พวกเขามาถึงประตูที่ซ่อนอยู่หลังกลุ่มไม้เลื้อย เคลเปิดมันออก เผยให้เห็นสวนรัตติกาลภายใต้แสงจันทร์ สวนดูเหมือนจะมีแสงส่องประกาย ดอกไม้หลากหลายชนิดที่บานเฉพาะตอนกลางคืนแย้มรับแสงจันทร์ พืชพรรณแปลกใหม่ที่มีใบเรืองแสงดูเหมือนจะเต้นรำตามสายลมอ่อน ๆ อากาศเต็มไปด้วยกลิ่นหอมเย็นของดอกมะลิและดอกไผ่กลางคืน สวนนี้เป็นซิมโฟนีของสีสันและกลิ่นหอม เป็นโอเอซิสที่มีเวทมนตร์กลางใจเมือง
สวนรัตติกาลไม่ใช่แค่สถานที่ที่สวยงามเท่านั้น แต่ยังเป็นแหล่งพลังงาน สวนนี้มีเวทมนตร์ที่ช่วยปกป้องเมืองจากพลังมืดและสร้างความสมดุลในอาราเลีย กล่าวกันว่ารากของสวนแผ่ลึกลงไปในดิน เชื่อมโยงกับหัวใจของอาราเลีย และพลังงานของมันไหลผ่านเมืองเหมือนเส้นชีพจร
รินก้าวเข้ามาในสวนด้วยความประหลาดใจ สวนดูเหมือนจะมีชีวิตขึ้นมาเมื่อรินปรากฏตัว ดอกไม้บานอย่างมีชีวิตชีวา กลิ่นหอมของดอกไม้ชัดเจนขึ้น และบรรยากาศที่ดูเหมือนจะรายล้อมไปด้วยพลังงาน ราวกับว่าสวนสื่อสารกับรินได้และกำลังต้อนรับเขากลับบ้าน
“ว้าว” รินพูดเบา ๆ ดวงตาของเขาเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ “ที่นี่มหัศจรรย์จริงๆ”
เคลยิ้ม แม้จะมีความสงสัยอยู่ในใจ “นี่คือที่พักพิงของผม ผมมาที่นี่เพื่อหาความสงบ”
รินเดินไปรอบ ๆ สัมผัสกลีบดอกไม้ที่เรืองแสง “มันสวยงามมาก ขอบคุณที่แบ่งปันกับผม”
“มันมีมากกว่าความสวยงาม” เคลพูดเบา ๆ “สวนนี้มีประวัติ มีความเชื่อมโยงกับครอบครัวของผม มันเป็นสถานที่แห่งการรักษา”
ก่อนที่รินจะตอบ พวกเขาถูกขัดจังหวะด้วยเสียงอันสดใสและเปี่ยมด้วยพลัง “เคล คุณอยู่ที่นี่เอง ผมสงสัยว่าคุณไปที่ไหน”
นั้นคือเอร่า วินสโลว์ เพื่อนสนิทและที่ปรึกษาของเคล นักวิจัยสมุนไพรที่มีความสามารถ เอร่าเป็นคนที่อยู่เคียงข้างให้กำลังใจให้เคลมาโดยตลอด เอร่ามีผมสั้นสีแดงและดวงตาสีฟ้าส่องประกาย สวมเสื้อกันหนาวสีเขียวอบอุ่นและกางเกงยีน
“เอร่า นี่คือริน เขาเป็นศิลปินที่ผมเจอวันนี้ ริน นี่คือเอร่า เพื่อนสนิทของผม”
“ยินดีที่ได้พบคุณริน เพื่อนของเคลก็เหมือนเพื่อนของผม” เอร่ายิ้มอย่างอบอุ่น ดวงตาของเขาส่องประกาย
“ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน” รินตอบ รู้สึกอุ่นใจจากการต้อนรับของอีกฝ่าย
“งานของคุณยอดเยี่ยม ริน ผมอยากฟังเรื่องแรงบันดาลใจของคุณบ้างจัง” เอร่าเพิ่งเดินผ่านภาพจิตรกรรมฝาผนังก่อนทางเข้าสวนมาพอดี
“แค่สิ่งที่ผมทำ มันทำให้ผมมีสติ” รินยักไหล่ ยังรู้สึกเกร็งเล็กน้อย
เอร่าแลกเปลี่ยนสายตากับเคล “เรายินดีให้คุณเข้าเยี่ยมชมสวนได้ทุกเมื่อ มันเป็นที่ที่เราทุกคนพบความสงบ”
ขณะที่ค่ำคืนดึกสงัด ทั้งสามคนได้นั่งข้างบ่อน้ำเล็กๆ ผิวน้ำสะท้อนแสงจันทร์ พวกเขาพูดคุยเกี่ยวกับเมือง ชีวิต และความฝัน รินรู้สึกถึงการเป็นส่วนหนึ่งของสวน เป็นที่ของเขา มันเป็นความรู้สึกที่ไม่เคยสัมผัสมานาน
ทันใดนั้น แมวสีส้มก็วิ่งเข้ามาในสวนแล้วหยุดชะงักอยู่ตรงหน้าเอร่า เขาตกใจเกือบจะตกลงไปในบ่อน้ำ สองแขนแกว่งอย่างบ้าคลั่งเพื่อรักษาสมดุล เคลและรินเห็นดังนั้นก็พากันหัวเราะออกมา
“โว้ว เจ้าหนูนี่!” เอร่าพูดออกมา ในที่สุดก็สามารถยืนตัวตรงได้ แมวสีส้มจ้องมองเขาด้วยดวงตาสีเขียวสดใส ไม่สะทกสะท้านกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“นี่คือจินเจอร์” เขาอธิบายขณะอุ้มแมวขึ้นมา แล้วเกาคอของมัน “เขาพบผมที่ถนนและตัดสินใจที่จะอยู่ด้วย”
“จินเจอร์นายรู้วิธีการแนะนำตัวได้น่าสนใจจริงๆ” เอร่าเลิกคิ้ว
จินเจอร์ร้องเสียงดังราวกับจะยืนยัน แล้วทันใดนั้นก็พยายามปีนขึ้นตักของเอร่า เอร่าดันแมวออกไปเบา ๆ
“โอเค โอเค นายชนะ แต่อย่าทำให้ฉันตกลงไปในบ่อน้ำแล้วกัน”
รินยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่อ่อนโยน “จินเจอร์มีวิธีทำให้ตัวเองรู้สึกเหมือนอยู่บ้านไม่ว่าจะไปที่ไหน”
เคลมองดูเหตุการณ์ รู้สึกถึงความอบอุ่นที่ลอยอวลไปทั่วสวนยามค่ำคืน ทุกอย่างทำให้เขารู้สึกคุ้นเคย แม้จะมีความสงสัยในตอนแรก แต่เคลก็รู้สึกว่าการพารินมาที่สวนเป็นทางเลือกอันถูกต้อง
“อาราเลียอาจเป็นที่ที่ยากลำบาก แต่ก็เป็นที่ที่เริ่มต้นใหม่ได้”
รินพยักหน้า ดวงตาเต็มไปด้วยความหวัง “บางทีนี่อาจเป็นการเริ่มต้นสิ่งดีๆ”
เคลยิ้ม “ผมเชื่ออย่างนั้น”
ขณะที่พวกเขานั่งอยู่ มนตร์เสน่ห์ของสวนรัตติกาลเริ่มทำงาน สวนดูเหมือนจะหายใจ ดอกไม้โยกเยกอย่างเบา ๆ เหมือนกระซิบความลับ รินรู้สึกถึงการเชื่อมต่อที่แปลกแต่สบายใจกับที่นี่ เหมือนมันต้อนรับเขาเข้าสู่อ้อมกอดของมัน เคลสามารถรู้สึกถึงพลังของสวนที่ห่อหุ้มพวกเขา เป็นพลังปกป้องและผ่อนคลายที่ทำให้เขารู้สึกทั้งเต็มไปด้วยพลังของอัศวินและสบายใจในเวลาเดียวกัน
“รู้สึกเหมือนสวนนี้...มันมีชีวิตเลย” รินพูดเบา ๆ
เคลพยักหน้า “มันเป็นเช่นนั้น สวนนี้มีจิตวิญญาณ มันเป็นที่พักพิงมาหลายชั่วอายุคน และตอนนี้ มันเป็นของคุณด้วย”
รินมองไปที่เคล ดวงตาส่องแสงด้วยความรู้สึกขอบคุณและบางอย่างที่แฝงความนัย “ขอบคุณนะเคล สำหรับทุกสิ่ง”
เอร่าสัมผัสได้ถึงความรู้สึกพวกนั้น ก่อนจะยิ้มแย้มซุกซนและกระทุ้งเคลด้วยศอก
“ดูนายสิ เคล จริงจังและมีเสน่ห์ ฉันรู้ว่าข้างในตัวนายเป็นคนอ่อนโยน” แล้วหันไปหารินด้วยรอยยิ้ม “นี่เป็นเพียงการเริ่มต้น ริน เราดีใจจริงๆ ที่คุณมาอยู่ที่นี่”
ขณะที่พวกเขาออกจากสวน เคลและเอร่าแลกเปลี่ยนสายตากัน ทั้งคู่รู้สึกว่าการมาของรินเป็นการเริ่มต้นบทใหม่ ไม่เพียงแต่สำหรับริน แต่สำหรับพวกเขาด้วย ทั้งคู่ไม่รู้เลยว่า เงาในอดีตและความลึกลับของสวนรัตติกาลจะพาพวกเขาไปพบกับชะตากรรมที่ไม่คาดคิดได้อย่างไร
มาร์คัสนั่งอยู่ในมุมหนึ่งของห้องโถงมืดสลัว ความเงียบงันในห้องตัดกับเสียงหัวเราะเบา ๆ ที่ลอยมา ดวงตาของมาร์คัสเปล่งประกายด้วยความอาฆาต ขณะจ้องมองไปยังไอเดนและเคียแรน รอยยิ้มที่เปื้อนหน้าไอเดนเป็นเหมือนเปลวไฟที่โหมกระพือความโกรธในใจให้ลุกโชน“แกมันชอบทำตัวเหมือนเป็นเจ้าชายในนิทาน... แกก็แค่หมากตัวหนึ่งในกระดานของพ่อ ไม่รู้ว่าทำไมคนพวกนั้นถึงหลงแก แต่ฉันจะทำให้มันจบลงเอง” มาร์คัสคิดขณะมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเย็นเยียบเสียงคำพูดของไอเดนเกี่ยวกับ “สวน” และ “อัศวิน” ลอยเข้ามาในหู แม้มาร์คัสจะไม่ได้ยินชัดเจนทุกคำ แต่ความหมายก็กระตุ้นความสนใจขึ้นทันที ราวกับว่าคำเหล่านั้นเป็นกุญแจไขปริศนาที่เขาเฝ้าตามหา“สวน...อัศวิน...” มาร์คัสพึมพำกับตัวเอง เสียงของเขาเบาราวกับกระซิบ ขณะครุ่นคิดถึงตำนานและพลังลึกลับที่ถูกกล่าวขานเกี่ยวกับสวนรัตติกาลเขาหรี่ตาเล็กน้อย แล้วฉีกยิ้มเย็นเยียบ รอยยิ้มนั้นเย็นชาจนสามารถทำให้อากาศในห้องเย็นลง “ฉันจะใช้มันทำลา
ค่ำคืนอันเงียบสงัด แสงจันทร์ลอดผ่านม่านโปร่งผืนบางที่หน้าต่างห้องของไอเดน แสงสีนวลนั้นทาบเงาจาง ๆ บนผนัง ความเงียบดูเหมือนจะกดทับทุกสิ่ง ราวกับเวลาในโลกภายนอกหยุดนิ่ง บรรยากาศชวนให้อึดอัดและเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายได้เสียงลมพัดเบา ๆ กลายเป็นดนตรีพื้นหลัง ขณะที่ไอเดนนอนอยู่บนเตียง เขาหลับตา แต่จิตใจกลับวิ่งพล่าน ภาพจากบทสนทนาที่ได้ยินก่อนหน้านี้ยังคงดังก้องในหัว“ราชินี...เจ้าชาย...สวนรัตติกาล...”เสียงเหล่านี้เหมือนกระแสคลื่นที่ซัดเข้ามาเป็นระลอก ๆ กระตุ้นบางสิ่งที่ซ่อนลึกอยู่ในใจในฝัน ไอเดนพบว่าตัวเองยืนอยู่ในสวนที่งดงามเกินจริง ทุกอย่างดูเรืองรองภายใต้แสงจันทร์ ดอกไม้หลากสีเปล่งแสงนุ่มนวล ราวกับมีชีวิต อากาศอวลด้วยกลิ่นหอมละมุนของมวลบุปผา แต่มันกลับให้ความรู้สึกหนาวเย็นเหมือนฤดูใบไม้ร่วงที่เงียบเหงาเขาก้าวเท้าเดินไปอย่างลังเล เสียงกระซิบจากดอกไม้รอบตัวดังก้องเหมือนเพลงกล่อมเด็กที่ไม่จบสิ้น หญิงสาวในชุดสีขาวปรากฏตัวขึ้นท่ามกลาง
ในคืนที่เงียบสงัด กลางฤดูใบไม้ร่วงอันเยือกเย็น แสงจันทร์สีเงินส่องผ่านหน้าต่างกระจกสีที่เรียงรายอยู่ตามทางเดินของคฤหาสน์ซินดิเคท สะท้อนแสงเป็นเงารูปทรงแปลกตาบนพื้นหินอ่อน ความเงียบไม่ได้ให้ความรู้สึกสงบ แต่กลับแฝงไปด้วยความอึดอัดกลิ่นไม้เก่าผสมกับกลิ่นเทียนที่กำลังมอดไหม้ในโคมระย้าด้านบนกระจายตัวในอากาศ เสียงหวีดหวิวของลมหนาวพัดลอดเข้ามาทางหน้าต่างที่เปิดแง้มไว้ เพิ่มความเย็นเยียบที่สัมผัสผิวไอเดนอย่างแผ่วเบา ราวกับมีมือที่มองไม่เห็นกำลังลูบไล้ ไอเดนเดินเท้าเปล่าอย่างระมัดระวัง เสียงฝีเท้าของเขาแทบไม่ดังไปกว่าเสียงเข็มนาฬิกาในความเงียบก่อนจะออกมาเดินในเวลานี้ ไอเดนไม่สามารถหลับลงได้ แม้จะอยู่ในห้องส่วนตัวที่เงียบสงบแต่ความคิดในหัวของเขายังคงตีกันวุ่นวาย ความทรงจำราง ๆ ที่แฝงความเจ็บปวดทำให้เขาต้องหาที่หลบหนี ความมืดรอบตัวไม่ได้ช่วยให้เขารู้สึกปลอดภัย และจะมีสิ่งหนึ่งที่เขามักทำยามค่ำคืนที่เขาไม่อาจข่มตานอนได้คือ การวาดรูปโต๊ะในห้องของไอเดนเต็มไปด้วยแผ่นกระดาษขาวสะอาด บางแผ่นมีลายเส้นสีสดใสของดอกไม้ที่แบ่
ในช่วงวัยรุ่น ไอเดนเริ่มแสดงศักยภาพที่โดดเด่นออกมา แม้จะเติบโตในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยความโหดร้ายของซินดิเคท แต่เขากลับแสดงคุณสมบัติของผู้นำที่น่าประทับใจ ไม่ว่าจะเป็นความสง่างามตามธรรมชาติ ความฉลาดเฉลียว หรือความสามารถในการสื่อสารที่ดึงดูดผู้คนวันหนึ่ง ในการประชุมของกลุ่มซินดิเคทระดับกลางที่เกี่ยวกับการจัดสรรทรัพยากร มีข้อพิพาทรุนแรงเกิดขึ้นระหว่างสองฝ่าย ผู้แทนของแต่ละกลุ่มโต้เถียงกันอย่างดุเดือด เสียงดังจนบรรยากาศเต็มไปด้วยความตึงเครียด สมาชิกในที่ประชุมหลายคนได้แต่นั่งเงียบ ไม่มีใครกล้าออกปากห้าม เพราะกลัวจะถูกดึงเข้าไปในความขัดแย้งนี้ไอเดน ซึ่งนั่งอยู่ในที่ประชุมเฝ้าสังเกตด้วยความนิ่งสงบ ก่อนจะลุกขึ้นยืน ดวงตาสีเข้มของเขาฉายแววสง่างาม ทันทีที่เขาก้าวขึ้นมาเป็นศูนย์กลางของความสนใจ ทุกคนในห้องก็เงียบลง“พวกคุณเคยคิดหรือไม่ว่า การทะเลาะกันแบบนี้ไม่ใช่แค่ทำลายความสามัคคีในองค์กร แต่ยังทำให้โอกาสในการจัดการทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดสูญเสียไป?” ไอเดนเริ่มพูด น้ำเสียงมั่นคงแต่ไม่แข็งกร้าว
ทันทีที่ได้ยินข่าวว่ามีเด็กถูกนำเข้ามาในฐานะ “คุณชายคนใหม่” มาร์คัสก็แทบคลั่ง เสียงตะโกนของเขาดังก้องไปทั่วโถงใหญ่ของสำนักงานใหญ่ ดวงตาแดงก่ำราวกับสัตว์ป่าที่ถูกต้อนจนมุม“พ่อ! ไอ้ลูกหมานั่นเป็นใคร! พ่อเอามันเข้ามาทำไม!?” มาร์คัสคำรามลั่น เส้นเลือดที่ขมับเต้นตุบ ๆ เขากระชากแจกันข้างตัวแล้วปาอัดผนังจนแตกกระจาย เศษกระเบื้องกระเด็นไปทุกทิศทาง“มันไม่มีสิทธิ์อยู่ที่นี่! ผมคือผู้สืบทอด! ไม่มีใครมาแทนที่ผมได้!” มาร์คัสยังคงตะโกนต่อด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเดือดดาล ท่าทางของเขาราวกับเด็กที่ถูกแย่งของรักวิกเตอร์นั่งอยู่เงียบ ๆ หลังโต๊ะทำงาน เขาเพียงแค่เงยหน้าขึ้นช้า ๆ ดวงตาที่เย็นชาและเต็มไปด้วยอำนาจมืดเพ่งมองลูกชายตัวเอง มันเป็นดวงตาที่ไม่เคยแสดงความรักหรือความอบอุ่น แต่กลับทรงพลังจนทุกคนต้องหยุดนิ่งมาร์คัสที่กำลังโวยวายถึงกับชะงัก ร่างที่เดือดดาลเมื่อครู่เหมือนถูกหยุดโดยสายตาคู่นั้น ร่างกายของเขาแข็งค้าง หายใจไม่ทั่วท้อง เขาไม่เคยกลัวใครมากเท่ากับพ่อข
ข่าวลือเกี่ยวกับ “คุณชายคนใหม่” ที่ถูกวิกเตอร์นำเข้ามาแพร่กระจายไปทั่วซินดิเคทในเวลาไม่นาน และแน่นอนว่ามันไปถึงหูของเคียแรน เด็กหนุ่มวัย 14 ปีที่ขึ้นชื่อว่าเป็นคนเดียวในซินดิเคทที่ยังคงร่าเริงสดใสเหมือนแสงแดดในวันฝนตก“คุณชายคนใหม่? แถมยังเป็นเด็กเสียด้วย?” เคียแรนพึมพำกับตัวเอง ดวงตาสีฟ้าของเขาเป็นประกายด้วยความอยากรู้ “แบบนี้จะปล่อยให้ผ่านไปได้ยังไงกัน!”โดยไม่คิดอะไรมาก เคียแรนก็วิ่งไปยังปีกตะวันออกของอาคารใหญ่ ซึ่งได้ยินมาว่าเด็กคนนั้นพักอยู่ที่นั่น เขาหาที่ซ่อนตัวอยู่หลังมุมเสา แอบสอดส่องดูเด็กชายที่กำลังหลบมุมในเงามืดของโถงทางเดินเด็กชายคนนั้นดูสับสนและตื่นตระหนก ราวกับพยายามวิ่งหนีอะไรบางอย่างแล้วมาซ่อนตัวในมุมอับ ดวงตาของเขาหลุบต่ำ ใบหน้าเปื้อนความกังวล เคียแรนมองดูด้วยความสงสัยและความเห็นใจ“เฮ้! นายน่ะ แอบอะไรอยู่ตรงนั้น?” เคียแรนพูดขึ้นเสียงดัง พร้อมกับยิ้มกว้าง เขากระโดดพรวดออกมาจากมุมที่ตัวเองซ่อนอยู่ ทำเอาไอเดนสะดุ้งสุดตัว