ยามที่ฮูหยินผู้เฒ่าตื่นขึ้นมาแล้วได้ยินว่าซ่งเหวินหนิงถูกจับตัวไปที่กรมอาญาแล้วนางก็เป็นลมหมดสติไปอีกครั้ง พอฟื้นคืนสติขึ้นมาอีกครั้งนางก็บอกกับเฉินมามาว่านางจะไปตีกลองร้องทุกข์ที่กรมอาญา แล้วประกาศให้ผู้คนภายนอกรู้ว่าบุตรชายและสะใภ้ของนางนั้นเป็นคนอกตัญญู..
“หากฮูหยินผู้เฒ่าทำเช่นนั้นไม่ใช่แค่เพียงท่านโหวจะได้รับความยุ่งยาก แม้แต่ตัวท่านเองก็อาจจะถูกผู้คนภายนอกหัวเราะเยาะด้วยนะเจ้าค่ะ ยังไม่นับคนสกุลสุ่ยอีกหากพวกเขารู้ว่าเกิดข้อพิพาทระหว่างฮูหยินและท่านโหว พวกเขาจะต้องหาช่องว่างเพื่อโจมตีท่านกลับแน่เจ้าค่ะ” คำพูดของเฉินมามาทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยถามออกมาด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความขุ่นเคือง
“แล้วเจ้าคิดว่าข้าควรจะทำเช่นไรดี ถ้าโม่ชิงเยว่ยึดอำนาจการปกครองเรือนไปแล้วข้าจะอยู่อย่างไร ยังมีหนิงเอ๋อของข้าอีก ยามนี้ชีวิตของนางป่นปี้แล้วข้าควรจะทำเช่นไรดี” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยถามด้วยสีหน้าสับสน ดวงตาอันล่องลอยของนางทำให้เฉินมามาได้แต่ทอดถอนใจออกมา นางอยู่กับฮูหยินผู้เฒ่ามาตั้งแต่สาวจนแก่ชรา นี่นับเป็นครั้งแรกที่ฮูหยินผู้เฒ่ามีท่าทางอับจนหนทางเช่นนี้
“เรื่องนี้ข้าเองก็จนปัญญาเจ้าค่ะ” เฉินมามาเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าและท่าทางที่เต็มไปด้วยความนอบน้อม นางรู้จักฮูหยินผู้เฒ่าเป็นอย่างดีคำถามของฮูหยินผู้เฒ่าเมื่อครู่นี้เป็นคำถามที่ไม่ได้ต้องการคำตอบ ต่อให้เฉินมามาเอ่ยคำพูดที่เป็นการแนะนำออกไปฮูหยินผู้เฒ่าก็ไม่มีทางเห็นดีด้วยกับนางแน่
“ซ่งเหวินจิ้ง เจ้าลูกทรพีข้าควรจะเปิดโปงเขาดีหรือไม่ว่าเขาลักลอบหนีทัพกลับเข้ามาในเมืองหลวงแล้ว” คำพูดของฮูหยินผู้เฒ่าทำให้เฉินมามานิ่วหน้า
“ที่ ฮูหยินเอ่ยมาเป็นเรื่องจริงหรือเจ้าคะ” คำถามของเฉินมามาทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าส่ายหน้าในทันที
“ช่างเถอะ ลูกชายของข้าเขากลายเป็นคนอื่นสำหรับข้าไปแล้ว เขาจดจำไม่ได้สักนิดว่าข้าคนนี้ทั้งคลอดเขาออกมาและฟูมฟักเลี้ยงดูเขามาอย่างยากลำบาก แม้แต่น้องสาวที่เขารักหนักหนาก็ยังเมินเฉยปล่อยให้นางถูกจับไปที่กรมอาญาได้เช่นนี้ ข้าไม่คิดจะตั้งความหวังที่เขาอีกแล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยพลางทอดถอนใจออกมา ส่วนเฉินมามาที่ไม่เพียงได้อยู่ร่วมกับฮูหยินผู้เฒ่ามานานเพียงเท่านั้นนางเองก็ได้เห็นซ่งเหวินจิ้งเติบโตขึ้นมาเช่นกันย่อมจะสามารถจดจำเขาได้ แม้ว่าจะมีหน้ากากบดบังใบหน้าและน้ำเสียงที่พูดจะเปลี่ยนแปลงไปจึงได้รู้ว่าสาเหตุที่ฮูหยินผู้เฒ่าเจ็บแค้นน่าจะเป็นเพราะลูกชายก็กลับมาแล้วแต่กลับไม่คิดจะออกหน้าช่วยเหลือมารดาและน้องสาวอย่างที่ควรจะเป็น เมื่อพอจะคาดเดาเรื่องราวได้แล้วนางก็คิดว่าควรจะต้องนำเรื่องนี้ไปบอกให้ชุ่ยเหมยรู้ แล้วจึงได้หันไปยกถ้วยยาที่ได้รับมาจากชุ่ยเหมยส่งให้ฮูหยินผู้เฒ่า
“ยาสงบใจถ้วยนี้ฮูหยินผู้เฒ่าดื่มสักหน่อยนะเจ้าคะ ไม่แน่ว่าพอตื่นขึ้นมาท่านก็อาจจะคิดหาทางออกได้” เมื่อเฉินมามาเอ่ยเช่นนี้ฮูหยินผู้เฒ่าก็เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความซาบซึ้งใจ
“ไม่เสียแรงที่ข้าให้ความสำคัญกับเจ้า ไม่ว่าข้าจะเผชิญกับสถานการณ์ใดก็ล้วนเป็นเจ้าที่อยู่กับข้าเสมอ” คำพูดของฮูหยินผู้เฒ่าทำให้เฉินมามาเก็บงำสายตาของตนเองในทันที
ความอำมหิตของฮูหยินผู้เฒ่าล้วนผ่านหูและผ่านตานางมาโดยตลอด แต่เพราะนางเป็นข้ารับใช้ของผู้อื่นต่อให้นางไม่เห็นด้วยกับการกระทำของฮูหยินผู้เฒ่าก็ไม่อาจจะห้ามปรามผู้เป็นนายอย่างฮูหยินผู้เฒ่าได้ แต่ยามนี้นางเริ่มเข้าสู่ช่วงวัยชราแล้วฮูหยินผู้เฒ่าเองก็เช่นกัน ต่อให้ฮูหยินผู้เฒ่าทำผิดแต่ด้วยฐานะอันสูงส่งของฮูหยินผู้เฒ่ายากที่จะมีผู้ใดล่วงเกิน แต่นางกลับแตกต่างออกไปด้วยฐานะของนางหากนายทำผิดย่อมเป็นไปได้ยากที่จะรอดชีวิต ยามนี้เท่าที่นางสังเกตเห็นอีกไม่นานอำนาจในมือของฮูหยินผู้เฒ่าก็คงจะรักษาเอาไว้ไม่ได้แล้ว นางย่อมจะต้องหาที่พึ่งพิงใหม่ แม้ว่าในใจจะยังคงเต็มไปด้วยความภักดีแต่ความเหนื่อยยากที่ผ่านมาหลายปีของนางไม่มีทางที่คนอย่างฮูหยินผู้เฒ่าจะเห็นคุณค่า ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่นางจะแอบช่วยเหลือคนของเรือนเหมันต์
เช้าวันรุ่งขึ้นโม่ชิงเยว่มาที่เรือนฝูโซ่วตั้งแต่เช้าเพื่อมาทวงถามเรื่องอำนาจการดูแลจวนจากฮูหยินผู้เฒ่า แม้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะตื่นขึ้นมาด้วยความมึนงงและความวิงเวียนศีรษะอยู่ไม่น้อย แต่เมื่อได้ยินว่าโม่ชิงเยว่มาที่เรือนนางก็รีบลุกขึ้นมาเพื่อเตรียมตัวจะต่อต้านโม่ชิงเยว่ เพียงแต่พอลุกขึ้นมาร่างกายกลับโอนเอนคล้ายจะหมดแรงไปเสียดื้อๆ
“ฮูหยินผู้เฒ่าท่านเป็นอะไรไปเจ้าคะ” เฉินมามาเอ่ยถามพลางเดินเข้าไปช่วยพยุงฮูหยินผู้เฒ่าด้วยสีหน้ากังวล
“ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดข้าจึงได้รู้สึกวิงเวียนมากเช่นนี้” คำตอบของฮูหยินผู้เฒ่าทำให้เฉินมามาอดคิดถึงยาสงบใจถ้วยนั้นไม่ได้ แต่เพราะชุ่ยเหมยยืนยันกับนางแล้วว่าไม่มีอันตรายถึงแก่ชีวิตเฉินมามาจึงได้ยินยอมรับยาถ้วยนั้นมาจากชุ่ยเหมยแล้วนำมาให้ฮูหยินผู้เฒ่าดื่ม
“ให้ข้าส่งคนไปตามท่านหมอมาให้ท่านดีหรือไม่เจ้าคะ” เมื่อเฉินมามาเอ่ยถามเช่นนี้ฮูหยินผู้เฒ่าก็ส่ายหน้า
“ไม่ต้อง! นางอยู่ข้างนอกมิใช่หรือข้าจะต้องจัดการเรื่องของนางให้เรียบร้อยก่อน บอกให้นางเข้ามาเถอะ” เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยเช่นนี้เฉินมามาก็หันไปส่งสัญญาณให้สาวใช้ออกไปตามโม่ชิงเยว่
“ชิงเยว่ คารวะท่านแม่เจ้าค่ะ” เมื่อเข้ามาในห้องแล้วโม่ชิงเยว่ก็ทำการคารวะทักทายแม่สามีตามธรรมเนียม นี่นับเป็นครั้งแรกที่ได้เข้าในห้องนอนส่วนตัวของแม่สามีนางจึงได้มองไปรอบๆ อย่างสำรวจตรวจตรา
“เจ้ามองอะไร” เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยถามเช่นนี่โม่ชิงเยว่ก็ตอบออกมาด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“ข้าก็แค่อยากจะรู้ว่าสตรีที่มาจากสกุลเก่าแก่อย่างเช่นท่านแม่จะมีสิ่งใดที่แตกต่างจากข้าบ้าง สุดท้ายข้าก็ได้เห็นแล้วว่าแทบจะไม่มีสิ่งใดแตกต่างจากข้าเลย” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าตวาดออกมาในทันที
“สารเลว! คนสารเลวเช่นเจ้าจะเผยอหน้ามาเทียบเคียงกับข้าได้อย่างไร”
“นี่นับเป็นครั้งแรกที่ท่านแม่เอ่ยได้ถูกต้อง ข้าไม่อาจจะเทียบท่านแม่ได้จริงๆ อย่างน้อยเรื่องความใจดำและความอำมหิตข้าก็เทียบเคียงกับท่านแม่ไม่ได้แม้แต่เศษเสี้ยวจริงๆ” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าหัวเราะออกมาเบาๆ อย่างเย้ยหยัน
“เดี๋ยวนี้เริ่มรู้จักสรรหาถ้อยคำมาต่อว่าข้าได้แล้วหรือ หึหึ ข้าก็คิดเอาไว้อยู่แล้วว่าคนอย่างเจ้ามันเสแสร้งเก่ง ยามนี้เจ้าไม่คิดจะเสแสร้งต่อไปแล้วหรือ”
“ใช่แล้ว! ที่ผ่านมาข้าเสแสร้งจริงๆ นั่นแหละเจ้าค่ะ ที่ข้าเสแสร้งก็ล้วนเป็นเพราะอยากให้ท่านแม่ชอบข้า แต่ยามนี้ข้ารู้แล้วว่าต่อให้เสแสร้งไปอย่างไรก็ล้วนไม่มีประโยชน์ท่านไม่ชอบข้านั่นคือเรื่องจริง ส่วนยามนี้ข้าเกลียดชังท่านก็ล้วนเป็นเรื่องจริงๆ เช่นกัน พวกเราสองคนไม่มีทางจะย้อนกลับมาอยู่ร่วมกันดีๆ ได้อีกแล้วดังนั้นข้าจึงคิดว่าต่อไปข้าจะเลิกเสแสร้งแล้ว หากท่านรังเกียจข้าก็เชิญท่านไปถวายฎีกาขอหย่าขาดข้าได้เลย” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยเช่นนี้ฮูหยินผู้เฒ่าก็เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงข่มขู่
“โม่ชิงเยว่อย่าคิดว่าข้าไม่กล้าไปถวายฎีกาต่อฝ่าบาทนะ” คำพูดของฮูหยินผู้เฒ่าทำให้โม่ชิงเยว่แค่นยิ้มออกมา
“หรือจะให้ข้าไปถวายฎีกาเองเล่า ยามนี้ลูกชายของท่านอยู่ที่ใดพวกเราก็ต่างรู้ดีหากข้าไปถวายฎีการ้องเรียนเรื่องนี้ท่านคิดว่าตัวท่านเองจะรอดพ้นจากพระราชอาญาไปได้หรือ” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าโกรธเคืองจนเนื้อตัวสั่นเทิ้ม
“เจ้ากำลังข่มขู่ข้าอยู่หรือ อย่าได้ลืมเชียวนะว่ายามนี้ลูกๆ ของเจ้าใช้แซ่อะไรอยู่” เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็หัวเราะหึหึ ออกมา
“ถึงยามนั้นลูกๆ ของข้าก็ย่อมจะต้องเปลี่ยนไปใช้แซ่อื่นได้แล้ว ดังนั้นทางที่ดีท่านมอบอำนาจการดูแลจวนมาให้ข้าดีกว่า ส่วนตัวท่านก็ย้ายไปอยู่เรือนคิมหันต์ที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของจวนก็แล้วกัน รับรองว่าข้าไม่ใช่คนใจดำที่จะตัดข้าวตัดน้ำ ท่านดังเช่นที่ท่านเคยยุยงให้สุ่ยอี้โหรวทำกับข้าอย่างแน่นอน” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยเช่นนี้ฮูหยินผู้เฒ่าก็ตวาดออกมาในทันที
“บังอาจ เจ้าคิดจะยึดอำนาจในจวนของข้ายังไม่พอ ยังกล้าคิดจะไล่ข้าออกจากเรือนของข้าเชียวหรือ”
ยามที่ซ่งเหวินจิ้งตื่นขึ้นมาสิ่งแรกที่เขาเห็นก็คือม่านมุ้งในห้องนอนของโม่ชิงเยว่ที่ปรากฏเข้าสู่สายตา เขากะพริบตาอีกครั้งแล้วจึงได้พยายามทบทวนว่าเรื่องเมื่อคืนนี้เป็นความฝันหรือว่าเป็นความจริงกันแน่ กลิ่นกายอันหอมกรุ่นของนางแผ่กำจายไปทั่วม่านมุ้งอีกทั้งยังดูเหมือนว่าจะหอมกรุ่นติดตามร่างกายของเขาไปด้วย อีกทั้งปฏิกิริยาทางร่างกายที่ไม่เหมือนเดิมของเขาทำให้เขารู้ว่าสัมผัสอันน่าหลงใหลเมื่อคืนนี้ไม่ใช่แค่เพียงความฝัน เมื่อคิดได้เช่นนั้นก็ทำให้มีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าของเขาในทันที“นอนตาลอยแล้วยิ้มราวกับคนเสียสติเช่นนั้นท่านทำให้ข้าชักจะรู้สึกหวาดกลัวท่านแล้วนะ” เสียงทักของโม่ชิงเยว่ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของซ่งเหวินจิ้งพลันหายไปในทันที“มีสิ่งใดให้น่ากลัวกัน” เขาเอ่ยพลางพลิกตัวแล้วดึงผ้าห่มอันหมิ่นเหม่ขึ้นมาคลุมร่างกายของตนเองเอาไว้ ด้วยไม่รู้ว่าคนที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงหน้าเตียงนั่งจ้องมองเขานานเท่าไหร่แล้ว“แล้วเจ้ายกเก้าอี้มานั่งจ้องมองข้าเช่นนี้ทำไมกัน” เมื่อเขาถามเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็ยิ้มออกมา“เมื่อคืนนี้มีคนบอกกับข้าว่าอยากจะตื่นขึ้นมาพร้อมกันกับข้ามิใช่หรือ ข้าก็เลยมานั่งรอให้ท่า
หลังจากดูพลุไฟแล้วซ่งเหวินจิ้งและโม่ชิงเยว่ก็เดินไปส่งเด็กๆ กลับเรือนด้วยตนเอง แน่นอนว่าซ่งเหวินจิ้งย่อมจะต้องเดินตรวจตรารอบๆ เรือนด้วยตนเองอีกครั้งและยังกำชับให้คนของเขาคอยคุ้มกันจวนให้ดี อีกทั้งยังสั่งสาวใช้ภายในเรือนให้วันพรุ่งนี้ย้ายข้าวของเครื่องใช้ของซ่งจื่อเยว่และซ่งจื่อเหยาไปที่เรือนของโม่ชิงเยว่ เมื่อสั่งการทุกคนเสร็จเรียบร้อยดีแล้วเขาจึงได้เดินไปที่เรือนของโม่ชิงเยว่เพื่อตรวจตราความเรียบร้อยอีกครั้ง พอเห็นว่าการรักษาความปลอดภัยของเรือนนี้แน่นหนาดีแล้วเขาจึงได้เข้าไปหาโม่ชิงเยว่ที่กำลังนั่งจิบน้ำชาอยู่ภายในเรือน“ในเมื่อลงนามสงบศึกแล้ว คนของแคว้นต้าเป่ยก็ไม่น่าจะสร้างความร้าวฉานด้วยการลอบโจมตีท่านและครอบครัวอย่างที่ท่านกำลังกังวลอยู่” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ซ่งเหวินจิ้งส่ายหน้า“แคว้นต้าเป่ยแม้ว่าจะปกครองด้วยเชื้อพระวงศ์สกุลเซียว แต่สกุลที่กุมอำนาจทางกองทัพก็คือสกุลหม่า ข้าที่พึ่งจะฆ่าผู้นำสกุลและนักรบอีกหลายคนของสกุลหม่าย่อมจะต้องกลายเป็นเป้าแห่งความแค้นเคืองของพวกเขา แม้ว่าฮ่องเต้ของพวกเขาจะลงพระนามขอสงบศึกแล้ว แต่คนสกุลหม่าใช่ว่าจะก่อเรื่องไม่ได้ขอแค่เพียงสิ้นไร้หลักฐานก็ไ
ฮ่องเต้แคว้นต้าเป่ยส่งราชสาส์นมาขอเจรจาสงบศึก อีกทั้งยังยินดีที่จะส่งเครื่องราชบรรณาการมาถวายแด่ฮ่องเต้แคว้นเหลียนทุกปี เมื่อทางฝั่งแคว้นต้าเป่ยยินยอมอ่อนข้อให้จนถึงขั้นนี้มีหรือที่หลี่เฟยหลงฮ่องเต้จะปฏิเสธหลังจากนั้นจึงได้ส่งราชสาส์นตอบกลับไปด้วยความยินดี เมื่อมีสัญญาณว่าการศึกจะสงบอย่างถาวรเช่นนี้ ประชาชนในแคว้นต่างก็รู้สึกยินดีกันทั่วหน้า สงครามจบสิ้นแล้วก็หมายความว่าต่อไปพวกเขาจะได้อยู่อย่างสงบสุขไปอีกหลายปี ไม่ต้องกังวลว่าคนในครอบครัวจะต้องไปพลีชีพเพื่อปกป้องแคว้นที่ชายแดนอีกจวบจนเมื่อมีการลงนามสงบศึกอย่างเป็นทางการชาวบ้านร้านตลาดก็ต่างพร้อมใจกันจัดงานรื่นเริงเพื่อเฉลิมฉลอง พลุไฟนับหมื่นพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเพื่อโอ้อวดความงดงามท่ามกลางความมืดมิดในยามราตรี ซ่งเหวินจิ้งยืนนิ่งจ้องมองพลุไฟเหล่านั้นด้วยสีหน้ากังวลใจเมื่อคิดได้ว่าท่ามกลางงานเลี้ยงเฉลิมฉลองกำลังมีคนของแคว้นต้าเป่ยเข้ามาแทรกซึมอยู่ในเมืองหลวง ยามนี้เขาทำหอดูดาวให้สูงขึ้นแล้วรื้อหลังคาของหอดูดาวออก ทำให้เขาและครอบครัวสามารถชื่นชมความงามของพลุไฟได้อย่างเต็มที่“ท่านแม่! ท่านดูสิราวกับมีดอกไม้นับหมื่นกำลังแข่งกันเบ่งบานอย
ในขณะที่ทางจวนโหวมีคนกำลังพยายามเร่งสานความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยา ทางจวนตระกูลเหยียนหรืออดีตจวนไหวกั๋วกงก็กำลังตกอยู่ในช่วงเวลาแห่งความตึงเครียด เหยียนฮูหยินผู้เคยได้ดำรงตำแหน่งฮูหยินของท่านกั๋วกงก็กำลังนั่งร้องไห้อ้อนวอนขอให้บุตรชายหาหนทางช่วยสามีที่ในยามนี้ถูกขังอยู่ในคุกของกรมอาญา“เจ้าไม่คิดจะช่วยท่านพ่อของเจ้าจริงๆ หรือ เสียแรงที่พ่อของเจ้าทำทุกอย่างก็เพื่อเจ้า” เหยียนฮูหยินเอ่ยพลางใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาด้วยท่วงท่าที่ดูอ่อนแอและบอบบางราวกับว่าจะแตกหักได้ทุกเมื่อ“จะให้ข้าช่วยอย่างไร ให้ข้าไปคุกเข่าขอพระเมตตาแล้วทำให้ข้าและสกุลเหยียนทั้งสกุลถูกฝ่าบาทหวาดระแวงและคิดว่าพวกเราสกุลเหยียนมีความทะเยอทะยานในราชบัลลังก์เช่นนั้นหรือ ท่านแม่อย่าได้ลืมสิว่าฮุ่ยเอ๋อต้องเสียสละอะไรไปบ้าง ยามนี้นางกำลังได้รับความโปรดปรานท่านอยากให้ฝ่าบาททรงตระหนักได้ว่าการกระทำของท่านพ่อล้วนเป็นเพราะความทะยานอยากที่จะยึดครองกองกำลังของจวนโหวแล้วทำให้ชีวิตของฮุ่ยเอ๋อและองค์ชายน้อยต้องตกอยู่ในอันตรายหรือ” คำพูดของเหยียนเซียวทำให้เหยียนฮูหยินส่ายหน้า“นางได้รับความโปรดปรานถึงเพียงนั้น แต่กลับไม่คิดจะทำเพื่อเจ้าแ
ฤดูกาลผันเปลี่ยนจากฤดูหนาวอันหนาวเหน็บเริ่มย่างเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิที่แสนจะงดงาม พออากาศเริ่มอุ่นขึ้นต้นทุนในการซื้อสมุนไพรก็ลดลงเมื่อต้นทุนลดลงผลกำไรก็มากขึ้น เมื่อได้ผลกำไรมากขึ้นก็ทำให้โม่ชิงเยว่เริ่มมีกำลังใจที่จะคิดค้นสินค้าชนิดใหม่ๆ เพื่อนำไปวางขายในร้านโม่เซียงของนาง“เหตุใดบรรดาถุงผ้าปักเหล่านี้จึงได้มีลวดลายแปลกตาเช่นนี้เล่า แล้วยังกล่องไม้สำหรับใส่ผงแป้งเหล่านี้อีกเจ้าไปเอาแนวทางในการคิดค้นรูปร่างและลวดลายพวกนี้มาจากไหน” คำถามของซ่งเหวินจิ้งทำให้โม่ชิงเยว่วางพู่กันที่ใช้วาดรูปลวดลายลงบนโต๊ะเขียนอักษรแล้วจึงได้สะบัดมือเพื่อคลายความเมื่อยล้า“หากข้าจะบอกว่าข้าได้รับแรงบันดาลใจมาจากความฝันอันยาวนานของข้าท่านจะเชื่อหรือไม่” เมื่อนางเอ่ยเช่นนี้ซ่งเหวินจิ้งก็พยักหน้า“เหตุใดจะไม่เชื่อกันเล่า ไม่ใช่ว่าข้าไม่เคยฝันเสียหน่อย เพียงแต่ความฝันของข้าไม่เคยนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์เช่นนี้” ซ่งเหวินจิ้งเอ่ยพลางเดินมานวดไหล่ให้โม่ชิงเยว่ด้วยความคุ้นชินส่วนโม่ชิงเยว่ก็เอนกายพิงพนักเก้าอี้แหงนหน้าขึ้นแล้วหลับตาเพื่อรับความสบายจากอุ้งมืออันอุ่นร้อนของเขาอย่างผ่อนคลาย“มันเป็นความฝันที่ยาวนานมาก ยาม
เมืองหลวงมีข่าวครึกโครมอีกครั้งเมื่อจวนนิ่งอันโหวถูกลอบโจมตี แม้ว่าจะสามารถจับตัวคนร้ายได้แต่นิ่งอันโหวกลับได้รับบาดเจ็บสาหัส ฝ่าบาททรงมีพระราชโองการให้เจ้ากรมอาญาตรวจสอบเรื่องนี้อย่างเข้มงวด อีกทั้งยังทรงส่งองค์ชายรองมาควบคุมการสอบสวนด้วยพระองค์เอง ทั้งนี้คนร้ายที่ถูกจับต่างก็ซัดทอดความผิดไปที่ไหวกั๋วกง ทำให้ไหวกั๋วกงต้องรีบเข้าวังเพื่อแก้ต่างให้กับตนเองและขอให้มีการตรวจสอบนักฆ่าเหล่านั้นอีกครั้งแต่แน่นอนว่าทางซ่งเหวินจิ้งได้เตรียมการเรื่องนี้เอาไว้แล้ว เขาไม่เพียงขอพระราชโองการคุ้มครองพยานให้กับเหล่านักฆ่า ยังส่งกองกำลังของตนเองคอยคุ้มครองครอบครัวและคนใกล้ชิดของเหล่านักฆ่าอย่างแน่นหนา เหล่านักฆ่าเองก็ไม่ใช่คนโง่พวกเขาเข้าออกจวนไหวกั๋วกงเป็นว่าเล่นย่อมมีลู่ทางสำรองเอาไว้บ้าง การที่พวกเขาลักลอบตีสนิทกับคนในจวนไหวกั๋วกงก็เพื่อให้พวกเขาเป็นคนมีตัวตนภายในจวน ไม่ใช่แค่เพียงนักฆ่าเงาที่ตายไปแล้วก็ไม่หลงเหลือร่องรอยให้ผู้คนตามหา ดังนั้นทางกรมอาญาย่อมสามารถที่จะหาคนมายืนยันฐานะของพวกเขาได้ว่าพวกเขาทำงานให้ไหวกั๋วกงจริงๆ ดังนั้นครั้งนี้ไหวกั๋วกงจึงไม่อาจจะปัดป้องความผิดของตนเองได้แล้ว“ท่านเ