“คนเราจะเชื่อในอะไรได้อีก หากสิ่งศักดิ์สิทธิ์กลายเป็นผู้สังหาร?”
— ข้อความบนกำแพงศาลเจ้าที่ถูกเผา
เสียงสายลมของหมู่บ้านยูคิโดะมิใช่ลมธรรมดา
อากิระและอินาริเดินผ่านเสาโทริอิที่หักครึ่ง
อินาริ: “ไม่มีแม้แต่แท่นบูชา… พวกเขาไม่ได้ลืมศรัทธา
แต่ทำลายมันด้วยมือของตัวเอง”
อากิระนั่งลงบนกองเถ้า
“ศรัทธา…เป็นสิ่งที่กินไม่ได้
และฆ่าคนที่ไม่เชื่อ”
คืนแรกในหมู่บ้าน
อาโอยามะ: “เจ้าไม่ใช่นักบวช...เพราะเจ้ามองคนตรงหน้า ไม่ใช่ฟ้า”
เธอยื่นหนังสือเก่าเล่มหนึ่งให้
บันทึกหน้าสุดท้ายเขียนไว้ว่า:
“ข้าไม่ได้กลัวตาย แต่กลัวว่าศรัทธาจะกลายเป็นอาวุธของผู้มีเสื้อคลุม”
รุ่งเช้า อากิระจัด “พิธีชำระ” ที่ศาลเจ้าเก่า แม้ไม่มีแท่น ไม่มีเทวรูป
เสียงอธิษฐานเริ่มต้นด้วยความลังเล
หญิงชรา: “ลูกข้าตายเพราะเขาไม่ยอมจ่ายภาษีให้พระ...
แล้วท่านจะให้ข้าอธิษฐานหาใคร?”
อินาริสวมชุดนักบวชครั้งแรกหลังความพ่ายแพ้
“ข้าจะไม่ให้อภัยคนในชุดเดียวกับข้าในอดีต
หากพวกเขาสร้างศรัทธาด้วยเลือด”
ในค่ำคืนหนึ่ง ขณะทุกคนเริ่มร่วมมือฟื้นฟูหมู่บ้าน
พวกเขาปล่อยข่าวลือว่า "อากิระปลุกวิญญาณอาฆาต"
ชายชุดดำ: “ให้คนกลัว...พวกเขาจะวิ่งกลับสู่อ้อมอกของพระเจ้าเอง”
แต่ก่อนที่ไฟจะลุก
อาโอยามะ: “พวกเขามาเพื่อจุดไฟในสิ่งที่เจ้ากำลังพยายามปลุกให้มีชีวิต”
กลางดึก อากิระตัดสินใจใช้ดาบ — ไม่ใช่เพื่อฆ่า
การเผชิญหน้ากับชายชุดดำ 3 คนจบลงในความเงียบ
“เจ้าทำลายศรัทธา…ด้วยความเมตตา มันอันตรายยิ่งกว่าดาบใด ๆ”
รุ่งเช้า
อากิระ: “หากศรัทธาไม่ใช่สิ่งที่พวกเจ้าถูกบังคับให้เชื่อ
ก็ปล่อยให้มันเติบโตแบบที่พวกเจ้าต้องการ”
อินาริมองเธอ แล้วถามเบา ๆ
อินาริ: “นี่เจ้าจะเป็นนักบวชหรือหัวหน้าแคว้นกันแน่?”
อากิระ: “แล้วมันต่างกันตรงไหน…หากเราต้องแบกรับศรัทธาของผู้คน?”
“บทที่ไม่มีผู้เขียน” – สมุดฟังถูกเวียนเขียนโดยไม่ลงชื่อเมื่อเสียงไม่ต้องการเครดิต…แต่มุ่งหวังจะถูกฟังลมฤดูใบไม้ร่วงพัดผ่านศาลาฟังในหมู่บ้านอุซึมิแผ่นไม้ที่เปลือยเปล่าไร้เครื่องตกแต่งกลายเป็นจุดรวมของผู้คนหลากวัยที่เข้ามา—บางคนเงียบบางคนกระซิบและบางคน…เขียนลงไปในสมุดเล่มหนึ่งสมุดที่ไม่เคยมีชื่อเจ้าของและไม่เคยมีใครอ้างว่าเขียนคนแรกมันคือ “สมุดฟัง”สมุดเล่มเดียวที่วางอยู่กลางศาลาทุกคนมีสิทธิ์เขียน แต่ไม่มีใครลงชื่อมันคือบทที่ไม่มีผู้เขียนและมันกำลังกลายเป็นพิธีกรรมใหม่ของยุคที่ไม่มีคำสั่งเสียงที่ไร้เจ้าของ เริ่มเขียนเรื่องที่ทุกคนกลัวจะพูดข้อความแรกในสมุดคือลายมือหยาบ ๆ “ข้าคือผู้ที่เคยเผาบ้านคนอื่น เพราะมีพระสั่งให้ทำตอนนี้ข้าเห็นหน้าลูกเขาทุกคืนในฝันข้าไม่ได้ต้องการให้อภัยข้าแค่อยากให้ชื่อเขายังอยู่ในโลกนี้”บรรทัดถัดมาเป็นลายมือเล็ก ๆ ที่แค่เขียนว่า “ขอบคุณ...ที่เขียนแทนข้าข้าคือเด็กคนนั้น”ไม่รู้ใครเขียนก่อนไม่รู้ใครตอบไม่มีชื่อไม่มีอายุไม่มีคำลงท้ายแต่เมื่อใครสักคนเดินเข้ามานั่งลงหน้าสมุดพลิกอ่านแล้วเริ่มเขียนด้วยตนเอง…ศาลาฟังที่ไม่มีผู้นำ แต่มีคนต่อ
“แผ่นดินที่ไม่ต้องสวด – เมื่อการฟังกลายเป็นวิธีอยู่ร่วม”โลกไม่ได้เปลี่ยนด้วยสงครามแต่มันเปลี่ยน…เพราะผู้คนฟังกันมากพอจนไม่ต้องรบรุ่งอรุณแห่งฤดูที่สามไม่มีเสียงระฆังศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีประกาศิตจากศาสนจักร ไม่มีธงตระกูลใดโบกไหวแต่ทั่วแผ่นดินกลับตื่นขึ้นพร้อมกัน—ด้วยเสียงของกันและกัน“ข้าจำได้ว่าเขาชื่อโทมิสุ เขาเคยสอนเด็ก ๆ ซ่อมรองเท้า...”“น้องสาวข้า ชื่ออาเคะ เธอเคยพูดว่าเสียงหัวเราะของแม่ดังที่สุดในเมือง...”เสียงเหล่านั้นเบา…แต่ลึกราวกับรากไม้ที่หยั่งลงไปในดินที่เคยแห้งผากจากเลือดและคำสั่งณ จัตุรัสกลางแห่งอิวะซากิ ศูนย์กลางเก่าของอำนาจและสงครามวันนี้กลายเป็นที่รวมของผู้ไม่ต้องการอำนาจ แต่ต้องการความหมายไม่มีเวที ไม่มีเจ้าภาพ ไม่มีลำดับการพูดทุกคนต่างยกสมุดขึ้น...และพูดชื่อคนที่เคยถูกลืม คนที่ไม่มีบทสวดรองรับ คนที่ไม่มีศพให้ฝังในมุมเงาหนึ่งของจัตุรัสฮากุโร่นั่งพิงเสากลางหินร่างของเขายังพันด้วยผ้าพันแผลเก่าแต่ดวงตาเบิกกว้างเหมือนดวงจันทร์ที่สว่างในคืนไร้ไฟข้างกายเขา สมุดเล่มหนึ่งเปิดค้างไว้ข้อความในหน้ากระดาษไม่ได้เขียนด้วยหมึก แต่คือรอยนิ้วเปื้อนดินเด็กคนหนึ่งในเมืองท
ตอนพิเศษ “สมุดที่ไม่เคยเขียนจบ” — บันทึกเงาของซาโยะสมุดที่ไม่เคยเขียนจบ— บันทึกเงาของซาโยะ —ข้าไม่รู้ว่ากำลังเขียนเพื่อใครและไม่แน่ใจว่าใครจะอ่านสิ่งนี้ในภายหลังแต่หากไม่มีใครเลย...ก็ให้มันเป็นเพียงเสียงในเงา ที่ครั้งหนึ่งเคยมีอยู่ข้าเขียนในคืนที่ฮากุโร่ยังนั่งเงียบอยู่ในวิหารภายใต้โคมเพียงหนึ่งดวง ที่ไม่รู้ว่าจะแสงถึงเช้าไหมฮากุโร่ไม่ใช่คนเดิมหรือบางที...เขาเพิ่งได้เป็น “ตัวตน” จริง ๆ ครั้งแรกเขาไม่ใช่ขุนศึกอีกแล้วไม่ใช่เสียงสั่งการ ไม่ใช่เงาที่วางกลยุทธ์เขาเป็นเพียงชายคนหนึ่ง ที่นั่งลงหน้าสมุด แล้วไม่พูดอะไรเลยแต่เพราะเขาไม่พูดข้าจึงเริ่มได้ยินเสียงในใจตนเอง เสียงของข้าและเสียงของคนที่ไม่เคยถูกฟังมาก่อนครั้งหนึ่งข้าเคยเกลียดเขาด้วยทั้งเลือดของพ่อข้า และน้ำตาของแม่แต่ความเกลียดก็เป็นเงาเช่นกันมันไล่ตามแสง เมื่อข้ายิ่งใกล้เขาจนวันหนึ่งข้าเริ่มรู้สึกว่าหากเขาเป็นเงา…ข้าเองก็คือผู้ที่อยู่ใต้แสงนั้นและเงานั้น…ไม่ได้บดบังข้าแต่มันโอบล้อมข้าไว้ในคืนที่เขากลับมาข้ามองมือที่เขาสูญไปมือที่ครั้งหนึ่งข้าเคยคิดว่ามันสังหารพ่อข้ามือที่ครั้งหนึ่งแตะหลังข้าในห้องหอครั้ง
เงาที่ฟังได้เมื่อนักรบกลับมาโดยไร้ดาบและการฟังกลายเป็นชัยชนะเดียวที่ยังเหลืออยู่เสียงรองเท้าไม้แตะพื้นหินของวิหารเก่าในแคว้นอาคิซึนั้นเบาเกินจะเป็นเสียงของนักรบ แต่พอแรงพอให้หัวใจของผู้เฝ้าประตูสะดุดจังหวะฮากุโร่ — ขุนศึกเงาที่หายสาบสูญไปกว่าแปดเดือน — เดินกลับมาผ้าพันแผลปิดครึ่งใบหน้าข้างขวามือข้างหนึ่งหายไปแขนอีกข้างยังเต็มไปด้วยบาดแผลที่ไม่สมควรอยู่บนร่างของผู้ที่เคยควบคุมแผนรบหลายสิบสนามแต่เขาเดินอย่างไม่ลังเลไม่เหมือนคนบาดเจ็บไม่เหมือนแม่ทัพเหมือนผู้ชายคนหนึ่ง…ที่กลับบ้านในห้องศาลาว่างกลางวิหารไม้โต๊ะเรียบไม่มีเครื่องเซ่น ไม่มีธง ไม่มีแท่นศักดิ์สิทธิ์มีเพียงสมุดเล่มหนึ่งเปิดวางไว้“สมุดฟัง” — สมุดเล่มแรกที่ถูกสร้างขึ้นโดยผู้รอดจากพิธีล้างข้างในคือชื่อของผู้ที่ไม่มีชื่อในตำราเสียงของผู้ตายที่ไม่เคยถูกนับความทรงจำของเด็กคำพูดของคนแก่บันทึกของแม่ที่เคยพูดกับลูกเพียงครั้งเดียวก่อนจากไปฮากุโร่นั่งลงหน้าสมุดนั้นเงียบไม่พูดไม่แตะต้องไม่เอ่ยคำใดเขาแค่นั่งแล้วฟัง“เขายังมีลมหายใจจริงหรือ?”ขุนพลแห่งตระกูลยามาโนะกระซิบ“ข้าคิดว่าเขาตายไปแล้วที่อิคุซะโนะโมริ”“ไม่ใ
การสวดโดยไม่มีพระเมื่อคำที่ออกจากปากคนธรรมดา กลายเป็นพิธีที่ไม่มีใครกล้าเหยียบย่ำลานหน้าศาลาไม้หลังเก่าในหมู่บ้านฮินะมิ ปกคลุมด้วยหมอกจางในยามเช้าที่ตรงนั้นเคยเป็นที่ประกอบพิธีศพของศาสนจักรพระผู้เทศน์จากศูนย์กลางจะเดินทางมาสวดบทตามตำรา พิธีจะจบภายในหนึ่งชั่วโมงไม่มีน้ำตาไม่มีเสียงอื่นเพียงคำว่า “สว่าง” ถูกเอ่ยซ้ำ ๆแต่วันนี้... ไม่มีพระมาสวดผู้คนยังยืนเรียงกันบางคนถือสมุดเล่มเล็กบางคนมีเพียงเศษกระดาษจารด้วยชื่อศพของ “อาคาเนะ” หญิงชราผู้เสียชีวิตในคืนที่ผ่านมา ถูกวางไว้กลางเสื่อหญ้าไม่มีเทียนไม่มีธูปไม่มีแท่นบูชามีเพียงหลานชายของนาง — เด็กชายวัยสิบสามชื่อ “โทริโอะ”ที่ยืนขึ้นเปิดสมุดเล่มหนึ่งและเอ่ยคำว่า“ข้าเคยฟังเธอร้องเพลงกล่อมตอนนั้นข้าไม่รู้ความหมายตอนนี้ข้ารู้แล้วว่า…เธอกำลังพยายามให้ข้าจำเสียงของเธอ”ไม่มีใครขัด ไม่มีใครสวดแทรกเงียบก่อนที่หญิงอีกคน — ลูกสะใภ้ของอาคาเนะ — จะลุกขึ้นและกล่าวชื่อของสามีที่ตายไปก่อนหน้านี้แล้วตามด้วยชื่อของลูกสาวแล้วกล่าวว่า“ทุกชื่อที่เธอจำไว้ พวกเราจะจำต่อให้”และนั่นคือจุดเริ่มต้นของพิธีศพที่ไม่มีพระไม่มีบทไม่มีตราประทั
ตระกูลที่ยอมลดธงเมื่อตราประจำตระกูลไม่สำคัญกว่าชื่อของคนที่ไม่มีใครจดจำ“เจ้าจะให้เรายอมลดธงตระกูลง... เพื่อฟังเสียงของเด็ก?”เสียงของ อาซูมะ โชอุน ดังก้องในหอปรึกษากลางปราสาทหินสูงแห่งฮิโนคามิ เสียงของชายที่เคยเป็นหนึ่งในเจ็ดดาบปราบขุนนางทรราช เสียงที่เคยทำให้แม่ทัพทั้งสามแคว้นต้องก้มหน้าแต่วันนี้ เสียงนั้นถามกับเด็กหญิงคนหนึ่งเด็กหญิงที่ตัวเปื้อนฝุ่น ขาเปล่า ผมสั้นยุ่งเหยิง และไม่มีตรา ไม่มีบทสวด ไม่มีผู้นำเธอเงยหน้าขึ้นช้า ๆ แล้วกล่าว“ข้าไม่ได้ขอให้ท่านลดธง... ข้าเพียงอยากให้ท่านจำชื่อของผู้ตายใต้ธงนั้น”ห้าปีก่อน ตระกูลอาซูมะคือแนวหน้าในการสนับสนุนศาสนจักร พวกเขาสร้างศาลาใหญ่ริมทะเล ถวายธงพิธีทั้งเจ็ดผืน ตั้งบทสวดเอง และล้างชื่อลูกบ้านที่ขัดคำสั่งออกจากทะเบียนแห่งแสงแต่หลังเหตุการณ์ "สมุดเงา" ที่แพร่เข้ามาถึงหมู่บ้านชายฝั่งอย่างเบา ๆ แต่ต่อเนื่อง ชาวบ้านเริ่มแอบสวดชื่อของลูกที่ตาย แทนที่จะสวดตามตำราอาซูมะ โชอุน เองก็ได้ยินเสียงนั้นทุกค่ำเสียงกระซิบใต้ต้นสนเสียงท่องชื่อคนรักของลูกสาวเขาที่ตายโดยที่ไม่มีใครพูดถึงวันหนึ่ง เขาพบสมุดเปื้อนดินวางอยู่ใต้ธงตระกูลเปิดดู พบเพียงช