชาตินี้ไป๋เฉินเซียงพบทางสว่างของตนแล้ว หากนางเลือกเดินไม่ผิด นางจะขอเป็นหมอหญิงหัตถ์เทวดาเฉกเช่นมารดาของตน การตายอย่างอยุติธรรมของไป๋เฉินเซียงในชาติก่อนต้องได้รับการสะสางจนสิ้น 

เพียงแต่ไป๋เฉินเซียงไม่อาจเดินดุ่ม ๆ เข้าไปยังจวนสกุลหลาน แล้วยกเอาอดีตที่ผันผ่านมาเรียกร้องหาความยุติธรรมให้ตนได้ ไป๋เฉินเซียงจำเป็นต้องมีความสามารถเพียงพอที่จะต่อกรกับพวกเลวทรามไร้หัวใจก่อน เพราะหากใช้อารมณ์เป็นที่ตั้ง ก็รังแต่เป็นการขุดหลุมฝังตนเช่นเดิม

เรื่องแก้แค้นทวงคืนความเป็นธรรมหากยังมีลมหายใจ สิบปีก็ยังไม่สายมิใช่หรือ 

“อาหราน หากเราเดินทางไปด้วยกันต้องถูกท่านพ่อเจอตัวแน่”

แม้ไป๋จื่อเหิงเป็นเพียงขุนนางขั้นหก เขาก็มีอำนาจเพียงพอจะส่งเรื่องขอตรวจสอบคนเข้านอกออกในกำแพงเมืองได้ ดังนั้นไป๋เฉินเซียงจำเป็นต้องเดินทางออกจากเมืองให้ทันก่อนฟ้าสาง

คาดการณ์จากท้องนภาในยามนี้ อีกไม่กี่ชั่วยามพระอาทิตย์ก็คงโผล่มาแทนที่ นางต้องเร่งฝีเท้าอีกหน่อย ไม่เช่นนั้นจุดจบต้องไม่พ้นชะตาชีวิตเดิม 

ไป๋เฉินเซียงตรองอยู่นาน เสียงใสเอ่ยเพื่อประโลมจิตใจโปหราน  “อาหราน ข้าสัญญาว่าจะรักษาตัวเองให้ดี และข้าก็หวังว่าเจ้าจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ได้แต่งงานกับคนที่รัก มีครอบครัวสุขสันต์ และได้ใช้ชีวิตดั่งใจปรารถนา”

โปหรานน้ำตาไหลพรากร้องไห้โฮดั่งทำนบแตก “ฮึก…ฮื่อ…คุณหนู บ่าวไม่รู้ว่าเหตุใดคุณหนูจึงเลือกเส้นทางนี้ แต่ในเมื่อเป็นความตั้งใจของท่าน เช่นนั้นบ่าวจะไม่ขวาง คุณหนูรักษาตัวด้วยนะเจ้าคะ”

ไป๋เฉินเซียงยกมือลูบหลังโปหราน นางเองก็ชอกช้ำไม่ต่าง แต่ก็ไม่อาจฉุดใครให้มาเสี่ยงกับแผนการของตนได้ “ข้าเชื่อว่าเราจะต้องได้พบกันอีก อาหราน รักษาตัวด้วย” เสียงใสอ่อนโยนคล้ายสายน้ำเย็นที่อาบชโลมจิตใจซึ่งอ่อนล้า ไป๋เฉินเซียงดึงปิ่นปักผมอันล้ำค่าลงมา จากนั้นก็ยัดเข้าไปในมือโปหราน

โปหรานไม่รับ นางส่ายหน้าและยื่นมันคืนให้ไป๋เฉินเซียง ไป๋เฉินเซียงยิ้มอ่อน “เจ้ารับไว้ ข้าจะได้สบายใจ เอามันไปขายรวม ๆ กับเงินในนั้นคงพอให้เจ้าได้มีที่พักดี ๆ จนกว่าจะหาหนทางของตนเจอ”   

โปหรานยิ้มขื่นขม นางพูดไม่ออกพลางกลืนก้อนสะอื้นที่จุกอยู่กลางลำคอลงไป ท้ายที่สุดโปหรานก็ยอมกำปิ่นนั้นเอาไว้แล้ว 

โปหรานพยักหน้าหงึกหงัก “เจ้าค่ะคุณหนู ท่านเองก็รักษาตัวด้วย”  

ไป๋เฉินเซียงพยักหน้า ดวงตาคลอไปด้วยหยาดน้ำพราวระยับ ไม่นานทั้งสองก็เลือกผละจากกันอย่างสุดอาลัยและมุ่งหน้าออกเดินทางไปคนละทิศ 

เชิงอรรถ

^ ยามโฉ่ว (丑:chǒu) เริ่มนับตั้งแต่เวลา 01.00 – 03.00 น.

이 책을 계속 무료로 읽어보세요.
QR 코드를 스캔하여 앱을 다운로드하세요

최신 챕터

  • วิวาห์ลวงรักแม่ทัพตาบอด   บทที่ 14 วิชาพิสดาร (2)

    หนึ่งสัปดาห์ผันผ่าน สตรีร่างระหงสวมอาภรณ์สีขาวสะอาดตา คาดผ้าแพรปิดใบหน้าครึ่งล่างเยื้องย่างเข้ามาหยุดยืนบริเวณประตูหน้าจวนสกุลวูซึ่งมีหมอทั้งชายและหญิงเดินกระทบไหล่เข้าออกไม่ขาดสายเสียงใสเอ่ย “ข้าหมอหญิงจากต่างถิ่น ได้ยินว่าคุณหนูวูเกิดป่วยด้วยโรคประหลาด จึงเดินทางมาเพื่อทำการรักษานางเจ้าค่ะ”บ่าวชายที่เฝ้าหน้าประตูกวาดตามองเรือนร่างสตรีผู้มาเยือนตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า “เจ้าแน่ใจรึว่าเป็นหมอ”หญิงสาวยิ้มกว้างไปจนถึงดวงตา แม้เผยรูปโฉมเพียงครึ่งบนของใบหน้าทว่านัยน์ตาสว่างใสของนางก็ทำเอาบุรุษใจสั่นระทวย หญิงสาวกล่าวต่อ “พี่ชาย ข้าเป็นหมอเจ้าค่ะ หากไม่เชื่อท่านอยากให้ข้าช่วยจับชีพจรหรือไม่” เปลือกตาบางหลุบต่ำลงกว่าสะดืออีกฝ่ายเป็นเชิงเย้าแหย่บ่าวนายนั้นมองแววตากระจ่างใสดั่งน้ำค้างด้วยความเลื่อนลอย ความคิดสกปรกผุดขึ้นเต็มศีรษะ ครั้นสังเกตเห็นสายตาของนางที่ลดมองต่ำ บ่าวรับใช้นายนั้นก็ถึงขั้นตัวงอ ชายหนุ่มพยายามขับไล่ความคิดฟุ้งซ่านทิ้ง ตอบกลับด้วยท่าทีเสียอาการ “ชะ...เช่นนั้นท่านหมอรอสักครู่”ชายหนุ่มผละห่างไปพร้อมเหงื่อเย็นที่หลั่งเต็มหน้าผาก เสียงใส

  • วิวาห์ลวงรักแม่ทัพตาบอด   บทที่ 14 วิชาพิสดาร (1)

    “ตื่นแล้วหรือ”เสียงทุ้มนุ่มดังมาจากด้านหน้าโถงกราบไหว้ ไป๋เฉินเซียงเดินเก้ ๆ กัง ๆ เข้าไปใกล้ เว้นระยะห่างอย่างเหมาะสม นางประสานมือค้อมศีรษะเพื่อเคารพอีกฝ่าย“ท่านอาจารย์”นักพรตชราติงรุ่ยฉีเปิดเปลือกตาขึ้นแช่มช้า เขาสังเกตเห็นสีหน้าไม่สู้ดีของไป๋เฉินเซียง จึงเอ่ยถามเพื่อคลายข้อสงสัย“เจ้ามีเรื่องลำบากใจใด”ไป๋เฉินเซียงลังเลพักใหญ่ ไม่นานก็ตัดสินใจเปิดปาก “ท่านอาจารย์ ข้าอยากลงเขาเจ้าค่ะ”“หืม”ไป๋เฉินเซียงรวบรวมความกล้า ไม่ทันอธิบายหว่านล้อม ผู้เป็นอาจารย์ก็โพล่งตัดบทความในใจขึ้นเสียก่อน “เจ้าแน่ใจหรือ”ไป๋เฉินเซียงกะพริบตาฉงน เดิมทีนางคิดว่าอาจถูกอาจารย์ซักไซ้ไล่เลียงมากกว่านี้ “ท่านอาจารย์ไม่ถามหรือเจ้าคะ ว่าเหตุใดข้าจึงอยากลงเขา”นักพรตชราหัวเราะขัน “เซียงเอ๋อร์ ทุกชีวิตย่อมมีเส้นทางของตนเอง เจ้ายังจำที่ข้าเคยบอกไว้ได้หรือไม่”ไป๋เฉินเซียงเม้มปากจนเกิดเป็นเส้นตรง “ที่ข้าได้กราบท่านเป็นอาจารย์หาใช่ความบังเอิญ”“ไม่ผิด”คิ้วสวยขมวดแน่น อาจารย์ของนางมักเล่นถ้อยคำให้นางคิดเองอยู่เสมอ“ล

  • วิวาห์ลวงรักแม่ทัพตาบอด   บทที่ 13 นางในฝัน (2)

    หลานอี้ซินส่ายศีรษะ มือยังถือม้วนภาพกำไว้จนแน่น ภายในใจยามนี้ดุจดั่งมีเส้นด้ายล่องหนมัดตัวเขาไว้ พริบตาหลานอี้ซินก็สะบัดกายขึ้นรถม้าไม่พูดไม่จา ทิ้งให้หลีซงยืนอ้าปากหวองุนงงจวบจนรถม้าเคลื่อนออกไปเว่ยเสี่ยวเฉินย้ายสายตาจากสหายกลับมายังองครักษ์ร่างสูงที่ยังยืนเป็นเบื้อใบ้เว่ยเสี่ยวเฉินเรียกสติ “หลีซง หากเจ้าไม่ไปยามนี้ เกรงว่าคงได้เดินกลับเองแล้วกระมัง”หลีซงหลุดจากภวังค์ “อ้อ...เช่นนั้นลาก่อนคุณชาย”ต่างฝ่ายต่างค้อมตัวเป็นมารยาทแก่กันเล็กน้อย“แล้วพบกันใหม่ อย่าลืมสิ่งที่ข้าฝากฝังนายของเจ้าด้วยเล่า”“ขอรับ”เว่ยเสี่ยวเฉินมองตามแผ่นหลังหลีซงพลางแย้มยิ้มสว่างเจิดจ้าดั่งดวงตะวันทอแสง พริบตาร่างสูงก็หมุนกายกลับเข้าไปในจวนรถม้าเคลื่อนไปตามเส้นทางเรียบเรื่อย จากเมื่อคืนที่มีการจัดงานครึกครื้นก็เงียบลงถนัดตา เหลือเพียงบางร้านที่ยังเก็บข้าวของไม่เรียบร้อยหลีซงกระโจนขึ้นรถม้า “ท่านแม่ทัพ”“เข้ามาเถิด”หลีซงแหวกม่านประตูสีเข้มที่ปักลายพยัคฆ์ด้วยเส้นด้ายไหมทองคำออก ขาสูงเยื้องย่างเข้าไปด้านในก่อนหย่อนกายลงฝั่งตรงข้

  • วิวาห์ลวงรักแม่ทัพตาบอด   บทที่ 13 นางในฝัน (1)

    กว่าจะกลับถึงที่หมายก็เล่นเอาหอบ ไป๋เฉินเซียงแหงนหน้ามองม่านเมฆาพลางพ่นลมหายใจออกมาอย่างนึกปลดปลง“ศิษย์น้อง เจ้าไม่ได้พักที่โรงเตี๊ยมหรือ”ไป๋เฉินเซียงตกใจหน้าเปลี่ยนสี “ศิษย์พี่ มาไม่ให้สุ้มให้เสียง หากข้าหัวใจวายตายจะทำเช่นไร”นักพรตน้อยเกาจวิ้นถือโคมไฟส่องแสงสว่างอยู่ในมือ ริมฝีปากยกยิ้มบาง “ขออภัย ข้าคิดว่าเจ้าจะกลับตอนฟ้าสางเสียอีก นี่ใกล้ถึงต้นยามเหม่า [1] แล้ว ข้าและท่านอาจารย์จึงออกมาเข้าฌานแต่เช้าตรู่”ไป๋เฉินเซียงยิ้มแห้ง ต่อมาก็อ้าปากหาวหวอดใหญ่ “ข้าเที่ยวเล่นเพลินไปหน่อย เห็นว่าไม่กี่ชั่วยามก็คงเช้า เลยไม่พักโรงเตี๊ยมให้สิ้นเปลืองเจ้าค่ะ”นักพรตน้อยเกาจวิ้นตาโต “ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นหญิงแกร่ง แต่การขึ้นเขาลำพังก็อันตรายมาก เงินไม่กี่ตำลึงไยถึงตระหนี่เพียงนี้ นั่นคุ้มค่าให้เจ้าเสี่ยงหรือ”“ศิษย์พี่ ท่านเอะอะอันใด อย่าคิดมากเลยเจ้าค่ะเดี๋ยวริ้วรอยขึ้นก่อนวัยไม่รู้ด้วยนะเจ้าคะ ตลอดเส้นทางนั้นราบรื่นมาก ไม่มีอันตรายใดกล้ำกรายข้าแม้แต่ปลายเส้นผม” ไป๋เฉินเซียงยกปลายนิ้วโป้งและนิ้วชี

  • วิวาห์ลวงรักแม่ทัพตาบอด   บทที่ 12 มนต์เสน่ห์

    ในคืนเทศกาลโคมไฟเว่ยเสี่ยวเฉินไม่ได้พูดเปล่า เขาออกตามหาไป๋เฉินเซียงจริง ทว่าแทบพลิกแผ่นดินหา เขาก็ยังหานางไม่พบ กระทั่งถอดใจเดินคอตกกลับเรือนอย่างจำนน“เจ้ากับนางคงไร้วาสนาต่อกัน” หลานอี้ซินเอ่ยเสียงเรียบเว่ยเสี่ยวเฉินกระเง้ากระงอด “เจ้าเงียบปากไปเลย คนเช่นเจ้าเชื่อเรื่องบุญวาสนาตั้งแต่เมื่อใดกัน ข้ากับนางมีวาสนาร่วมกันแน่ ข้าเชื่อว่าจะต้องได้พบนางอีก”บุรุษร่างสูงกระแทกกายนั่งลงตรงเก้าอี้ไม้ขัดฝั่งตรงข้าม เวลาล่วงเลยมาจนถึงต้นยามโฉ่ว [1] เว่ยเสี่ยวเฉินเหลือบซ้ายแลขวา “เอ๊ะ หลีซงเล่า เขาไม่ได้เข้ามาด้วยหรือ”หลานอี้ซินยกชาขึ้นจิบ “ไปแล้ว”“หา…ไปไหน องครักษ์เจ้าคงไม่ได้ไปหาสาวงามกระมัง หากบอกว่ากลับจวนสกุลหลานเขาคงไม่ทิ้งเจ้าไว้ลำพังแน่”“ทำไม เจ้าคร้านจะดูแลสหายตาบอดงั้นหรือ”“โธ่ เหตุใดแม่ทัพไป๋หู่ผู้เกรียงไกรจึงมีถ้อยคำน้อยอกน้อยใจเยี่ยงสตรีไปได้ ข้าไม่เคยเห็นเจ้าเป็นเช่นนี้มาก่อนเลย” เว่ยเสี่ยวเฉินหรี่ตาพลางสำรวจใบหน้าหล่อเหลาทว่าสีหน้าของเขากลับเฉยชาดั่งดินปั้นไม้แกะสลัก&n

  • วิวาห์ลวงรักแม่ทัพตาบอด   บทที่ 11 หูแว่ว

    ไป๋เฉินเซียงไม่ได้เดินทางกลับในทันที เพราะค่ำคืนนี้เป็นเวลามืดมากแล้วหากเดินเท้าขึ้นเขาลำพังเกรงว่าจะเกิดอันตราย“เถ้าแก่หนึ่งห้อง”“เถ้าแก่หนึ่งห้อง”เสียงสอดประสานดังขึ้นหน้าโต๊ะรับรองของโรงเตี๊ยม ไป๋เฉินเซียงเหลือบมองบุรุษร่างสูงผ่านแพรผืนโปร่ง“นายท่านทั้งสอง ขออภัยจริง ๆ วันนี้เทศกาลโคมไฟ ผู้คนจึงเข้ามาพักมากกว่าปกติ ตอนนี้เหลือเพียงหนึ่งห้องขอรับ” เถ้าแก่โรงเตี๊ยมหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกไป๋เฉินเซียงพิเคราะห์มือเรียวยาวของอีกฝ่าย ดูไปแล้วดั่งชายงามไม่เคยตรากตรำงานหนัก เมื่อเทียบกับมือที่ปรุงโอสถเก็บสมุนไพรของนางแล้วยังรู้สึกด้อยกว่าบุรุษเช่นเขาอยู่หลายขุมไป๋เฉินเซียงสลัดความคิดฟุ้งซ่านทิ้ง ต่างฝ่ายต่างเลื่อนก้อนเงินไปตรงหน้าเถ้าแก่โรงเตี๊ยมไป๋เฉินเซียง “เถ้าแก่ แต่ข้ามาก่อนเขา”“เอ๋ เอ๋ น้องชาย เจ้าเอ่ยเช่นนี้ก็ไม่ถูก เห็นได้ชัดว่าเรามาพร้อมกัน” บุรุษหน้าวสันต์กล่าวอย่างใจเย็น ริมฝีปากของเขาปรากฏรอยยิ้มพราวระยับเต็มไปด้วยกลิ่นอายหยอกล้อ“แล้วท่านจะเอาอย่างไร วันนี้ข้าต้องการห้องพัก”เถ้าแ

더보기
좋은 소설을 무료로 찾아 읽어보세요
GoodNovel 앱에서 수많은 인기 소설을 무료로 즐기세요! 마음에 드는 책을 다운로드하고, 언제 어디서나 편하게 읽을 수 있습니다
앱에서 책을 무료로 읽어보세요
앱에서 읽으려면 QR 코드를 스캔하세요.
DMCA.com Protection Status