แชร์

บทที่ 5 นักต้มตุ๋นน้อย

ผู้เขียน: เทียนสื่อ
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-06-21 12:00:07

ธรณีทางเข้าวัดเฉินหลิงสูงตระหง่านตั้งอยู่ท่ามกลางหุบเขาเงียบสงัด เพราะอากาศชื้นอยู่ตลอด อีกทั้งยังผ่านร้อนผ่านลมฝนมาหลายร้อยปี เสาและขอบธรณีจึงเกิดตะไคร้สีเขียวขุ่นเกาะอยู่ บริเวณโดยรอบโอบล้อมด้วยไม้ยืนต้นทั้งใหญ่และเล็กงอกเงยรวมกันประหนึ่งกำแพงพรางตา

วัดเฉินหลิงแต่เดิมก็เป็นวัดที่ปลีกวิเวกตัดขาดจากโลกภายนอก สภาพโดยรอบจึงดูทรุดโทรมลงไปมาก แม้จะเก่าคร่ำคร่าทว่ากลับเปี่ยมด้วยกลิ่นอายแห่งความสงบและอ่อนโยนดุจดั่งธารานิ่งไร้ระลอกคลื่น ผู้ที่บังเอิญพบเห็นอาจคิดว่าน่าหวาดกลัว แต่สำหรับไป๋เฉินเซียงแล้ว นางรู้สึกว่าที่แห่งนี้เปี่ยมล้นไปด้วยความอบอุ่น 

ไป๋เฉินเซียงแหงนหน้ามองป้ายชื่อวัดซึ่งสลักอยู่บนแผ่นศิลาผุพังพลางทรุดตัวนั่งด้วยความอ่อนระโหยโรยแรง เสียงหอบหายใจหนักหน่วงสะท้อนก้องไร้จังหวะ ริมฝีปากบางเฉียบยกโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มที่ส่งไปจนถึงดวงตา

วัดเฉินหลิง ข้ามาถึงแล้วสินะ

ไป๋เฉินเซียงไร้ซึ่งกำลังขาให้ก้าวต่อ นางจึงพักเอาแรงอยู่หน้าประตูชั่วครู่ เพราะเมื่อหลายชั่วยามก่อนต้องวิ่งเท้าเป็นระวิง ทั้งที่กระโดดลงจากรถม้าซึ่งวิ่งเร็วปานลมกรดจนร่างสะบักสะบอม ไป๋เฉินเซียงเร่งเดินทางจนลืมไปว่ายังไม่มีอะไรตกถึงท้องตลอดทั้งวัน นัยน์ตาทั้งสองฝั่งพร่าเบลอลงไปมาก ไป๋เฉินเซียงสลัดศีรษะเพื่อเรียกสติ กระนั้นบรรยากาศโดยรอบก็ยังกลับด้านสลับหมุนจนสับสนอลหม่าน 

นางกำลังจะหมดสติเพราะสิ้นเรี่ยวแรง!

หิวจัง...

เสียงฝีเท้าของใครบางคนเยื้องย่างดังสวบสาบใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ทว่ายามนี้นางมองเห็นเพียงปลายเท้าอีกฝ่ายเท่านั้น

“คุณชาย ท่านเป็นอะไรหรือไม่”

เสียงทุ้มดังขึ้นเหนือศีรษะ ไป๋เฉินเซียงประคองสติ พยายามแหงนหน้าขึ้นเนิบนาบ แม้มองอีกฝ่ายไม่ชัดแจ้ง ทว่าเงาเลือนรางของเขาบ่งบอกว่าต้องเป็นนักพรตของที่นี่อย่างแน่นอน

“ทะ...ท่านนัก...”

ไม่ทันจบประโยค สัมปชัญญะของไป๋เฉินเซียงก็พลันปลิดปลิวไปดั่งสายลมกระแสหนึ่ง…

.

.

ณ จวนสกุลไป๋

“ท่านพี่จะทำอย่างไรดีเจ้าคะ นางหนีไปแล้ว นี่ท่านสั่งคนให้ออกค้นหานางจริงหรือไม่ คงมิใช่ว่าท่านพี่เองก็ช่วยนางปิดบังหรอกนะเจ้าคะ” หยางปิ่งอี้กระสับกระส่ายดั่งพายุกำลังคืบคลานเข้ามา อ้อมแขนโอบศีรษะบุตรสาวปลอบประโลมอยู่ไม่ห่าง

เสียงร่ำไห้ของไป๋อีถิงดังขึ้นเป็นระยะ บุรุษวัยกลางคนผู้มีใบหน้าภูมิฐานปรากฏเค้าอึมครึมขึ้น เขาถอนหายใจนับหลายสิบครั้ง ยิ่งได้ยินเสียงร่ำร้องกระจองอแงของบุตรสาวคนโตก็ยิ่งหงุดหงิด

“ถิงเอ๋อร์ เจ้าสงบใจก่อนได้หรือไม่ ข้ายังไม่บอกสักคำว่าจะส่งเจ้าไปแทนนาง เจ้าก็เช่นกัน…” ไป๋จื่อเหิงหันไปสบตาฮูหยินของตนอย่างนึกคาดโทษ เขาเอ่ยเสียงเย็น “ให้ท้ายลูกจนเสียคน ควรช่วยกันคิดแก้ปัญหา ใช่เอาแต่ร้องห่มร้องไห้เช่นนี้ น้ำตาไม่ได้ช่วยอะไร”

“ฮื่อ…”

ไป๋อีถิงได้ยินเสียงบิดาต่อว่าก็ยิ่งแผดเสียงร้องลั่น หยางปิ่งอี้ลูบศีรษะปลอบใจบุตรสาว สายตาจับจ้องสามีพลางส่งค้อนวงใหญ่ “ท่านพี่ พูดเช่นนี้ก็ไม่ถูก หากตามตัวลูกสาวตัวดีของท่านกลับมาไม่ได้ ท่านเองย่อมรู้ดีว่า คนที่ต้องแต่งเข้าไปเป็นอนุย่อมหลีกไม่พ้นถิงเอ๋อร์!”

ไป๋จื่อเหิงถอนหายใจ เขายกมือคลึงขมับ “แล้วจะให้ทำอย่างไร เหลือเวลาหนึ่งเดือน อีกเดี๋ยวก็ตามตัวเซียงเซียงเจอแล้ว นางแค่ความจำเสื่อมอาจจะเผลอออกไปเที่ยวเล่นแล้วจำทางกลับเรือนไม่ได้ก็เท่านั้น”

หยางปิ่งอี้อ้าปากค้าง ไม่ทันพ้นวาจาใดออกมา ก็มีเสียงบ่าวชายดังเอะอะขึ้นเสียก่อน

“นายท่านขอรับ”

“เข้ามา” ไป๋จื่อเหิงผินหน้าไปทางต้นเสียง 

บ่าวรับใช้นายนั้นสาวเท้าเข้ามาด้านใน สายตากลอกมองหยางปิ่งอี้ด้วยความประหวั่น กระทั่งเหลือบมองไป๋อีถิงในอ้อมกอดมารดา ความรู้สึกไม่ค่อยดีก็ถาโถมเข้ามาอีกระลอก

“คือ…นายท่านขอรับ เรื่องคุณหนูรอง…”

“อึกอักอะไรของเจ้า เร่งพูดมาให้ไว เจอนางแล้วใช่หรือไม่ ไยไม่ลากนางมาพบพวกเรา!” หยางปิ่งอี้ตะเบ็งเสียงลั่น ยิ่งบ่าวนายนั้นแสดงท่าทีงก ๆ เงิ่น ๆ นางก็ยิ่งหงุดหงิด

“ว่าอย่างไร” ไป๋จื่อเหิงสำทับ

บ่าวรับใช้เข่าอ่อน พลันทรุดกายลงด้วยขาอันสั่นเทา “เรียนนายท่าน พวกเราตามหาคุณหนูรองมาครึ่งค่อนวันแล้ว รถม้าทุกคัน ผู้คนทุกคนที่มุ่งหน้าออกจากเมืองก็ได้รับการตรวจค้นทั้งหมด ทว่ายังไม่พบตัวคุณหนูรองขอรับ”

ดั่งถูกกระแสอสนีบาตฟาดลงกลางกระหม่อม เส้นเลือดตรงขมับหยางปิ่งอี้เต้นเร้า ตุบ ตุบ “บัดซบ พวกเจ้าทำงานอย่างไร เลี้ยงเสียข้าวสุก!”

เคร้ง!

แจกันกระเบื้องเนื้อดีถูกขว้างลงบนพื้นจนแตกกระจาย บ่าวนายนั้นหวาดกลัวเสียจนหัวหด ร่างของเขาสั่นสะท้าน “ฮูหยินใหญ่ นายท่าน บ่าวสมควรตาย”

“สมควรตาย พวกเจ้ามันสมควรตายจริง ๆ หากวันนี้หานางไม่พบ ก็อย่าโผล่หัวกลับมา!” หยางปิ่งอี้บันดาลโทสะ

“พอแล้ว!” ไป๋จื่อเหิงตวาด 

สรรพเสียงรอบด้านสงบลงชั่วพริบตา เขากระแทกกายลงนั่งบนเก้าอี้ไม้ขัดเสียงดังสนั่น จากนั้นเอนหลังพิงพนักด้วยสีหน้าสับสน

“ฮูหยิน เจ้าพาลูกไปพักเถิด เรื่องนี้ข้าจัดการเอง”

หยางปิ่งอี้ขบฟันแน่น “ก็ได้ ข้าจะรอดูว่าท่านจะจัดการเช่นไร ท่านเองก็คงรู้ดีหากหาตัวนางไม่พบ กรรมจะมาตกที่ใคร”

“เจ้าเอาแต่ใจมากไปหน่อยแล้ว เซียงเซียงก็เป็นลูกของข้าเช่นกัน อีกอย่างคนที่อยากส่งลูกสาวเข้าไปไม่ใช่ความคิดเจ้าหรอกหรือ เพียงเพื่ออยากให้สกุลหลานหนุนหลัง เจ้ากลับต้องทำให้ข้าขายลูกสาวกิน”

หยางปิ่งอี้สวน “หากท่านมีปัญญามากพอหาใช่เพียงขุนนางขั้นหก มีหรือสกุลไป๋ต้องทำเช่นนี้ ท่านมันไม่ได้เรื่อง!”

หยางปิ่งอี้สะบัดกายด้วยความเดือดดาล สองแม่ลูกประคองกันเดินจากไปอย่างไร้เรี่ยวแรง ไป๋จื่อเหิงมองตามแผ่นหลังพวกนางก็ทำได้เพียงถอนหายใจอย่างนึกปลดปลง

เป็นจริงเช่นนางว่า หากสกุลไป๋มียศขุนนางสูงขึ้นอีกหน่อย ไหนเลยจะต้องพึ่งบารมีผู้อื่นเช่นนี้กันเล่า

เซียงเซียงเจ้าหายไปไหนกัน เจ้าไม่เคยหัวรั้นเช่นนี้มาก่อน เกิดอะไรขึ้นกับเจ้ากันแน่

.

.

หุบเขาท้ายวัดเฉินหลิง บุรุษร่างสูงตระหง่านยืนเด่นสง่าท่ามกลางพงไพรสีเขียวขจี นัยน์ตาคมเข้มสงบนิ่งทว่ากลับมองตรงอย่างไร้จุดหมาย เท้าอันเปลือยเปล่าเหยียบอยู่บนขอบหินของบ่อน้ำพุร้อน ควันจาง ๆ จากไอระอุพวยพุ่งขึ้นกลางอากาศพร้อมไอน้ำตีปะทะเข้าร่างดุจยืนท่ามกลางแดนหิมพานต์เมืองเซียน 

“ท่านพร้อมแล้วหรือไม่”

ชายหนุ่มตอบกลับเสียงเรียบเรื่อย “ท่านนักพรตเริ่มกันเลยเถิด”

นักพรตชราหันมององครักษ์ข้างกายอีกฝ่าย จากนั้นพยักหน้าส่งสัญญาณ 

หลีซงค้อมศีรษะตอบกลับ เขาช่วยประคองร่างสูงให้ลงไปยังบ่อน้ำพุร้อนด้วยความระมัดระวัง “ท่านแม่ทัพไหวแน่หรือขอรับ”

“วางใจเถิด เจ้าอย่าลืมว่าศึกทางน้ำเราล้วนผ่านมาแล้ว แค่ต้องอยู่ใต้น้ำเพียงหนึ่งถ้วยชา [1] เท่านั้น ต่อให้ครึ่ง [2] ก้านธูปข้าก็แน่ใจว่าข้าทำได้”

แค่เพียงคิดว่านายของตนต้องกลั้นหายใจอยู่ใต้บ่อน้ำพุร้อนเป็นเวลายาวนาน อวัยวะภายในของหลีซงก็บิดเกร็งขึ้นโดยไร้สาเหตุ

นักพรตกล่าว “ไม่ต้องกังวล การรักษาเช่นนี้ไม่ถึงแก่ชีวิต แม้ไม่อาจช่วยให้ท่านแม่ทัพมองเห็นได้ในพริบตา ทว่าหากดวงตาไม่ได้บอดสนิทแล้วจริง ๆ ย่อมต้องมีโอกาสหายขาดอย่างแน่นอน”

หลีซงได้ยินนักพรตชราที่เชี่ยวชาญเรื่องการรักษาผู้เป็นดั่งหมอเทวดาหัตถ์เทวดาอันดับหนึ่งเขาก็เบาใจ

เสียงทุ้มจากบุรุษที่ยืนท่ามกลางบ่อน้ำดังขึ้น “เช่นนั้นรอช้าอยู่ไย”

“ท่านอาจารย์เกิดเรื่องแล้วขอรับ!”

แต่แล้วนักพรตน้อยก็ปรากฏกาย ทุกคนต่างหันไปสนใจเขาเป็นตาเดียว 

เพราะบ่อน้ำพุร้อนหลังหุบเขาตั้งอยู่ในพื้นที่ซับซ้อน กว่าจะเดินทางมาถึงจึงกินเวลาเกือบครึ่งชั่วยาม เป็นเหตุให้ผู้มาเยือนหอบหายใจเหนื่อยอ่อน

“เกิดเรื่องใด ไยเร่งร้อนปานนี้”

ครั้นรวบรวมสติและหายใจคล่องขึ้นมาหน่อย นักพรตน้อยก็ตอบกลับ “มีคนผู้หนึ่งหมดสติที่หน้าวัดขอรับ

นักพรตน้อยไม่กล้าตัดสินใจพาคนข้ามประตูเข้ามาโดยพลการ แต่เดิมการที่คนผู้หนึ่งจะดั้นด้นหาวัดเฉินหลิงพบมิใช่เรื่องง่าย หรือแทบเรียกว่าเป็นไปไม่ได้ด้วยซ้ำ วัดเฉินหลิงมีการตั้งค่ายกลเอาไว้อย่างแน่นหนา หากไม่ได้รับอนุญาตมีหรือจะริอ่านทลายค่ายกลพรางตามานอนพังพาบที่หน้าประตูทางเข้าได้ 

นักพรตชราถาม “เป็นบุรุษหรือสตรี”

นักพรตน้อยเกาปลายคางขบคิด “เอ่อ…น่าจะบุรุษนะขอรับ จากเครื่องแต่งกาย ศิษย์ว่าเขาน่าจะเป็นบุรุษ”

ชายหนุ่มที่อยู่กลางบ่อน้ำพุเลิกคิ้วหนึ่งฝั่ง 

นักต้มตุ๋นน้อยคนนี้ไม่ธรรมดาจริงสินะ 

เชิงอรรถ

[marker-1-1] เวลาหนึ่งถ้วยชา ประมาณ 15 นาทีสำหรับฤดูร้อน และไม่ถึง 10 นาทีสำหรับฤดูหนาว

[marker-2-1] 1 ก้านธูป 一炷香 = ครึ่งชั่วยาม = 4 ถ้วยชา = 1 ชั่วโมง

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • วิวาห์ลวงรักแม่ทัพตาบอด   บทที่ 14 วิชาพิสดาร (2)

    หนึ่งสัปดาห์ผันผ่าน สตรีร่างระหงสวมอาภรณ์สีขาวสะอาดตา คาดผ้าแพรปิดใบหน้าครึ่งล่างเยื้องย่างเข้ามาหยุดยืนบริเวณประตูหน้าจวนสกุลวูซึ่งมีหมอทั้งชายและหญิงเดินกระทบไหล่เข้าออกไม่ขาดสายเสียงใสเอ่ย “ข้าหมอหญิงจากต่างถิ่น ได้ยินว่าคุณหนูวูเกิดป่วยด้วยโรคประหลาด จึงเดินทางมาเพื่อทำการรักษานางเจ้าค่ะ”บ่าวชายที่เฝ้าหน้าประตูกวาดตามองเรือนร่างสตรีผู้มาเยือนตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า “เจ้าแน่ใจรึว่าเป็นหมอ”หญิงสาวยิ้มกว้างไปจนถึงดวงตา แม้เผยรูปโฉมเพียงครึ่งบนของใบหน้าทว่านัยน์ตาสว่างใสของนางก็ทำเอาบุรุษใจสั่นระทวย หญิงสาวกล่าวต่อ “พี่ชาย ข้าเป็นหมอเจ้าค่ะ หากไม่เชื่อท่านอยากให้ข้าช่วยจับชีพจรหรือไม่” เปลือกตาบางหลุบต่ำลงกว่าสะดืออีกฝ่ายเป็นเชิงเย้าแหย่บ่าวนายนั้นมองแววตากระจ่างใสดั่งน้ำค้างด้วยความเลื่อนลอย ความคิดสกปรกผุดขึ้นเต็มศีรษะ ครั้นสังเกตเห็นสายตาของนางที่ลดมองต่ำ บ่าวรับใช้นายนั้นก็ถึงขั้นตัวงอ ชายหนุ่มพยายามขับไล่ความคิดฟุ้งซ่านทิ้ง ตอบกลับด้วยท่าทีเสียอาการ “ชะ...เช่นนั้นท่านหมอรอสักครู่”ชายหนุ่มผละห่างไปพร้อมเหงื่อเย็นที่หลั่งเต็มหน้าผาก เสียงใส

  • วิวาห์ลวงรักแม่ทัพตาบอด   บทที่ 14 วิชาพิสดาร (1)

    “ตื่นแล้วหรือ”เสียงทุ้มนุ่มดังมาจากด้านหน้าโถงกราบไหว้ ไป๋เฉินเซียงเดินเก้ ๆ กัง ๆ เข้าไปใกล้ เว้นระยะห่างอย่างเหมาะสม นางประสานมือค้อมศีรษะเพื่อเคารพอีกฝ่าย“ท่านอาจารย์”นักพรตชราติงรุ่ยฉีเปิดเปลือกตาขึ้นแช่มช้า เขาสังเกตเห็นสีหน้าไม่สู้ดีของไป๋เฉินเซียง จึงเอ่ยถามเพื่อคลายข้อสงสัย“เจ้ามีเรื่องลำบากใจใด”ไป๋เฉินเซียงลังเลพักใหญ่ ไม่นานก็ตัดสินใจเปิดปาก “ท่านอาจารย์ ข้าอยากลงเขาเจ้าค่ะ”“หืม”ไป๋เฉินเซียงรวบรวมความกล้า ไม่ทันอธิบายหว่านล้อม ผู้เป็นอาจารย์ก็โพล่งตัดบทความในใจขึ้นเสียก่อน “เจ้าแน่ใจหรือ”ไป๋เฉินเซียงกะพริบตาฉงน เดิมทีนางคิดว่าอาจถูกอาจารย์ซักไซ้ไล่เลียงมากกว่านี้ “ท่านอาจารย์ไม่ถามหรือเจ้าคะ ว่าเหตุใดข้าจึงอยากลงเขา”นักพรตชราหัวเราะขัน “เซียงเอ๋อร์ ทุกชีวิตย่อมมีเส้นทางของตนเอง เจ้ายังจำที่ข้าเคยบอกไว้ได้หรือไม่”ไป๋เฉินเซียงเม้มปากจนเกิดเป็นเส้นตรง “ที่ข้าได้กราบท่านเป็นอาจารย์หาใช่ความบังเอิญ”“ไม่ผิด”คิ้วสวยขมวดแน่น อาจารย์ของนางมักเล่นถ้อยคำให้นางคิดเองอยู่เสมอ“ล

  • วิวาห์ลวงรักแม่ทัพตาบอด   บทที่ 13 นางในฝัน (2)

    หลานอี้ซินส่ายศีรษะ มือยังถือม้วนภาพกำไว้จนแน่น ภายในใจยามนี้ดุจดั่งมีเส้นด้ายล่องหนมัดตัวเขาไว้ พริบตาหลานอี้ซินก็สะบัดกายขึ้นรถม้าไม่พูดไม่จา ทิ้งให้หลีซงยืนอ้าปากหวองุนงงจวบจนรถม้าเคลื่อนออกไปเว่ยเสี่ยวเฉินย้ายสายตาจากสหายกลับมายังองครักษ์ร่างสูงที่ยังยืนเป็นเบื้อใบ้เว่ยเสี่ยวเฉินเรียกสติ “หลีซง หากเจ้าไม่ไปยามนี้ เกรงว่าคงได้เดินกลับเองแล้วกระมัง”หลีซงหลุดจากภวังค์ “อ้อ...เช่นนั้นลาก่อนคุณชาย”ต่างฝ่ายต่างค้อมตัวเป็นมารยาทแก่กันเล็กน้อย“แล้วพบกันใหม่ อย่าลืมสิ่งที่ข้าฝากฝังนายของเจ้าด้วยเล่า”“ขอรับ”เว่ยเสี่ยวเฉินมองตามแผ่นหลังหลีซงพลางแย้มยิ้มสว่างเจิดจ้าดั่งดวงตะวันทอแสง พริบตาร่างสูงก็หมุนกายกลับเข้าไปในจวนรถม้าเคลื่อนไปตามเส้นทางเรียบเรื่อย จากเมื่อคืนที่มีการจัดงานครึกครื้นก็เงียบลงถนัดตา เหลือเพียงบางร้านที่ยังเก็บข้าวของไม่เรียบร้อยหลีซงกระโจนขึ้นรถม้า “ท่านแม่ทัพ”“เข้ามาเถิด”หลีซงแหวกม่านประตูสีเข้มที่ปักลายพยัคฆ์ด้วยเส้นด้ายไหมทองคำออก ขาสูงเยื้องย่างเข้าไปด้านในก่อนหย่อนกายลงฝั่งตรงข้

  • วิวาห์ลวงรักแม่ทัพตาบอด   บทที่ 13 นางในฝัน (1)

    กว่าจะกลับถึงที่หมายก็เล่นเอาหอบ ไป๋เฉินเซียงแหงนหน้ามองม่านเมฆาพลางพ่นลมหายใจออกมาอย่างนึกปลดปลง“ศิษย์น้อง เจ้าไม่ได้พักที่โรงเตี๊ยมหรือ”ไป๋เฉินเซียงตกใจหน้าเปลี่ยนสี “ศิษย์พี่ มาไม่ให้สุ้มให้เสียง หากข้าหัวใจวายตายจะทำเช่นไร”นักพรตน้อยเกาจวิ้นถือโคมไฟส่องแสงสว่างอยู่ในมือ ริมฝีปากยกยิ้มบาง “ขออภัย ข้าคิดว่าเจ้าจะกลับตอนฟ้าสางเสียอีก นี่ใกล้ถึงต้นยามเหม่า [1] แล้ว ข้าและท่านอาจารย์จึงออกมาเข้าฌานแต่เช้าตรู่”ไป๋เฉินเซียงยิ้มแห้ง ต่อมาก็อ้าปากหาวหวอดใหญ่ “ข้าเที่ยวเล่นเพลินไปหน่อย เห็นว่าไม่กี่ชั่วยามก็คงเช้า เลยไม่พักโรงเตี๊ยมให้สิ้นเปลืองเจ้าค่ะ”นักพรตน้อยเกาจวิ้นตาโต “ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นหญิงแกร่ง แต่การขึ้นเขาลำพังก็อันตรายมาก เงินไม่กี่ตำลึงไยถึงตระหนี่เพียงนี้ นั่นคุ้มค่าให้เจ้าเสี่ยงหรือ”“ศิษย์พี่ ท่านเอะอะอันใด อย่าคิดมากเลยเจ้าค่ะเดี๋ยวริ้วรอยขึ้นก่อนวัยไม่รู้ด้วยนะเจ้าคะ ตลอดเส้นทางนั้นราบรื่นมาก ไม่มีอันตรายใดกล้ำกรายข้าแม้แต่ปลายเส้นผม” ไป๋เฉินเซียงยกปลายนิ้วโป้งและนิ้วชี

  • วิวาห์ลวงรักแม่ทัพตาบอด   บทที่ 12 มนต์เสน่ห์

    ในคืนเทศกาลโคมไฟเว่ยเสี่ยวเฉินไม่ได้พูดเปล่า เขาออกตามหาไป๋เฉินเซียงจริง ทว่าแทบพลิกแผ่นดินหา เขาก็ยังหานางไม่พบ กระทั่งถอดใจเดินคอตกกลับเรือนอย่างจำนน“เจ้ากับนางคงไร้วาสนาต่อกัน” หลานอี้ซินเอ่ยเสียงเรียบเว่ยเสี่ยวเฉินกระเง้ากระงอด “เจ้าเงียบปากไปเลย คนเช่นเจ้าเชื่อเรื่องบุญวาสนาตั้งแต่เมื่อใดกัน ข้ากับนางมีวาสนาร่วมกันแน่ ข้าเชื่อว่าจะต้องได้พบนางอีก”บุรุษร่างสูงกระแทกกายนั่งลงตรงเก้าอี้ไม้ขัดฝั่งตรงข้าม เวลาล่วงเลยมาจนถึงต้นยามโฉ่ว [1] เว่ยเสี่ยวเฉินเหลือบซ้ายแลขวา “เอ๊ะ หลีซงเล่า เขาไม่ได้เข้ามาด้วยหรือ”หลานอี้ซินยกชาขึ้นจิบ “ไปแล้ว”“หา…ไปไหน องครักษ์เจ้าคงไม่ได้ไปหาสาวงามกระมัง หากบอกว่ากลับจวนสกุลหลานเขาคงไม่ทิ้งเจ้าไว้ลำพังแน่”“ทำไม เจ้าคร้านจะดูแลสหายตาบอดงั้นหรือ”“โธ่ เหตุใดแม่ทัพไป๋หู่ผู้เกรียงไกรจึงมีถ้อยคำน้อยอกน้อยใจเยี่ยงสตรีไปได้ ข้าไม่เคยเห็นเจ้าเป็นเช่นนี้มาก่อนเลย” เว่ยเสี่ยวเฉินหรี่ตาพลางสำรวจใบหน้าหล่อเหลาทว่าสีหน้าของเขากลับเฉยชาดั่งดินปั้นไม้แกะสลัก&n

  • วิวาห์ลวงรักแม่ทัพตาบอด   บทที่ 11 หูแว่ว

    ไป๋เฉินเซียงไม่ได้เดินทางกลับในทันที เพราะค่ำคืนนี้เป็นเวลามืดมากแล้วหากเดินเท้าขึ้นเขาลำพังเกรงว่าจะเกิดอันตราย“เถ้าแก่หนึ่งห้อง”“เถ้าแก่หนึ่งห้อง”เสียงสอดประสานดังขึ้นหน้าโต๊ะรับรองของโรงเตี๊ยม ไป๋เฉินเซียงเหลือบมองบุรุษร่างสูงผ่านแพรผืนโปร่ง“นายท่านทั้งสอง ขออภัยจริง ๆ วันนี้เทศกาลโคมไฟ ผู้คนจึงเข้ามาพักมากกว่าปกติ ตอนนี้เหลือเพียงหนึ่งห้องขอรับ” เถ้าแก่โรงเตี๊ยมหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกไป๋เฉินเซียงพิเคราะห์มือเรียวยาวของอีกฝ่าย ดูไปแล้วดั่งชายงามไม่เคยตรากตรำงานหนัก เมื่อเทียบกับมือที่ปรุงโอสถเก็บสมุนไพรของนางแล้วยังรู้สึกด้อยกว่าบุรุษเช่นเขาอยู่หลายขุมไป๋เฉินเซียงสลัดความคิดฟุ้งซ่านทิ้ง ต่างฝ่ายต่างเลื่อนก้อนเงินไปตรงหน้าเถ้าแก่โรงเตี๊ยมไป๋เฉินเซียง “เถ้าแก่ แต่ข้ามาก่อนเขา”“เอ๋ เอ๋ น้องชาย เจ้าเอ่ยเช่นนี้ก็ไม่ถูก เห็นได้ชัดว่าเรามาพร้อมกัน” บุรุษหน้าวสันต์กล่าวอย่างใจเย็น ริมฝีปากของเขาปรากฏรอยยิ้มพราวระยับเต็มไปด้วยกลิ่นอายหยอกล้อ“แล้วท่านจะเอาอย่างไร วันนี้ข้าต้องการห้องพัก”เถ้าแ

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status