สายลมต้นยามเฉินพัดกลิ่นสนหอมจาง ๆ ลอยมาจากเชิงเขา ถานไถ่ สายหมอกบางลอยต่ำไปตามยอดไม้ เมื่อขบวนเสด็จเลี้ยวผ่านซุ้มประตูอาราม เสียงระฆังทองดังรับสามครั้งกังวานไปทั้งหุบเขา
บนลานหินหยกหน้าวิหารใหญ่ แม่ชีในจีวรสีหม่นเรียงแถวอย่างเป็นระเบียบ สือเหล่าซือไท่ เจ้าอารามผู้สูงวัย ยืนรออยู่เบื้องหน้า ผมสีเงินเกล้ามวยเรียบ ใบหน้าสงบสว่างราวแสงยามเช้า นางประนมมือคำนับงดงาม
“ถวายคำนับ หลีไทเฮา และ ฉางหลันจ่างกงจู่ อารามถานไถ่ยินดีต้อนรับเพคะ”
ไทเฮายิ้มบาง ๆ รับคำ พลางพยักหน้าให้ขันทีและนางกำนัลถอยเป็นระยะพอเหมาะ เหลือเพียงข้ารับใช้คนสนิทสองสามนาง รวมถึง อาหลิว อากุ่ย และหลิวหมัวมัว กับติ้งกงกง ที่ตามเฝ้าฉางหลิงจ่างกงจู่ไม่ห่าง
สือเหล่าซือไท่เชื้อเชิญเข้าไปในวิหารใหญ่ พื้นศิลาขาวสะอาดสะท้อนเงาเปลวเทียนเป็นสาย ๆ กลางวิหารตั้ง พระประธานหินขาว สูงตระหง่าน กระถางกำยานสามขาตั้งเรียงด้านหน้า ควันหอมลอยเป็นเส้นบางขับให้บรรยากาศยิ่งสงบ
“ฉางหลิงจ่างกงจู่ นำหยกกลับไปวาง ‘ที่เดิม’ เถิดเพคะ ที่ซึ่งหยิบจากมา ถือว่าคืนเจ้าของดังเดิม” เสียงสือเหล่าซือไท่เรียบอ่อน แต่มีน้ำหนัก
หลีไทเฮา พยักหน้าเรียกถิงเยว่าเบา ๆ “อาเยว่ ไปเถิดลูก”
ถิงเยว่าสูดลมหายใจ ยกหยกแขวนสีเขียวเข้มขึ้นประคอง ทั้งห้องเงียบลงจนได้ยินเสียงกระดิ่งลมที่ชายคา นางก้าวไปยัง ฐานหินด้านข้างพระประธาน ตรงจุดที่แสงเทียนสะท้อนเงาวาบขึ้นมา ที่เดิมวันนั้นที่นางแอบเก็บมา
ปลายนิ้วสัมผัสหินเย็น นางวางหยกอย่างแผ่วเบาลงบนแท่นเล็กที่แกะเป็นลายมังกรพัวพันบุปผาเมฆ ก่อนจะปล่อยมือช้า ๆ ราววางภาระที่หนักอึ้งออกจากอก
ในห้วงขณะนั้นเอง เปลวเทียนใกล้ ๆ ไหวระริกเล็กน้อย คล้ายลมพัดผ่าน ทั้งถิงเยว่าและอาหลิวหันสบตากันโดยไม่ตั้งใจ
สือเหล่าซือไท่ยิ้มบาง “ดีแล้วเพคะ ของที่พลัดพรากไปได้กลับคืนที่ ย่อมสงบ”
ไทเฮาพยักหน้า คล้ายโล่งใจ ที่บุตรสาวของตนเองจะหายจากอาการประหลาด
“ต่อไปเป็นพิธีสะเดาะเคราะห์เพคะ”
“เชิญสือเหล่าซือไท่นำทางเถิด”
เจ้าอารามจึงเดินนำไปยังห้องพิธี พอถึง นางก็เอ่ยสั่งการ แม่ชีสองรูปยก ขันศิลาหยก ใส่น้ำพุจากบ่อบนเขา มีดอกเหมยขาวสองสามดอกลอยหน้า น้ำจึงมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ชื่นใจ อีกสองรูปวาง ถาดกำยาน กับ เชือกด้ายห้าสี และ ผ้าแพรแดงแผ่นเล็ก ที่เขียนช่องว่างสำหรับชื่อและวันเดือนปีเกิด
สือเหล่าซือไท่ประนมมือ “พิธีกล่าวเริ่มด้วยการ ‘คืนคำ คืนใจ’ ต่อหน้าองค์พระ จากนั้น ‘ล้างซวย’ ชำระเคราะห์ด้วยควันกำยานและน้ำศักดิ์สิทธิ์ แล้วผูกโชคด้วยด้ายห้าสี สุดท้ายเผา ‘เคราะห์ลายลักษณ์’ ให้ลมพาเคราะห์ร้ายไป เพคะ”
ถิงเยว่คุกเข่าหน้ากระถางกำยาน หลีไทเฮาประคองไหล่บุตรสาวเบา ๆ อากุ่ยกับอาหลิวยืนก้มหน้าเงียบ สือเหล่าซือไท่เคาะ ไม้ปลากลวง จังหวะช้า ๆ ให้เสียงนำสวด แม่ชีทั้งวิหารขับบทสวดกังวานเป็นคลื่นอ่อน ๆ
“ขอให้เคราะห์ร้ายคลาย ขวากหนามหายไป ควันหอมยกชะตาร้ายหนีไป น้ำใสล้างทุกข์…”
สือเหล่าซือไท่ยื่นธูปสามดอกให้ถิงเยว่า “อธิษฐานจากใจ แล้วปักลงในกระถางเพคะ”
ถิงเยว่พนมมือ หลับตา เห็นภาพฝันร้ายแวบขึ้นมาเป็นชุด เลือดบนบันไดหิน เสียงกลองรบ และนาม “อวิ๋นโม่” ที่หลุดจากปากในฝัน นางกลืนน้ำลายอธิษฐานในใจ
“ขอให้ฝันร้ายจงคลายหายไป ขอให้ทุกคนปลอดภัย ขอให้ข้าพบเพียงสุข” จากนั้นปักธูปลงอย่างมั่นคง
“เชิญเสด็จเวียนขวารอบกระถางสามรอบเพคะ” เจ้าอารามกล่าว
ถิงเยว่เวียนประทักษิณสามรอบตามจังหวะเคาะไม้ปลา ควันกำยานลอยคลุมไหล่เบา ๆ พอครบสามรอบ แม่ชีอีกรูปยื่นผ้าแพรแดงกับพู่กันให้สือเหล่าซือไท่ นางเขียน นาม ‘หลิ่วถิงเยว่’ พร้อมวันเดือนปีเกิดลงไป ตัวอักษรคมชัด
“ต่อไป ลอดควันกำยานสามคราให้ควันพัดเคราะห์ออกจากกายเพคะ”
แม่ชีสองรูปยกกระถางกำยานสูงขึ้น ถิงเยว่ก้าวช้า ๆ ผ่านควันหอมสามครั้ง กลิ่นสนและดอกเหมยแตะปลายจมูก นางรู้สึกภายในอกเบาขึ้นเล็กน้อย
สือเหล่าซือไท่จุ่มปลายนิ้วลงในน้ำพุในขันศิลาหยก แล้วประพรมเบา ๆ ที่หน้าผาก ไหล่ทั้งสอง และหลังมือของถิงเยว่า “น้ำนี้ไหลจากยอดถานไถ่ สายน้ำไหลที่เดิม พาชะตากลับสู่ที่เดิม เพคะ”
จากนั้นนางหยิบ ด้ายห้าสี แดง เหลือง น้ำเงิน ขาว ดำ มัดข้อมือถิงเยว่าเป็นปมเล็กหนึ่งปม “ผูกไว้เจ็ดวัน ครบกำหนดจึงแก้ แล้วผูกกับกิ่งสนหน้าวิหาร ปล่อยให้ลมพาเคราะห์ไปเพคะ”
อาหลิวเผลอยิ้มโล่งอกน้อย ๆ ส่วนอากุ่ยยืดตัวขึ้นอย่างตั้งใจ สายตาแอบมองเจ้าอารามด้วยความเลื่อมใส
“บัดนี้ เขียนสิ่งที่ไม่อยากให้ติดตาม ฝันร้าย ชื่อเคราะห์ ชื่อคนที่ไม่อยากพบ ลงบน กระดาษเหลือง นี้เถิดเพคะ แล้วเราจะเผาเสีย” สือเหล่าซือไท่ยื่นแผ่นกระดาษให้ พร้อมถาดทรายทองใบเล็กสำหรับวาง
ถิงเยว่านิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจรดพู่กัน เขียนเพียงสั้น ๆ ว่า “ฝันเลือด เคราะห์ร้าย นาม ‘อวิ๋นโม่’ ”
หมึกดำยังไม่ทันแห้ง นางก็วางแผ่นนั้นลงบนถาด
แม่ชีอีกรูปจุดไฟจากตะเกียงน้ำมันงา เปลวเล็ก ๆ ไหม้กินกระดาษเหลืองอย่างรวดเร็ว เถ้าละอองถูกตักลงครึ่งช้อน ละลายในขันศิลาหยกจนจาง จากนั้นสือเหล่าซือไท่เทน้ำส่วนหนึ่งลงใน รางศิลาทิศตะวันออก ที่รับน้ำไหลลงสู่ลำธารเบื้องล่าง
“ให้เคราะห์ไหลออก ไม่หวนกลับนะเพคะ”
ส่วนที่เหลือ นางแตะปลายนิ้วจุ่มน้ำประพรมน้อย ๆ ที่รองเท้าแพรของถิงเยว่า “จากนี้ก้าวให้มั่นคง”
เสียงระฆังดังอีกห้าครั้ง สลับกับเสียงไม้ปลาเบา ๆ จังหวะค่อย ๆ ช้าลงจนหยุด ทุกอย่างกลับสู่ความเงียบสงบของวิหาร
หลีไทเฮาจับมือบุตรสาว “เป็นอย่างไรบ้าง”
ถิงเยว่ถอนหายใจยาว “รู้สึกว่าภายในอกโล่งขึ้นเพคะ…ไม่แน่นเหมือนก่อน” น้ำเสียงยังแผ่ว แต่แววตานิ่งขึ้นนิดหนึ่ง
สือเหล่าซือไท่ยิ้ม “เคราะห์ใหญ่ต้องแก้ด้วยใจที่แน่วแน่ พิธีช่วยเบิกทาง ส่วนที่เหลือ คือการไม่ปล่อยให้ ‘ความกลัว’ จูงมือเราไปไกลกว่าความจริง หากคืนนี้ยังฝัน ให้ลุกขึ้นจุดตะเกียง เขียนฝันร้าย ใส่ผ้าแดงนี้ แล้วนำไปแขวนที่ ต้นสนขาว ข้างวิหารตะวันออก พรุ่งนี้เช้าเราจะให้แม่ชีสวดปลดเคราะห์ต่อเพคะ”
เจ้าอารามหันไปสั่ง แม่ชีตัวน้อยได้นำตลับผงกำยาน และ ผ้าแพรแดงผืนเล็ก ใส่ถุงผ้าสีงาช้างมาวางบนถาด “สำหรับฉางหลันจ่างกงจู่เพคะ”
“ขอบใจ” ไทเฮารับด้วยสีหน้าผ่อนคลายกว่าเดิมเล็กน้อย
“ความกรุณาของอารามไอเจียจะไม่ลืม”
สือเหล่าซือไท่โค้งรับ “อารามถานไถ่มีไว้เพื่อชำระใจคนทั่วแผ่นดินเพคะ”
เมื่อเสร็จพิธี แดดสายเริ่มส่องเฉียงผ่านช่องหลังคา เกิดลำแสงอุ่นตกตรงแท่นหินที่วางหยกไว้พอดี ถิงเยว่าเหลียวมองหยกสีเขียวเข้มสงบนิ่ง ไม่ส่องแสง ไม่อุ่น ไม่เย็น ราวกับไม่เคยหลงทางจากที่ของมัน
อาหลิวเอ่ยเบา ๆ “คงเป็นลางดีเพคะ จ่างกงจู่”
ถิงเยว่พยักหน้า แต่ในอกยังมีเงาเบาบางของความกังวลหลบอยู่ “คืนนี้…เปิ่นกงจู่จะลองทำตามที่เจ้าอารามบอก”
นางแตะด้ายห้าสีที่ข้อมือตนเองอย่างระวัง
หลีไทเฮาโอบไหล่นางเบา ๆ “พอแล้วสำหรับวันนี้ ไปจิบชาที่ศาลาริมสระสนกันก่อน คืนนี้คงต้องค้างที่อารามแล้ว”
เมื่อขบวนจะถอยออกจากวิหารหลักสำหรับทำพิธี สายลมพัดใบสนให้สั่นไหว ระฆังเล็กที่ชายคาส่งเสียงใสอีกครั้ง ควันกำยานเส้นบางค่อย ๆ สลายหายไปในอากาศเหมือนพาความอับโชคบางส่วนให้จางหายไปด้วย
ทว่าไกลลิบ ข้างแท่นหินที่หยกถูกวางกลับคืน เปลวเทียนเล่มหนึ่งพลิกไหววูบวาบราวจะมอดดับ… ก่อนนิ่งสนิทลงเหมือนเดิม แต่หยกชิ้นนั้นกลับหายไปเสียแล้ว!
และหาด ถิงเยว่ จะสังเกตสังเกตนิด ในถุงหอมข้างเอวบัดนี้หนักกว่าปกติ แต่นางมิทันสังเกตจึงเดินตามมารดาไปดื่มชาอย่างสงบ
ใช่แล้ว…
โชคชะตายามที่ถูกกำหนดย่อมยากจะเปลี่ยน หยกชิ้นนี้ก็เช่นกัน มันพบเจ้าของที่ตามหามานานย่อมไม่ยอมถูกทอดทิ้งอีกเป็นแน่!
ตอนที่ ๒๔ || ตามหารอยสักหมาป่าคำรามดังนั้นพอถึงวันถัดมา หลิ่วถิงเยว่ตื่นขึ้นด้วยดวงตาที่ใต้ดวงตาดำคล้ำ แต่ความมุ่งมั่นกลับหนักแน่นยิ่งกว่าเดิมหลิ่วถิงเยว่นำภาพวาดที่ตนเขียนไว้ติดตัวออกจากตำหนักฉางหลันหลังนางกินมื้อเช้าเรียบร้อยแล้ว ขันทีนางกำนัลพากันขบวนติดตาม นางกำนัลประจำหอตำราหลวงต่างรีบออกมาก้มศีรษะต้อนรับด้วยความเคารพ หลังอากุ่ยไปแจ้งว่าฉางหลันจ่างกงจู่ต้องการศึกษาตำราฉางหลันจ่างกงจู่ ผู้สูงศักดิ์เสด็จมาอ่านตำรา ใครเล่าจะกลัวขวางทาง ไม่ว่านางจะไปแห่งหนใด ขุนนางทั้งหลายล้วนต้องถอยหลีกทางร่างอรชรก้าวเข้าสู่หอตำราหลวงด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แสงอาทิตย์สาดลอดหน้าต่างสูงสะท้อนคัมภีร์และตำราที่เรียงรายสุดสายตา เสียงฝีเท้าของถิงเยว่ดังก้องไปตามทางเดินที่ถูกขันทีและนางกำนัลผู้ดูแลหอตำราขัดถูจนสะอาดเงาวับตลอดวันนั้น นางกางภาพหมาป่าดำเทียบกับตำราไปไม่น้อย มือเล็กหยิบเล่มแล้วเล่มเล่า ไล่ค้นทั้งหมวดสัตว์ป่าหวงห้าม ตำราพิธีบูชา ไปจนถึงบันทึกตำนานโบราณ ทว่าทุกเล่มล้วนเงียบงันไร้คำตอบวันเดียวไม่พอ…สองวันก็ยังว่างเปล่าจนกระทั่งครบเจ็ดวันเต็ม นางยังวนเวียนอยู่ที่หอตำราหลวง ใบหน้างามมีแต่ซีดขาวเพ
ตอนที่ ๒๓ ||ใต้หล้าล้วนผิดต่อข้า!เสียงฆ้องสามครั้งดังสะท้อนทั่วตำหนักจิ้งหยางหลังไท่หยางฮ่องเต้มีดำรัสให้เลิกงานเลี้ยงเพียงเท่านี้ แขกเหรื่อแตกตื่นลุกขึ้นก้มศีรษะคำนับตามรับสั่ง ไท่หยางฮ่องเต้เสด็จออกจากท้องพระโรงพร้อมหลีไทเฮาเหลือทิ้งไว้เบื้องหลังเพียงเสียงซุบซิบอื้ออึงของเหล่าบัณฑิตและขุนนางที่ยังไม่ทันดื่มกินให้สำราญใจ งานเลี้ยงที่ควรเป็นเกียรติสูงสุดกลับถูกยุติกลางคันด้วยเหตุการณ์ไม่คาดฝันในความวุ่นวายนั้น ซ่งอวิ๋นโม่ ยืนนิ่งราวถูกตอกตรึงไว้กับพื้น ริมฝีปากเม้มแน่นจนเป็นเส้นตรง ดวงตาที่เคยสว่างวาบไปด้วยความหลงใหล กลับมืดครึ้มลงอย่างน่ากลัวเพียงเพราะหญิงงาม เขากลับหลงลืมภารกิจสำคัญไปจนสิ้น!ซ่งอวิ๋นโม่กำหมัดแน่น เล็บจิกลงบนฝ่ามือจนเลือดซึม ร่างสั่นสะท้านด้วยความโกรธแค้นต่อตนเองที่หลงลืมเพลิงแค้นยี่สิบปี เพียงสบตากับซือหม่าอวี้ หลงลืมเป้าหมายที่จะโดดเด่นต่อไท่หยางฮ่องเต้ และทำตนให้สะดุดตาฉางหลันจ่างกงจู่อวิ๋นโม่เอ๋ย อวิ๋นโม่ เจ้าช่างโง่งมสิ้นดี! เจ้ามาเพื่อแก้แค้น เพื่อชะตาตระกูล ที่สูญสิ้นเพราะพวกคนแซ่เหลิ่วมิใช่มาเพื่อจมอยู่ในห้วงรักแรกพบที่ไร้ค่า!ใบหน้าที่เคยสงบนิ่งกลับบิดเ
ทันทีที่เสียงขันทีใหญ่เอ่ยขานจบ บุตรสาวคนรองแห่งจวนติ้งถิงโหว ซือหม่าอวี้ ก้าวออกจากแถวด้วยกิริยาสงบ ดวงตาคมกริบสะท้อนประกายมั่นใจ งามหยดย้อยแต่แฝงกลิ่นอายดุดันของนักรบหญิงถัดมา ซือหม่าหยวน พี่ชายคนโต ก้าวออกเคียงข้างใน อาภรณ์ขุนนางฝ่ายบู๊สีชาดขลิบทอง สง่างามราวเพลิงไฟ มิใช่ชุดออกศึกเช่นยามอยู่ที่ค่ายทหาร ท่วงท่ามั่นคงดุดันสมฐานะแม่ทัพผู้ปกป้องบูรพาสองพี่น้องหยุดยืนกลางท้องพระโรง ค้อมกายคำนับบัลลังก์มังกร ก่อนที่ขันทีจะส่งกระบี่ยาวคู่หนึ่งเข้ามาในมือเสียงดนตรีพลันเปลี่ยนเป็นจังหวะหนักแน่น กลองใหญ่กระหึ่มก้อง ปี่และขลุ่ยสอดประสานดุจเสียงลมกรรโชกซือหม่าอวี้สะบัดปลายแขนยกกระบี่ขึ้น ฟาดหมุนวาดเป็นวงกลมงดงาม ก่อนพุ่งก้าวไปข้างหน้าเหมือนพยัคฆ์สาวตะปบเหยื่อ กระบี่ในมือนางเปล่งแสงสะท้อนกับแสงโคมไฟระยิบระยับราวอัสนีแลบซือหม่าหยวนโต้ตอบด้วยกระบี่ที่มั่นคงและทรงพลัง ทุกกระบวนท่าผสานรับส่งกับน้องสาวอย่างคล่องแคล่ว หนักแน่นเสมือนขุนเขา แต่ก็พลิ้วไหวราวสายน้ำเสียงเหล็กกระบี่กระทบกันดัง เคร้ง! ก้องกังวานสะท้อนทั่วท้องพระโรง ทุกสายตาจับจ้องร่างทั้งสองที่เคลื่อนไหวประสานกันไม่ต่างจากบทกวีแห่งสงคร
ราตรีหนึ่งในราชสำนักต้าเจาในปลายฤดูร้อนกลางเดือนห้าเจิดจ้าด้วยแสงประทีปนับหมื่นดวงคืนนี้ตำหนักจิ้งหยางอันโอ่อ่าถูกเปิดกว้าง ตกแต่งประดับประดาด้วยผ้าแพรโปร่งหลากสีพาดลดหลั่นดั่งม่านเมฆ ลวดลายมังกรกับหงส์ทองปักด้วยดิ้นเงินดิ้นทองสะท้อนกับแสงโคมไฟจนระยิบระยับราวดวงดาวตกลงมาประดับพื้นดินหอสูงทั้งสี่มุมตำหนักแขวนโคมไฟลวดลายงดงามแปลกตา ริมทางเดินปูพรมผ้าไหมสีชาดทอดยาวตั้งแต่หน้าตำหนักขึ้นสู่บันไดท้องพระโรง เสียงดนตรีพิณ คงโหว ขลุ่ยบรรเลงกล่อมด้วยท่วงทำนองนุ่มนวลต้อนรับแขกเหรื่อ ขับเน้นให้ค่ำคืนนี้หรูหราเกินเปรียบบนโต๊ะยาวเรียงรายทั่วห้องโถง เครื่องคาวและหวานถูกจัดวางอย่างประณีต อาหารเลิศรสจากทั่วทุกหัวเมืองส่งมารวม ณ ที่นี้ ทั้งปลากรายนึ่งซีอิ๊ว ปูทะเลตัวใหญ่แกะเปลือกวางบนจานเงินเนื้อกวางตุ๋นยาจีนหอมฉุย ขนมหวานงดงามอย่างดอกเหมยน้ำผึ้ง ผลไม้หายากจากแดนไกล สายน้ำชาและสุราบ่มนานถูกทยอยรินไม่ให้ขาด นางกำนัลและขันทีเดินกันขวักไขว่ ขับเน้นความเอิกเกริกสมกับเป็นงานเลี้ยงใหญ่ที่ราชสำนักจัดเพื่อต้อนรับบัณฑิตผู้สอบผ่านของปีไท่หยางที่ 7 นี้อย่างใหญ่โอฬารบัณฑิตหนุ่มจากหัวเมืองต่าง ๆ สวมชุดยาวสีน้ำ
ตอนที่ ๒๐ || ห้วงฝันสีเลือดสายหมอกหนาหนักโอบล้อมครอบคลุมทั่วทั้งหลังเขา ความเงียบวังเวงจนแม้เสียงลมหายใจของตนเอง หลิ่วถิงเยว่ยังได้ยินดังสะท้อนในหู ร่างเล็กก้าวไปเรื่อย ๆ ทั้งที่ใจรู้สึกประหวั่นพรั่นพรึง คล้ายถูกใครบางคนดึงรั้งให้เดินสืบเท้าต่อไปโดยไม่อาจฝืนฉัวะ!เสียงคมดาบฟาดเฉือนผ่านอากาศ ฉับพลันก็ตามมาด้วยเสียงร้องโหยหวนสะท้านวิญญาณ เลือดคาวคลุ้งลอยมากับลมเย็นยะเยือกจนขนกายลุกชัน หญิงสาวใจสั่นระรัว อยากหันหลังหนีแต่ร่างกลับแข็งทื่อ เท้าทั้งสองกลับก้าวต่อไปอย่างดื้อรั้น“ไม่นะ!…เจ้าเท้าไม่รักดีห้ามพาข้าไปเห็นเรื่องไม่ควรเห็นสิ!…” นางพึมพำ น้ำเสียงสั่นเครือยิ่งก้าวลึกเข้าไปในหมอก เสียงฟาดฟันโลหะปะทะโลหะก็ถี่กระชั้นขึ้น ทั้งเสียงกรีดร้องคร่ำครวญของมนุษย์ที่ถูกเชือดขาดสะบั้นก้องกังวานทั่วผืนเขา จนหลิ่วถิงเยว่เหมือนจะหูอื้อไปชั่วขณะเมื่อม่านหมอกขาวสลายคลายออก ภาพตรงหน้ากลับทำให้หัวใจนางแทบหยุดเต้นกลางลานดินกว้างเต็มไปด้วย ซากศพ นับร้อย เลือดแดงสดไหลรวมเป็นธารนองพื้น กลิ่นคาวคลุ้งคละคลุ้งสะอิดสะเอียนท่ามกลางกองซากน่าสะพรึงนั้น เด็กชายผู้หนึ่งยังคงยืนหยัด ร่างเล็กวัยเพียงสิบถึงสิบเอ
ตอนที่ ๑๙ || หยกหวนคืนอีกครั้ง!หลังจากถูกอาหลิวกับอากุ่ยพากลับมายังตำหนักฉางหลัน หลิ่วถิงเยว่ก็เอาแต่นั่งนิ่งอยู่ในห้องบรรทม น้ำตาไหลเปียกแก้ม ภาพพี่ชายตะคอกใส่พร้อมทุบหยกและเผาสมุดบันทึกต่อหน้าต่อตายังคงวนเวียนไม่หาย ทุกครั้งที่นึกถึง ใจดวงน้อยก็ปวดร้าวราวถูกฉีกออกเป็นเสี่ยง ๆ“จ่างกงจู่เพคะ ฝ่าบาทคงมิได้ตั้งทัยหรอกเพค” อาหลิวเอ่ยปลอบใจ เพราะทราบดีผู้เป็นนายคงสะเทือนใจไม่น้อย“ไม่ตั้งพระทัยหรือ? เจ้าหรอกใครอยู่กันเล่า อาหลิว พวกเจ้าออกไปเถอะ เปิ่นจ่างกงจู่อยากอยู่ผู้เดียว” กล่าวด้วยสีหน้าเย้ยหยัน แต่มิอาจทราบได้ว่านางเย้ยหยันผู้ใดอยู่ใดกันแน่“แต่ว่า…” อาหลิวยังห่วงนายสาว เนื่องจากฉางหลันจ่างกงจู่นั้นบอบบางราวแก้ว ไท่หยางฮ่องเต้คราวนี้รุนแรงไปแล้ว“ออกไปเถอะ!” หลิ่วถิงเยว่จำต้องทำเสียงเคร่ง เพราะอาหลิวกับอากุ่ยมักเป็นเช่นนี้ในยามที่นางกล่าววาจาดีด้วยก็ไม่ค่อยจะรับฟังชอบให้นางเอ็ดเสียงดัง แต่ในยามนี้เด็กสาวอยากอยู่ลำพังจริงๆ“พี่เยี่ยน…เหตุใดจึงเปลี่ยนไปเช่นนี้” นางพึมพำแผ่วเบา เสียงสะอื้นติดคอ เติบโตมาด้วยกัน หลิ่วเยี่ยนเฟยไม่เคยขาดเหตุผลเช่นนี้ หรือเพราะเมิ่งหรูจื่อ?หลิ่วถิงเยว่สะ