วันรุ่งขึ้นจึงได้รู้ว่าพี่สาวหนีออกจากบ้าน!
ทุกคนเป็นห่วงกันมาก ท่านพ่อสั่งให้บ่าวในบ้านช่วยกันตามหาทั้งวันก็ยังไม่พบ เหล่าน้องชายน้องสาวต่างช่วยกันออกไปตามหาในที่ที่พี่หลันเหมยมักจะไป แต่ก็ไม่มีใครพบเช่นกัน
หลันเหมยหายไปทั้งวันทั้งคืน วันต่อมาท่านพ่อแทบจะต้องแบกหน้าไปขอให้ลุงเซียงโถวผู้นำหมู่บ้านให้ช่วยส่งคนออกไปตามหา แต่สุดท้ายหลังจากเลยยามเฉิน [1] พี่หลันเหมยก็กลับถึงบ้าน นางไม่ยอมพูดอะไร ถูกท่านพ่อทั้งดุทั้งตี แต่กลับไม่ร้องสักคำ ยังคงปิดปากเงียบ
คืนนั้นเสี่ยวเหอแอบไปขอร้องท่านพ่อท่านแม่ให้พี่สาวได้เป็นคนแต่งงาน แต่ท่านทั้งสองต่างทำหน้าตาลำบากใจ ก่อนบอกว่าฝ่ายเจ้าบ่าวเจาะจงเลือกมาว่าต้องเป็นเสี่ยวเหอ
เสี่ยวเหอได้แต่ร้องไห้จนนอนไม่หลับทั้งคืน
สามวันต่อมาเสี่ยวเหอยังไม่ทันทำใจเรื่องพี่สาว ก็ต้องถูกจับแต่งตัวตั้งแต่เช้า ได้ใส่เสื้อผ้าที่งดงามที่สุดในชีวิต และนั่งรถเทียมวัวเข้าไปในตัวอำเภอพร้อมสาวใช้ชื่อ จื่อรั่ว กับแม่สื่อ เพื่อไปเดินเล่นในเทศกาลซีซีกับว่าที่เจ้าบ่าว
ระหว่างทาง เสี่ยวเหอได้ยินเสียงม้าวิ่ง จึงชะโงกหน้าออกไปดู เห็นชิงถิงในชุดทหารกำลังควบม้าวิ่งสวนทางมา นางดีใจยิ่งนักที่ได้พบเขาระหว่างทาง หลังจากที่ไม่ได้พบชิงถิงมาสักพักแล้ว นางพบเขาครั้งล่าสุดคือเมื่อปลายเดือนที่แล้วยามเขาได้กลับมาเยี่ยมบ้านตอนสิ้นเดือน
เสี่ยวเหอจึงเผลอตะโกนเรียกออกไปอย่างลืมตัว
“ต้าจื่อ! ต้าจื่อ”
ชิงถิงได้ยินเสียงเรียกของคนคุ้นเคยจึงหยุดม้า
“เจ้าจะรีบไปที่ใดหรือ?” หญิงสาวถาม
สีหน้าของชิงถิงคล้ายว่าจะโกรธใครสักคนมาก แต่เหมือนพยายามข่มเอาไว้ เขาลงจากหลังม้าและกำเชือกไว้แน่น ก่อนจะเค้นเสียงต่ำๆ ถามกลับไป
“แล้วเจ้าจะไปที่ใด?”
เสี่ยวเหอรู้สึกละอายและเสียใจอย่างบอกไม่ถูก ไม่เข้าใจว่าเหตุใดตัวเองจึงไม่กล้าบอกชิงถิงเรื่องที่จะแต่งงาน นางอึกอักอยู่สักพัก สาวใช้จื่อรั่วจึงเป็นฝ่ายพูดเสียเอง
“พวกข้ากำลังจะพาคุณหนูรองเข้าไปในตัวเมือง เพื่อไปเดินเล่นกับคู่หมั้นในเทศกาลซีซีเจ้าค่ะ”
เสี่ยวเหอเห็นว่าชิงถิงหน้าซีดยิ่งกว่าเดิม ในแววตาเจือไปด้วยประกายเคืองโกรธ ในใจนางอยากจะถามว่าเป็นอะไรมากหรือไม่ แต่แม่สื่อกลับเร่งให้รีบเดินทางเสียก่อน
“ต้องรีบออกเดินทาง กำลังจะไปพบคู่หมั้นอย่ามัวแต่โอ้เอ้พูดคุยกับชายอื่นระหว่างทาง เรื่องเช่นนี้ ไม่ค่อยดีงามนัก”
หญิงสาวพูดอะไรไม่ออก ได้แต่หลบตาชิงถิงด้วยความรู้สึกยากจะอธิบาย แล้วรถเทียมวัวก็เริ่มออกเดินทาง ทิ้งชายหนุ่มหน้าบูดบึ้งไว้ข้างหลัง เขานิ่งไปสักพัก ก่อนจะวิ่งตามรถเทียมวัวมาขวางทางเอาไว้
“เจ้าจะแต่งงานแน่ใช่หรือไม่ เจ้าอยากแต่งด้วยจริงๆ หรือ?” เขาถามออกไปเสียงขุ่นมัวไม่พอใจ
“...” เสี่ยวเหอยังคงเอ่ยตอบไม่ได้
“ตอนนี้ คุณหนูรองของข้าเหลือเพียงแค่ทำพิธีกราบไหว้ฟ้าดิน ฝ่ายชายเอาสินสอดมาให้แล้ว แม่สื่อก็มาแล้ว ชะตาก็ตรวจแล้วเช่นกันเจ้าค่ะ” จื่อรั่วจึงต้องเป็นฝ่ายพูดอีกครั้ง
ชิงถิงเงียบอยู่นานราวกับจะรอฟังคำตอบจากเสี่ยวเหอเท่านั้น แต่หญิงสาวกลับเอาแต่ก้มหน้าไม่กล้าสบตา จนแม่สื่อต้องเร่งอีกครั้ง ชิงถิงจึงไม่ตื๊อถามอีก เขาเดินกลับไปขึ้นม้าและจากไปทันที
เสี่ยวเหอเดินทางไปเช่าโรงเตี๊ยมนอนด้วยความรู้สึกหนักหน่วง คล้ายกับมีใครกำลังทุบอกข้างซ้าย แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร นางรับรู้ได้เพียงแรงทุบนั้นทำให้นางหายใจไม่สะดวก
รอกระทั่งเย็น สาวใช้และแม่สื่อก็มารับเสี่ยวเหอออกไปพบคู่หมั้น นางต้องออกไปเดินเล่นในเทศกาลซีซีกับผู้ชายอายุคราวลุง แถมทั้งอ้วน ทั้งหัวล้านทั้งลงพุง
ตอนพบหน้ากันครั้งแรก เสี่ยวเหอเห็นว่าอีกฝ่ายพอใจในตัวนางมาก แต่หญิงสาวกลับรู้สึกคลื่นไส้จะอาเจียนกับสายตาของเขาที่มองมาอย่างโลมเลียไม่ปิดบัง นางจึงเอาแต่ก้มหน้า จื่อรั่วจับมือให้เดินไปทางใดก็เดินไปทางนั้น จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเดินไปที่ใดบ้าง
เมื่อผ่านไปสักระยะหนึ่ง พวกคนรับใช้ แม่สื่อและจื่อรั่วที่ติดตามมา จำเป็นต้องเดินตามหลังห่างๆ เพื่อให้คู่หมั้นได้คุยกันอย่างใกล้ชิด เพราะเป็นการเดินเล่นของคู่ชายหญิงที่ใกล้แต่งงาน
เสี่ยวเหอเอาแต่เดินก้มหน้า ไม่สนใจจะคุยกับคู่หมั้น แม้อีกฝ่ายจะพยายามชวนคุยแล้ว แต่สุดท้ายก็เริ่มรู้สึกเบื่อที่ฝ่ายหญิงไม่พูดคุยโต้ตอบ ไม่นานก็ต่างคนต่างเงียบ
ผ่านไปราวสองเค่อ [2] เสี่ยวเหอก็พบว่าตัวเองหลงทางเสียแล้ว ว่าที่เจ้าบ่าวของนางก็ไม่อยู่ ผู้คนเดินผ่านไปผ่านมามากมายจนลายตา นางพยายามมองหาคนรู้จัก แต่ก็ไม่คุ้นหน้าใครเลย สุดท้ายจึงหยุดเดินและตั้งใจจะกลับโรงเตี๊ยม
‘กลับไปรอที่โรงเตี๊ยมน่าจะดีกว่าตามหาคนกระมัง ถึงอย่างไรคนมากเช่นนี้คงตามหากันไม่พบ พรุ่งนี้ค่อยขอโทษฝ่ายชายก็แล้วกัน’ เสี่ยวเหอคิด
นางจึงเดินกลับทางเดิมที่ผ่านมา แต่เพราะผู้คนเยอะมากและไม่แน่ใจว่าตอนนี้ตนอยู่ที่ใดกันแน่ อย่างไรเสี่ยวเหอก็เป็นคุณหนูบ้านนอกที่ไม่ค่อยได้เข้าตัวอำเภอ ไม่ต้องคิดว่าตอนนี้ยังเป็นยามกลางคืนที่มีคนพลุกพล่านอีกด้วย
หญิงสาวเอาแต่ก้มหน้าก้มตาเดินตลอดทางจึงหาทางกลับลำบากมาก เดินไปมา ถูกชนหลายครั้ง สุดท้ายเสี่ยวเหอก็รู้ตัวว่าคงหลงทางอีกแล้ว เพราะร้านค้าก็เริ่มน้อยลง แสงไฟก็สว่างน้อยลง
ทันใดนั้นก็มีมือบุรุษลากเสี่ยวเหอเดินเข้าซอยมืด!!
เสี่ยวเหอตกใจมากจนร้องไม่ออก มืออีกข้างพยายามทั้งตีทั้งแกะมือแข็งแรงที่ลากตัวเองอยู่ แต่ทำอย่างไรก็ไม่อาจหลุดจากการเกาะกุมของชายปริศนา จนถูกลากเข้าสู่ถนนที่แทบไม่มีแสงไฟ
นางเกือบจะร้องไห้แล้วแต่เมื่อเงยหน้ามอง กลับจำได้ว่าคนตรงหน้าคือชิงถิง แม้เขาจะใส่ชุดดำมีผ้าปิดหน้าเอาไว้ครึ่งหนึ่ง แต่นางยังคงจำเขาได้ เสี่ยวเหอจึงหยุดเดิน
ชิงถิงต้องหันมามอง ไม่เข้าใจว่าเหตุใดเสี่ยวเหอจึงไม่เดินต่อ
“เจ้าอยากกลับไปเดินเล่นกับเจ้าหมูตอนนั่นหรือ?” ชิงถิงถามด้วยเสียงไม่พอใจ
เสี่ยวเหอส่ายหน้า น้ำตาใกล้จะไหลออกมาอยู่แล้ว แต่ชิงถิงไม่สนใจยังคงลากให้นางเดินต่อไป
[1] ยามเฉิน คือ เวลา 07.00 – 08.59 นาฬิกา
[2] หนึ่งเค่อ เท่ากับ 15 นาที
“ท่านแม่ ท่านแม่เจ้าคะ” เสี่ยวเหอพยายามลืมตา ได้ยินเสียงลูกสะใภ้กำลังเรียกนาง‘ในที่สุดก็ตื่นวันใหม่แล้ว’ เสี่ยวเหอคิดด้วยความดีใจ แต่ไม่ทันไรก็เห็นม่านสีขาวยังคงอยู่ที่เดิมเสี่ยวเหอรู้สึกว่าผิดปกติ จึงรีบวิ่งออกไปที่ห้องโถงอีกครั้ง เห็นโลงศพยังอยู่ที่เดิม แต่ครั้งนี้นางพยายามเดินไปจนถึงที่ตั้งโลง เห็นหน้าชิงถิงของนางที่เหี่ยวย่น ผมขาวทั้งหัวนอนหลับสบายอยู่ข้างในนางมั่นใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น น้ำตาไหลอาบแก้ม คิดสิ่งใดไม่ออก นางจึงเริ่มร้องไห้โวยวาย“ชิงชิง เจ้าไม่ยุติธรรม..ฮือ ๆ ๆ .. ชิงถิงเจ้าคนบ้าคลั่งสารเลว ฮือ ๆ ๆ ..ตัวข้าไม่ได้ข้ามน้ำข้ามเวลามาเพื่อเห็นเจ้าตายอีกครั้ง เจ้าคนสารเลว ลุกขึ้นมา เจ้าลุกขึ้นมาด่าข้าเถิด ชิงชิง ฮือ ๆ ๆ ชิงชิงของข้า ฮือ ๆ ๆ”เสี่ยวเหอร้องไห้ไปด่าเขาไป อ้อนวอนเขาราวกับเขาจะกลับมาได้ เสียงสะอึกสะอื้นของนางคล้ายจะขาดใจตายตรงนั้
หลังคลอดลูก เสี่ยวเหอหลับไปเพราะหมดแรงและตื่นมาช่วงลูกยังเล็ก เพราะนางต้องให้นมลูก ข้ามเวลาไปมาช่วงลูกสองขวบบ้าง สี่เดือนบ้าง นางข้ามเวลาไปมาไม่หยุดหย่อน ตั้งแต่ลูกเล็กจนลูกเป็นหนุ่มเสี่ยวเหอข้ามเวลาเลี้ยงลูกจนผ่านไปหลายปี นางนับอายุจริงของตัวเองได้สามสิบห้าปีแล้ว ใช้ชีวิตข้ามเวลาไปมาเช่นนี้เลี้ยงลูกอย่างยากลำบากตั้งแต่เสี่ยวเหอคลอดลูก นางไม่ต้องการกลับไปนอนที่บ้านของท่านพ่ออีก เพราะนางต้องการอยู่กับลูกและชิงถิง ช่วยเขาเลี้ยงดูลูกไปด้วยกัน แม้จะเหน็ดเหนื่อย แต่นางไม่ต้องการทิ้งเขาให้เลี้ยงลูกลำพังบางครั้งนางย้อนเวลาไปช่วงยังสาวและตื่นขึ้นที่อื่นบ้าง แต่เสี่ยวเหอจะรีบกลับมายังบริเวณจวนของชิงถิง และหาสักที่นอนหลับ นางจะตื่นมาพบลูกและสามีได้เสมอทุกค่ำคืน ชิงถิงยังคง ‘พูดมาก’ ดังเช่นที่เคยเป็น และเสี่ยวเหอก็รักที่เขาเป็นเช่นนั้น..วันหนึ่งเสี่ยวเหอได้ย้อนกลับไปหลังคลอดลูกชายได้หน
ชิงถิงยังดีใจยิ้มอย่างมีความสุขกับการบังคับแสนน่ารักของนาง เขาคิดว่านางกลัวว่าเขาจะทิ้งนางเพราะได้นางแล้ว เสี่ยวเหอได้แต่ปวดใจที่เขาไม่รู้อะไรเลย นางได้แต่ปลอบใจตัวเองว่าอย่างน้อยทุกอย่างก็จบลงด้วยดีสาบานก็สาบานกันไปแล้ว อย่างไรพวกเขาก็ชิงทำข้าวสารให้เป็นข้าวสุกแล้ว ทั้งสองคนจึงอยู่ที่นั่น พลอดรักกันต่ออีกสักหลายชั่วยาม ให้เด็กหนุ่มชิงถิงได้ปลดปล่อยความรักใส่นางอีกหลายครั้งจนกระทั่งเย็น การได้พบเด็กหนุ่มแรงมหาศาล เสี่ยวเหอคิดว่าก็มีเรื่องดีอยู่บ้างพระอาทิตย์ลับหลังเขานานแล้ว ชิงถิงอุ้มเสี่ยวเหอกลับบ้านอย่างทะนุถนอม จนกระทั่งใกล้ถึงหมู่บ้านเขาจึงยอมปล่อยให้นางเดินลำพัง แต่ยังคงคอยถามอย่างเป็นห่วงอยู่ตลอดทางกลับบ้านคืนนั้นเป็นครั้งแรกที่เสี่ยวเหอไม่อยากนอนที่บ้านของท่านพ่อท่านแม่ นางต้องการนอนกับเด็กหนุ่มชิงถิงแรงดี นางรู้สึกว่ากลายเป็นสตรีแพศยาที่เอาแต่คิดอยากได้แท่งหยกร้อนของเขา เป็นเช่นนั้นจนกระทั่งใกล้เช้าจึงหลับไป
เสี่ยวเหอกอดเขาไว้แน่นเนื้อตัวสั่นเกร็งเพราะความสุขสม ปากก็กระซิบบอกรักเขาข้างหู ทั้งยังบอกว่าตัวเองได้รับความสุขมากเพียงใด“ชิงชิง..ข้ารักเจ้าเหลือเกิน รักมาก รักที่สุด เจ้าทำให้ข้ามีความสุขมาก มากเหลือเกิน มากเกินจริงๆ” นางพูดออดอ้อนเขาอย่างน่ารักหัวใจของชิงถิงแทบจะกระดอนออกมานอกอก เขาดีใจจนแทบจะบ้า แต่พูดออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ ได้แต่กอดนางไว้แน่น และจุมพิตอย่างทะนุถนอมไปทั่วใบหน้า ขอบคุณความรักที่นางมอบให้เขาเสี่ยวเหอสุขสมยิ่ง นางเริ่มรู้สึกว่าการที่เขาทำอย่างอ่อนโยน และน่ารักมากเช่นนี้ก็มีความสุขยิ่ง แม้ร่างกายรู้สึกไม่เต็มอิ่ม แต่ในใจกลับสุขสมเต็มอิ่มยิ่งกว่าถูกกระแทกแรงๆนางกอดคอเขาเอาไว้แน่นเพื่อแบ่งปันความสุขระหว่างกัน ยังไม่ยอมให้เขาถอนเอ็นเนื้อออกจากตัว อยากกอดเขาไว้เช่นนี้นานอีกเล็กน้อย ยกสองขากอดเอวเขาไว้ สอดส่ายสะโพกไปมายั่วยวนชายหนุ่มแต่นางทำเช่นนั้นได้เพียงครู่ กอดไปกอดมาก็รู้สึกถึงสิ่งผิดปกติ
คราแรกชิงถิงคล้ายไม่ยินยอมปล่อย แต่นางผลักแรงขึ้นจึงได้แต่จำใจ แม้จะถอนริมฝีปากออกมาแล้ว แต่เขาก็ไม่ยอมปล่อยมือ สองมือรวบนางมานั่งบนตักตัวเองไว้ และกอดราวกับกลัวว่านางจะหนี“ไม่พอใจหรือ” เขาก้มหน้าชนหน้าผากนางไว้ พูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่าสั่นไหว“ไม่พอใจ!”คำตอบของนาง หัวใจของเขาหล่นวูบ“เจ้าไม่ยอมตอบคำถามของข้า กลับใช้วิธีไม่ซื่อเช่นนี้มาเลี่ยงคำถามหรือ” เสี่ยวเหอแสร้งแง่งอน“ที่จริงแล้ว เวลาข้ามองด้วยสายตาแรงกล้า ก็หมายความว่า..เช่นนี้” เขายิ้มโล่งใจ และหาคำตอบทำให้หญิงสาวหายงอน“สายตาเช่นนั้น หมายถึงอยากจุมพิตข้าหรือ” นางเบี่ยงตัวออก เอ่ยถามเขา คิ้วบางขมวดชวนมองเขาพยักหน้าเป็นคำตอบ สายตาจ้องมองปากระเรื่อไม่วางตาเสี่ยวเหอจับแก้มชิงถิงเพื่อมองตาอีกครั้ง หัวใจของเขาเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ พยายามกลืนน้ำลายไม่ให้นางเห็น แต่ไม่กล้าหลบตานาง บางอย่างใต้เข็มขัดก็แสบร้อนพองตัว“โกหก เหตุใดเจ้าไม่พูดความจริง จูบก็จูบไปแล้วแต่เจ้ายังมองด้วยสายตาเช่นนี้อยู่ไม่ใช่หรือ” นางตั้งข้อสังเกต“ข้า..พูดได้จริงหรือ” เขาลังเล จ้องหน้านางด้วยความไม่แน่ใจ“เจ้ารังเกียจจะพูดความจริงกับข้าหรือ” หญิงสาวคะยั้นคะยอ
วันต่อมาเสี่ยวเหอตื่นมา พบว่าจวนหลังนี้เพิ่งสร้างเสร็จใหม่ๆ ยังไม่ใหญ่มากแต่ก็ดีกว่าหลังที่เป็นเรือนหอของเขากับนางหลังแรกที่อยู่หลังบ้านพ่อแม่ของเขากลิ่นไม้และกลิ่นกระดาษใหม่ยังหอมฟุ้งไปทั่ว ข้าวของก็ยังจัดได้ไม่เสร็จดี วันนั้นนางจึงต้องช่วยเขาจัดบ้าน เพราะชิงถิงต้องเข้าไปในกองทัพ นางจึงต้องเป็นเจ้าของบ้านจำเป็นและต้องคอยดูแลสาวใช้ที่มาช่วยงานตกเย็นชิงถิงกลับมาเอาของบางอย่างที่ท่านแม่ทัพอยากได้ เสี่ยวเหอเห็นว่าเขายังไม่ได้เป็นรองแม่ทัพแต่เป็นเพียงนายกองเท่านั้นเมื่อชิงถิงรู้ว่านางเป็นเสี่ยวเหอของเขา เขาก็ตัดสินใจอยู่กินข้าวเย็นที่บ้าน และคืนนี้ก็ตั้งใจว่าจะนอนที่บ้านด้วย ยามค่ำคืนชิงถิงก็ยังคง พูดมาก เช่นเดิมแม้เสี่ยวเหอจะคิดถึงช่วงเวลาที่เขาใส่อารมณ์เต็มที่กระแทกกระทั้นอย่างรุนแรง แต่ยามที่เขานุ่มนวลและบอกรักนางเบาๆ ชิงถิงของนางก็น่ารักมากเช่นกัน ไม่ว่าเป็นชิงถิงที่บ้าคลั่งรุนแรงหรือชิงถิงที่อ่อนโยนน่ารักก็ดีทั้งสิ้นก่อนนอนเขาถามนางว่าไปที่ใดมาแล้วบ้าง เสี่ยวเหอจึงเล่าว่าไปหาเขาที่อายุมากมา เล่าเรื่องเขาและลูกๆ หลานๆ ลูกสะใภ้ และความแก่หง่อมของเขา รวมถึงอาการปวดหลังด้วย“ข้าไม่ค