“บทที่ไม่มีผู้เขียน” – สมุดฟังถูกเวียนเขียนโดยไม่ลงชื่อ
เมื่อเสียงไม่ต้องการเครดิต…แต่มุ่งหวังจะถูกฟัง ลมฤดูใบไม้ร่วงพัดผ่านศาลาฟังในหมู่บ้านอุซึมิ แผ่นไม้ที่เปลือยเปล่าไร้เครื่องตกแต่ง กลายเป็นจุดรวมของผู้คนหลากวัยที่เข้ามา—บางคนเงียบ บางคนกระซิบ และบางคน…เขียนลงไปในสมุดเล่มหนึ่ง สมุดที่ไม่เคยมีชื่อเจ้าของ และไม่เคยมีใครอ้างว่าเขียนคนแรก มันคือ “สมุดฟัง” สมุดเล่มเดียวที่วางอยู่กลางศาลา ทุกคนมีสิทธิ์เขียน แต่ไม่มีใครลงชื่อ มันคือบทที่ไม่มีผู้เขียน และมันกำลังกลายเป็นพิธีกรรมใหม่ของยุคที่ไม่มีคำสั่ง เสียงที่ไร้เจ้าของ เริ่มเขียนเรื่องที่ทุกคนกลัวจะพูด ข้อความแรกในสมุดคือลายมือหยาบ ๆ “ข้าคือผู้ที่เคยเผาบ้านคนอื่น เพราะมีพระสั่งให้ทำ ตอนนี้ข้าเห็นหน้าลูกเขาทุกคืนในฝัน ข้าไม่ได้ต้องการให้อภัย ข้าแค่อยากให้ชื่อเขายังอยู่ในโลกนี้” บรรทัดถัดมา เป็นลายมือเล็ก ๆ ที่แค่เขียนว่า “ขอบคุณ...ที่เขียนแทนข้า ข้าคือเด็กคนนั้น” ไม่รู้ใครเขียนก่อน ไม่รู้ใครตอบ ไม่มีชื่อ ไม่มีอายุ ไม่มีคำลงท้าย แต่เมื่อใครสักคนเดินเข้ามา นั่งลงหน้าสมุด พลิกอ่าน แล้วเริ่มเขียนด้วยตนเอง… ศาลาฟังที่ไม่มีผู้นำ แต่มีคนต่อแถว ในวันที่สาม คนเริ่มมากขึ้น ศาลาไม้หลังเล็กที่เด็กสร้างจากต้นซากุระที่หักล้มจากสงคราม ตอนนี้ต้องขยายเพื่อตั้ง “ที่วางสมุด” เพิ่ม เด็กชายคนหนึ่งเสนอ “เราไม่ต้องใช้ลำดับ... แต่เราใช้เวลา ให้ใครที่พร้อมก่อน เขียนก่อน” ไม่มีใครค้าน เด็กหญิงอีกคนเสนอ “ถ้าใครไม่อยากเขียน ก็วางหินแทนคำไว้ข้างหน้า เราจะรู้ว่าเขามีเรื่องจะเล่า แต่ยังไม่พร้อมพูด” หินเริ่มปรากฏหน้าสมุดหลายก้อน บางก้อนมีรอยมือเด็กเล็ก บางก้อนมีหยดเลือดที่ยังไม่แห้งสนิท ไม่มีใครลบ ไม่มีใครตัดสิน มีเพียงคนอ่าน แล้วเงียบ...หรือร้องไห้ ศาสนจักรกลางเริ่มสั่นสะเทือน สมุดฟังที่ไม่มีชื่อ เริ่มกระจายจากอุซึมิไปยังเมืองอื่น เล่มที่สองปรากฏในตลาดกลางแคว้นยามาโนะ เล่มที่สามโผล่ขึ้นในศาลาร้างเมืองหลวง และทุกเล่ม...ไม่มีผู้เขียน พระคนหนึ่งในศาสนจักรกลางหยิบขึ้นอ่าน ก่อนจะเขียนด้วยลายมือเฉียบขาดว่า “ข้าเคยสอนคำสวด แต่ไม่เคยถามชื่อคนที่นั่งเงียบท้ายศาลา วันนี้...ข้าเริ่มฟัง” เขาลงลายเซ็นด้วยหมึกสีดำ แต่คนที่ตามมา...ลบชื่อเขาทิ้ง และเขียนไว้ว่า “ไม่มีชื่อจะศักดิ์สิทธิ์กว่าความเจ็บที่เท่ากัน” บ้านที่ไม่มีบรรณารักษ์ แต่ทุกคนอ่านกันเอง ไม่มีใครตั้งกฎการเขียน แต่สมุดทุกเล่มมีรูปแบบคล้ายกันเองโดยธรรมชาติ ทุกข้อความเริ่มด้วยความกล้า ตามด้วยความจำ จบด้วยความหวังว่า “ใครสักคนจะเข้าใจ” บางคนเขียนเรื่องการทรยศของตระกูล บางคนเขียนความทรงจำของแม่ที่ถูกเผาพร้อมตำรา บางคน...แค่ขีดเส้นแนวนอนแล้ววางดอกไม้แห้งไว้ มันไม่ใช่บันทึก มันไม่ใช่สารคดี แต่มันคือเสียงที่ไม่กล้าพูด แต่กล้าเขียน…โดยไม่ต้องเป็นเจ้าของ ฮากุโร่กับสมุดที่ไม่มีชื่อ คืนหนึ่ง...ฮากุโร่ปรากฏตัวในศาลาเงา เขาเดินตรงไปยังสมุด นั่งลง อ่านหน้าแล้วหน้าเล่า เงียบ…และหลับตา จากนั้น เขายื่นมือไปหยิบพู่กัน และเขียนเพียงคำเดียว “ขอบคุณ” ไม่มีชื่อ ไม่มีอักษรลายเซ็น ไม่มีตราประจำตระกูล ไม่มีรอยตราประทับของกองทัพ เพียงพู่กันแผ่วเบา กับหมึกที่แห้งแล้วจากปลายไหเก่า ๆ ที่เด็กนำมาใช้ ข้อความที่ไม่มีลายมือเด่นสุด แต่เด่นเพราะมันเป็น “เสียงร่วม” “เราไม่ต้องรู้ว่าใครเขียน ขอแค่เรารู้ว่ามีใคร ‘กล้า’ เขียน เท่านั้นก็เพียงพอที่โลกจะเริ่มฟัง” “บทที่ไม่มีผู้เขียน” ไม่ได้เป็นของใคร แต่มันกลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในใจหลายคน เพราะมันปลอดภัย เพราะมันไม่ใช้ชื่อบังความจริง เพราะมันไม่กลัวการพูดผิด...ถ้ามันเป็นความรู้สึกแท้ มันคือ “พื้นที่เงา” ที่เริ่มเปลี่ยนเป็น “พื้นที่กล้า” เพราะเงา...กลายเป็นเสียง เสียง...กลายเป็นสิ่งที่ใครก็แตะต้องได้ แม้ไม่มีเจ้าของ --“พระที่ล้มแท่น” พระบางคนเผาตำราเก่า และฟังเสียงเด็กแทน “เมื่อศรัทธาถูกใช้เพื่อปิดหู บางคนจึงเลือกปิดตำรา...เพื่อเปิดใจ” วัดโฮเซ็นจิในหุบเขาตะวันตกเฉียงเหนือของโยะริมิยะ เสียงระฆังทองแดงหนักเจ็ดร้อยชั่ง เคยดังก้องทุกเช้าค่ำ เรียกชาวบ้านให้สวดตาม สั่นเตือนให้พระผู้ถือบาตรเดินตามระเบียบ ก้องเตือนให้คนในศาสนจักรจำได้ว่า “คำข้างในตำรา...ศักดิ์สิทธิ์กว่าเสียงใด” แต่วันหนึ่ง เสียงระฆังเงียบ ไม่มีใครตี ไม่มีเสียงสวด มีเพียงกลิ่นควันจากกระดาษที่ถูกเผา พระที่เคยเทศน์จนเลือดเปื้อนหมึก ชื่อของเขาคือ “คันริว” ในวัยหนุ่ม เขาเคยจารึกบทสวดด้วยเลือดตนเอง เชื่อว่าศักดิ์สิทธิ์คือสิ่งที่ต้องบูชา ไม่ใช่ตั้งคำถาม เขาเคยลงโทษพระลูกวัดที่ออกเสียงผิด เคยตราหน้าเด็กที่ถามว่า “ทำไมบทสวดไม่พูดชื่อพ่อแม่ข้าเลย” แต่เขาก็เป็นคนเดียวในวัด ที่ทุกคืน…จะออกไปนั่งใต้ต้นสน เขียนสิ่งที่ไม่อยู่ในตำรา “เสียงที่แม่ร้องไห้” “ชื่อของคนที่ถูกฝังโดยไม่มีใครพูดถึง” “เสียงหัวเราะของเด็กที่ตายโดยไม่มีพิธี” เขาไม่เคยเผยสิ่งที่เขียน จนกระทั่งคืนหนึ่ง...ฝนตก เด็กที่เดินฝ่าฝนเข้า
แผ่นดินที่ไม่มีตำราเมื่อพื้นที่ที่ไม่มีศาสนจักรเข้าถึง เริ่มจัดพิธีฟังแทนศาสนา“เมื่อบทสวดไม่อาจเข้าถึงผู้คนก็เริ่มฟังกันเองโดยไม่ต้องอ้างคำใดในตำรา”กลางทุ่งอาเคะฮะ แคว้นที่ไม่มีชื่อบนแผนที่แผ่นดินแห่งนี้เคยถูกเรียกว่า "เขตต้องสาป" โดยศาสนจักร เพราะเป็นพื้นที่ที่ไม่เคยสร้างศาลา ไม่เคยมีแท่นสวด และไม่มีพระรูปใดตั้งรกรากยาวนานพอจะจารึกบทบูชาให้ถาวรแต่ในปีแห่งเงาเดินกลา
พิธีจำที่ไม่มีผู้สั่ง— คนทั่วแผ่นดินเริ่มร่วมพิธีจำชื่อผู้ตายแบบไม่มีลำดับชั้นแผ่นดินโยะริมิยะไม่เคยมีเสียงสวดที่ไหลจากทุ่งสู่พระราชวังไม่เคยมีเสียงชื่อชาวนาถูกเอ่ยในที่ที่เจ้าเมืองเคยยืนไม่เคยมีใครกล้าจดจำ “คนที่ไม่มีชื่อ” อย่างเปิดเผย…จนกระทั่งค่ำคืนหนึ่งในต้นฤดูใบไม้ร่วงเมื่อสายลมเย็นพัดมาจากทิศเหนือ และฝุ่นจากพายุฤดูแล้งยังไม่ทันจางมีหญิงชราในหมู่บ้านอิซานะ นั่งอยู่หน้ากองฟืนที่ยังไม่จุดลูบสมุดเก่าเล่มหนึ่ง แล้วพูดขึ้นกลางวงว่า“คืนนี้...ข้าจะอ่านชื่อสามีของข้าที่ศพเขาไม่เคยมีใครเผาให้…เพราะไม่มีใครมาฟัง”ไม่มีพระ ไม่มีเจ้าเมือง ไม่มีผู้อาวุโสมีเพียงคนในหมู่บ้านนั่งเงียบ ฟังเสียงคนชราสะอื้นจากนั้น เด็กชายคนหนึ่งก็ค่อย ๆ หยิบสมุดฟังเล่มใหม่มาเขียนชื่อของ “อาคิระ” — พ่อของเขา ที่เคยหายไปกลางป่าระหว่างทางไปตลาดไม่มีใครสั่งให้ทำไม่มีตำราบอกให้พูดไม่มีเสียงระฆังเริ่มพิธีแต่เมื่อดวงจันทร์ครึ่งดวงขยับพ้นยอดไผ่เสียงชื่อผู้ตายเริ่มถูกอ่านเรียงต่อกัน โดยผู้เป็นลูก ผู้เป็นภรรยา หรือแม้แต่เพื่อนบ้านที่ไม่เคยรู้ว่าคนตายนั้นมีชื่อจริงว่าอะไรมันเริ่มที่หมู่บ้านหนึ่งแล้วต่อมา มี
ผู้เงียบที่เริ่มพูด- เมื่อคนเงียบในตระกูลใหญ่กลายเป็นผู้นำใหม่ในสายลมเย็นของฤดูใบไม้ร่วงต้นปีที่ 17 แห่งยุคโยะริมิยะใหม่เสียงกระดิ่งไม้ของศาลาฟังในหมู่บ้านซุยโฮดังขึ้นอย่างอ่อนโยนไม่ใช่เพื่อเรียกให้ฟังเทศน์ ไม่ใช่เพื่อเริ่มพิธีศักดิ์สิทธิ์แต่เพื่อแจ้งว่ามีเด็กคนหนึ่ง…เริ่มจดประโยคแรกในสมุดฟังเวียนเล่มใหม่ศาลานั้นไม่มีแท่นบูชา ไม่มีคนควบคุม ไม่มีเสื้อผ้าศักดิ์สิทธิ์แต่มีคนมากกว่าสี่สิบคน นั่งเงียบพร้อมกัน โดยไม่มีใครบอกให้ทำเด็กผู้นั้นชื่อว่า "ริสึ"เขาไม่ใช่คนในตระกูลใหญ่ ไม่เคยถูกสอนให้นำแต่เป็นคนเดียวในหมู่บ้านที่จำชื่อของหญิงชราที่เพิ่งตายได้ครบถ้วนแม้หญิงชรานั้นจะไม่มีหลาน ไม่มีลูกหลงเหลือและศาสนจักรไม่ยอมจัดพิธีให้ผู้ไม่มีตระกูลริสึยืนหน้าศาลามือสั่นเทาแต่พูดอย่างมั่นคง:“ข้าขอให้เราจำเธอ…แม้เธอไม่มีใครเหลือให้จำเพราะถ้าชื่อของเธอเงียบหายวันหนึ่งชื่อของพวกเราก็จะหายไปเช่นกัน”ในห้องใต้ดินของตระกูลยามาโนะขณะเดียวกัน ที่แคว้นกลางของโยะริมิยะในห้องใต้ดินลับของตระกูลยามาโนะ — หนึ่งใน 12 ตระกูลใหญ่หญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่หน้าสมุดฟังที่ไม่มีชื่อผู้เขียนดวงตาของนางมืดแน
บทที่ไม่มีผู้เขียนสมุดฟังถูกเวียนเขียนโดยไม่ลงชื่อในเช้าวันหนึ่งที่ไร้หมอก...ศาลาหลังใหม่ในหมู่บ้านอิซุระเต็มไปด้วยเสียงกระซิบ แต่ไม่มีใครพูดเสียงดังเด็กหญิงคนหนึ่งเปิดสมุดอ่านชื่อแม่ของเพื่อน แล้วปิดตาไว้ครู่หนึ่งไม่มีพิธีไม่มีใครสั่งให้ทำและที่สำคัญ…ไม่มีใครบอกว่าต้องเขียนอะไรสมุดฟังเล่มนั้น วางอยู่กลางศาลาใครจะเขียนก็ได้จะเขียนแค่ชื่อจะวาดรูปหรือจะเล่าเรื่องบางอย่างก็ได้ที่ข้างปก…มีเพียงคำเดียวที่ถูกเขียนไว้ในหมึกจาง“เพื่อผู้ที่ไม่มีใครเขียนถึง”เสียงที่ไม่มีเจ้าของความเปลี่ยนแปลงไม่ได้เริ่มจากเสียงใหญ่โตแต่มาจากการเวียนกันอ่าน…เวียนกันเขียน…เวียนกันฟังเมื่อไม่กี่เดือนก่อน สมุดฟังยังเป็นของ “ใครบางคน”อิโตะมีสมุดของเขาซาโยะมีเล่มของพ่อฮากุโร่เคยถือสมุดที่เขียนชื่อศัตรูแต่ตอนนี้ ทุกสมุดกลายเป็นสมุดเดียวกันไม่มีผู้เขียนไม่มีคนถือครองไม่มีแม้กระทั่งลายเซ็นเด็กคนหนึ่งจะเขียน แล้วทิ้งไว้คนถัดไปก็จะเติมเรื่องของตนแล้วส่งให้คนอื่นบางครั้งสมุดก็หายไปเป็นสัปดาห์แต่วันหนึ่ง…มันจะกลับมา พร้อมชื่อใหม่หนึ่งชื่อ และเรื่องเล่าใหม่หนึ่งเรื่องศาลาในหมู่บ้านอิซุระจึงกลา
บ้านที่ไม่มีประตู - เด็กสร้างศาลาฟังใหม่ที่ทุกคนเข้าได้หุบเขาตะวันตกของโยะริมิยะ เคยเป็นพื้นที่ต้องห้ามของศาสนจักรแต่วันนี้ กลายเป็นที่แรกที่มี “บ้าน” หลังหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่บ้านของใครคนใดคนหนึ่งไม่มีประตูไม่มีระฆังไม่มีแท่นมีเพียงเสาสี่ต้น หลังคาฟาง และพื้นดินเปล่าตรงกลางปูเสื่อไม้ไผ่สานหยาบ ๆ วางสมุดฟังเล่มหนึ่ง ซึ่งหน้าแรกยังว่างเปล่าและมีป้ายไม้เก่าเขียนไว้ด้วยลายมือเด็กว่า:“ศาลาฟัง – ไม่มีผู้นำ ไม่มีผู้อนุญาต”พวกเขาไม่ได้รอใครให้สั่งไม่ได้ขอพระรูปใดมาเปิดพิธีไม่ได้ถือธงตระกูล หรือสัญลักษณ์ทางศาสนาพวกเขาคือกลุ่มเด็กสิบสองคนจากหมู่บ้านรอบนอกบางคนเคยเป็นลูกกำพร้าที่พ่อแม่ถูกประหารโดยคำสั่งศาสนจักรบางคนเป็นหลานของผู้ถูกลืมบางคนเคยเขียนชื่อคนตายด้วยดินเพราะไม่มีหมึกและวันนี้ พวกเขามีหมึกพอมีมือที่สั่นแต่แน่นพอมีใจที่ยังจำ“เราจะไม่เปิดประตู…เพราะเราไม่เคยปิด”— ยามาโกะ, เด็กหญิงคนหนึ่งที่เขียนป้ายเสียงแรกในศาลาฟัง“ท่านเคยได้ยินชื่อ ฮานาโกะหรือไม่?”เสียงของเด็กชายชื่อโคจิ เอ่ยขึ้นกลางวงไม่มีใครตอบไม่มีใครรู้ว่าเธอคือใครแต่ทุกคนฟัง“เธอเป็นคนที่เคยให้ขนมฉันโดยไม่ถ