เช้าแล้ว
เมื่อวานกว่าเยว่ฉีจะทำความสะอาดบ้านเสร็จเรียบร้อยพอให้นอนได้ก็ใช้เวลาไปไม่น้อย พอเสร็จจากการทำความสะอาดสิ่งที่นางทำต่อจากนั้นคือการหุงหาอาหาร และสิ่งที่ตามมาคือความหนักใจ เยว่ฉีก่อไฟไม่เป็นร้อนให้หานลั่วอี้มาช่วยก่อ
เขาช่วยยังไงนะหรือ? ก็ใช้พลังปราณทำให้ฟืนลุกไหม้ยังไงละ ตอนเห็นใบหน้านิ่ง ๆ ใช้พลังวิเศษจุดไฟให้ เยว่ฉียอมรับเลยว่าไม่อยากจะเชื่อสายตา แต่เมื่อความจริงปรากฏอยู่ตรงหน้าสุดท้ายก็ต้องพยายามทำใจยอมรับว่าโลกที่หลุดเข้ามาอยู่เป็นโลกของพลังวิเศษ
ว่าแต่นางมีพลังพิเศษหรือเปล่า ถ้ามีเหมือนคนในโลกนี้บ้างก็คงจะดี ทว่าจากความทรงจำของเจ้าของร่างดูเหมือนว่าเยว่ฉีจะไม่มีความสามารถดังกล่าว
แต่เยว่ฉีคนก่อนกับเยว่ฉีคนปัจจุบันก็หาใช่คนเดียวกันบางทีคนก่อนไม่มีนางอาจจะมีก็ได้
เยว่ฉีส่ายหัวให้กับความคิดตัวเอง เดินไปยังเพิงข้างบ้าน เริ่มต้นจัดการทำอาหารเช้า
ข้าวในบ้านคือข้าวที่ได้แวะซื้อก่อนจะมาถึงหมู่บ้านชวีซาน ซึ่งเพียงพอสำหรับครึ่งเดือน หลังจากนี้ต้องเข้าเมืองไปซื้อมาอีกรอบ เมื่อวานเยว่ฉีเห็นว่าในหมู่บ้านมีรถเทียมลาวิ่งเข้าออก คิดว่าน่าจะเป็นรถสำหรับรับคนเข้าไปในเมือง
วันนี้เยว่ฉีไม่มีปัญหาเรื่องก่อไฟเหมือนเมื่อวานเพราะนางจุดไฟเอาไว้ทั้งคืน เช้าวันนี้จึงมีไฟพอเป็นเชื้อเพลิงสำหรับทำอาหาร
เยว่ฉีเริ่มจากซาวข้าวหุงข้าวก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นหันไปหยิบเนื้อชิ้นหนึ่งในถังใบเล็กขึ้นมาวางบนเขียงใช้มีดสไลด์เป็นแผ่นบาง ๆ เตรียมทำผัดผักอย่างง่าย
พอเตรียมของสำหรับทำอาหารเรียบร้อยข้าวก็สุกพอดี เยว่ฉียกหม้อข้าวออกจากเตา แล้วเริ่มทำอาหาร ระหว่างที่ง่วนอยู่กับการทำอาหาร หานลั่วอี้ที่ตื่นแล้วไม่เห็นภรรยาอยู่ในห้อง แต่ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวจากด้านนอกจึงเข็นรถเข็นออกมาหา
แผ่นหลังบอบบางขยับเคลื่อนไหวคล่องแคล่วไม่นานก็ได้กลิ่นหอมลอยโชยมาจากจุดที่นางยืนอยู่
หานลั่วอี้ไม่ได้เคลื่อนตัวเข้าไปรบกวนทำเพียงมองอยู่ห่าง ๆ ทว่าดูเหมือนอีกฝ่ายจะสัมผัสสายตาเขาได้ ดวงหน้างดงามติดซูบผอมถึงได้หันมายิ้มให้
“ท่านตื่นแล้ว?” หานลั่วอี้พยักหน้า ผลักรถเข็นเข้าไปใกล้
“ตื่นแล้ว”
“ดียิ่ง ท่านรอข้าไม่นานอาหารจะเสร็จแล้ว หรือท่านจะไปเตรียมโต๊ะรอ?”
“ข้าไปจัดโต๊ะรอ” เยว่ฉีพยักหน้าขึ้นลงปล่อยให้หานลั่วอี้กลับเข้าบ้านไป
นางไม่ได้ปฏิบัติกับอีกฝ่ายเช่นผู้ป่วยคนหนึ่งแต่ปฏิบัติกับเขาเหมือนคนปกติผู้หนึ่งแทน ถึงยังไงหานลั่วอี้ก็คงต้องการเช่นนี้มากกว่า
ดูจากท่าทางแล้วบุรุษผู้นี้ไม่ได้ต้องการให้ผู้อื่นมองตนเช่นคนพิการ
คนไปแล้วเยว่ฉีก็หันมาให้ความสนใจกับอาหารตรงหน้าต่อ ก่อนอื่นนำกระเทียมลงไปเจียวกับน้ำมันให้เหลืองส่งกลิ่นหอม พอกระเทียมได้แล้วก็ใส่หมูลงไปผัด ใช้ตะหลิวคนในกระทะจนหมูเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเล็กน้อยจึงปรุงรสด้วยเกลือ เพราะไม่มีเงินพอซื้อเครื่องปรุงรสอื่น ๆ นางจึงต้องใช้เกลืออย่างเดียวไปก่อน
ผัดหมูกับเครื่องปรุงเข้าด้วยกันจากนั้นใส่ผักลงไปผัดจนผักสุกกำลังพอดีก็ตักใส่จาน
อาหารมีไม่มากเพราะสภาพการเงินไม่ดี ตระกูลหานให้เงินหานลั่วอี้มาเพียงหนึ่งตำลึง ถึงนางจะไม่รู้ว่าหนึ่งตำลึงมากน้อยแค่ไหนในโลกนี้ เพราะความทรงจำของร่างเดิมแทบจะไม่ได้หยิบจับสิ่งที่เรียกว่าเงินเลยสักครั้ง จึงต้องประหยัดเอาไว้ก่อนจะหาเงินเข้าบ้านได้
เยว่ฉีทำผัดผักอย่างเดียวก็ถือเป็นอันเสร็จ ชาติก่อนใช้ชีวิตอยู่หอช่วงเรียนมหาลัยจึงทำอาหารเป็นหลายอย่าง แม้จะไม่ถึงกับเลิศรสเทียบเชฟระดับภัตตาคาร แต่ก็ถือได้ว่าอร่อย
หานลั่วอี้มองอาหารหน้าตาหน้าทานตรงหน้าก็ยิ่งสงสัยในตัวภรรยา เพราะเขารู้ว่าแม่ใหญ่ไม่มีทางหาภรรยาที่เพียบพร้อมด้วยนิสัยและเรื่องในบ้านให้มาแต่งกับเขาเป็นแน่ ทำให้เขาอดคิดไม่ได้ว่าในระหว่างที่นางหลับไม่ได้สติและฟื้นขึ้นมานั้นเกิดเรื่องอันใดหรือไม่
“ท่านทานสิ” หานลั่วอี้พยักหน้า เริ่มทานอาหาร
เขาไม่รังเกียจที่อาหารมีเพียงอย่างเดียว เพราะอาหารจานเดียวตรงหน้ารสชาติอร่อยยิ่งกว่าอาหารมากมายที่เคยทานมาตั้งแต่อดีต อีกทั้งอาหารที่ไม่ได้มีความพิเศษมากมายจานนี้ ก็มาจากภรรยาผู้หนักแน่นที่ยอมมาใช้ชีวิตลำบากไปด้วยกันด้วยความเต็มใจ
เขาไม่คิดว่าเยว่ฉีกำลังเล่นละครตบตา เพราะไม่ว่าจะเป็นคนปั้นหน้าเก่งมากมาจากที่ใด ยามต้องมาใช้ชีวิตเช่นนี้ก็ต้องแสดงสีหน้าออกมาบ้าง ทว่านางกลับมีเพียงรอยยิ้มประดับมุมปากอยู่เสมอ
รสชาติอาหารยังคงอร่อยเหมือนเช่นเมื่อวาน ทั้งสองคนพูดคุยกันพร้อมกับขยับตะเกียบคีบข้าวเข้าปากบรรยากาศกลมเกลียว อบอุ่น
ไม่นานอาหารจานนี้ก็หมดเกลี้ยงทั้งสองคนทานอาหารอิ่มพอดี
หลังทานข้าวทั้งสองก็แยกย้ายกันไป หานลั่วอี้เข้ามาในห้องน้องชายต่างมารดา เด็กชายตัวน้อยยังคงหลับไม่ได้สติทั้งยังไม่รู้ว่าจะฟื้นขึ้นมาเมื่อใด เมื่อวานเขาได้ลองตรวจอาการดูแล้วแต่ไม่พบความผิดปกติ มีเพียงความทรงจำบางส่วนที่มีใครบางคนร่ายคาถาเอาไว้ไม่ให้เขาเข้าไปดูความทรงจำของเด็กน้อย อีกทั้งยังเป็นคาถาที่ทำให้หานลั่วซานนอนหลับสนิทไม่ยอมฟื้น
คิดมาถึงตรงนี้ดวงตาคมเข้มพลันมีประกาย เคียดแค้นวาบผ่าน มือทั้งสองข้างกำเข้าหากันแน่น
สตรีร้ายกาจผู้นั้นเพื่อผลประโยชน์แล้วถึงกับกล้ากระทำเรื่องบางอย่างกับบุตรตัวเอง เขาเชื่อว่าสาเหตุอาการป่วยของหานลั่วซานมาจากมู่ฉิงเย่
คาถาที่ใช้กับหานลั่วซานแข็งแกร่งกว่าพลังที่เขามีทำให้ไม่สามารถใช้พลังคลายคาถาได้ หากเขาไม่กลายเป็นเช่นนี้คงช่วยน้องชายตัวน้อยผู้น่าสงสารได้แล้ว
หานลั่วอี้มองใบหน้าจิ้มลิ้มน่ารักของน้องชาย มือแกร่งยกขึ้นลูบผมเบา ๆ ดวงตาเต็มไปด้วยความอ่อนโยน ก่อนจะถอดถอนใจออกมา
“ลั่วซานเจ้าช่างเป็นเด็กที่เกิดผิดที่ผิดทางเสียจริง”
ในระหว่างที่หานลั่วอี้กำลังนั่งมองและคอยดูแลน้องชายอยู่ทางด้านเยว่ฉีก็กำลังทำความสะอาดเครื่องครัวและถังเก็บน้ำ เมื่อวานมีเวลาไม่พอ หลังทำความสะอาดบ้านนางก็เหนื่อยเกินกว่าจะออกมาทำความสะอาดเพิงทำอาหาร จึงทำความสะอาดเพียงคร่าว ๆ มาวันนี้จึงต้องลงมือทำอย่างจริงจัง
เริ่มจากจัดการเพื่อนบ้านผู้ชอบชักใยไปทั่วบ้านคนอื่นออกไปทั้งหมด จากนั้นตักน้ำในบ่อขึ้นมาสาด สาดเข้าไปและขัด ๆ จนสะอาดที่สุดในความคิด
หลังทำความสะอาดส่วนอื่น ๆ ของเพิงเรียบร้อยแล้วก็มาถึงคิวถังน้ำซึ่งมีน้ำขังอยู่ในถังจนมีพืชสีเขียวขึ้นเต็มด้านในไปหมด
มองถังเต็มไปด้วยตะไคร้น้ำสีหน้างดงามพลันบิดเบี้ยว คิดว่าจะเก็บไว้หรือทิ้งไปดี
ถ้าเก็บก็ต้องขัดทำความสะอาดนานแต่หากทิ้งไปก็อาจจะต้องเสียเวลาทำขึ้นมาใหม่ จะจ้างคนหรือซื้อก็อาจจะแพงเกินไปสำหรับตอนนี้ ไม่รู้ว่าจะขอให้หานลั่วอี้ทำขึ้นมาใหม่ได้หรือไม่
พอคิดทบทวนเรียบร้อยแล้วสุดท้ายก็ตัดสินใจที่จะทิ้ง!!! ถังเป็นอย่างนี้แล้วคงไม่เหมาะจะนำมาใส่น้ำ หานลั่วซานมีพลังพิเศษที่สามารถจุดไฟได้ อาจจะสามารถขุดถังให้นางสักถังได้
เยว่ฉีตัดสินใจได้แล้วก็ล้มถังเทน้ำทิ้ง พอน้ำไหลออกไปจนหมดก็ดึงถังกลับขั้นมาตั้งเหมือนเดิม ในจังหวะที่ดึงถังขึ้นมาแสงแดดได้สาดส่องลงไปถึงก้นถัง หลังจากนั้นก็มีประกายแสงสีเงินสะท้อนเข้าสู่ดวงตาจนนางต้องหยีตาลง เกิดความสงสัยขึ้นในหัวเยว่ฉี ก่อนหน้านี้ในถังมีน้ำเต็มไปหมดทำให้แสงแดดส่องลงไปก้นถังได้ยาก มาตอนนี้น้ำไม่มีเหลือแล้วผลึกสีเงินรูปสามเหลี่ยมดูแหลมคมจึงได้สะท้อนประกายงดงามเข้าสู่ดวงตา
เยว่ฉียื่นมือลงไปหวังจะหยิบขึ้นมาดู ทว่าถูกยอดแหลมของสิ่งที่อยู่ในถังแทงทะลุนิ้วมือ
“โอ๊ย!!” นางดึงมือขึ้นมาโดยเร็วสะบัด ๆ มือหลายครั้งเพื่อคลายความเจ็บก่อนจะนำนิ้วเข้าปากดูดห้ามเลือด
เลือดหยดหนึ่งอาบชโลมผลึกสีเงินก้นถัง ตัวผลึกจากที่เคยเงียบสงบก็คล้ายกับมีชีวิตขึ้นมา ใจกลางของสิ่งของรูปสามเหลี่ยมสีเงินทอแสงสีเงินออกมาก่อนจะหายไป คล้ายกับอาการหัวใจเต้น จากนั้นร่างกายของเยว่ฉีก็หายไป
หานลั่วอี้พลันขมวดคิ้วขึ้นมา แม้จะเป็นเพียงผู้ฝึกปราณขึ้นสามทว่าก็สามารถสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของผู้ที่อยู่ใกล้ ๆ ตอนนี้กลิ่นอายภรรยาหายไปแล้วทั้งยังเป็นการหายไปทันที เขาจึงอดสงสัยไม่ได้
ฝ่ามือแกร่งนำพารถเข็นออกมายังส่วนหน้าบ้าน แต่กลับพบเพียงความว่างเปล่า
ในใจบุรุษหนุ่มพลันปวดหนึบขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ กังวลใจถึงสาเหตุที่นางหายตัวไป ภายใต้ความกังวลนี้ยังมีความเคลือบแคลงใจและความเชื่อใจขัดแย้งกันอยู่
เขาไม่อยากพบว่าสุดท้ายแล้ว เยว่ฉีก็ไม่ต่างจากคนบ้านนั้นที่ไม่อยากจะใช้ชีวิตร่วมกับคนพิการไม่มีอนาคตเช่นเขา เช่นเดียวกับที่เชื่อว่านางไม่เหมือนคนบ้านเดิม เป็นสตรีที่พร้อมจะใช้ชีวิตร่วมกันไปตลอดกาล อีกทั้งสาเหตุการหายตัวไปยังน่าสงสัย ไม่มีผู้ใดเข้ามาใกล้บริเวณบ้านแล้วเหตุใดนางถึงได้หายตัวไป
ทั้งยังเป็นการหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยราวกับว่าถูกลบออกไปทันที
หานลั่วอี้เป็นกังวลใจกับการหายตัวไปของภรรยา ส่วนคนที่เป็นสาเหตุของความกังวลใจกับกำลังตื่นเต้นตื่นตาตื่นใจในสิ่งที่เห็น
“สุดยอดนี่มันอะไรกันเนี้ย!!!
ทันทีที่ก้าวเข้ามาในบ้าน เยว่ฉีก็เห็นเฟิงซิ่วกำลังนั่งแกะสลักอยู่ไม่ไกลจากประตูเรือน อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นผงกหัวทักทายนางเล็กน้อย หลัวหรูจึงใช้โอกาสนี้เรียกสามีให้มานั่งด้วยกันทั้งสามคนนั่งล้อมโต๊ะอาหารบนลานเล็ก ๆ หน้าบ้าน เยว่ฉีมองหลัวหรูทีมองเฟิงซิ่วทีพร้อมยิ้มกรุ้มกริ่ม จากนั้นจึงหยิบอาหารออกมาวางบนโต๊ะ กลิ่นหอมนำมาก่อนใครเพื่อน ก่อนจะตามมาด้วยหน้าตาอาหารดูน่ารับประทาน สีสันสวยงามตัดกันได้อย่างลงตัวเรียกความต้องการอยากของกระเพาะได้เป็นอย่างดีกลิ่นหอมนี้ส่งผลให้ทั้งสองคนถึงกับกลืนน้ำลายลงคอ“พี่หลัว พี่เฟิงพวกท่านลองชิมดู” ทั้งสองคนพยักหน้าขึ้นลง ก่อนจะใช้ตะเกียบที่เยว่ฉีนำมาด้วยคีบอาหารเข้าปากสิ่งแรกที่สัมผัสได้คือความอร่อยล้ำไม่ต่างจากอาหารในร้านชื่อดังในเมือง พอเคี้ยวไปเรื่อย ๆ ความอร่อยล้ำก็เปลี่ยนเป็นความประหลาดใจ และเมื่ออาหารถูกกลืนลงท้องสิ่งที่ตามมายิ่งทำให้ทั้งสองคนต้องตกตะลึงเบิกตากว้างมองเด็กสาวซึ่งกำลังยิ้มกว้างมาให้“พี่หลัว พี่เฟิงเป็นเช่นไรบ้าง”“เจ้าทำได้เช่นไร !!!” สองเสียงประสานกันเสียงดังทำเยว่ฉีตกใจสะดุ้งโหยงก่อนจะหัวเราะออกมา นางเอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะ“พี่ทั้งสอง
ผ่านมาครึ่งเดือนนับจากวันที่แยกออกมาจากจวนตระกูลหาน ทุก ๆ วันของพวกเขาเรียกได้ว่าราบรื่น นอกจากการปะทะกันเล็ก ๆ น้อย ๆ กับหานลั่วเหมยวันนั้นทางตระกูลหานก็ไม่มีการเคลื่อนไหวใดอีกเลยครึ่งเดือนมานี้เยว่ฉียังไม่ได้เริ่มกิจการหาเงินอย่างจริงจัง ด้วยตัวนางต้องการบำรุงร่างกายซูบผอมนี้ให้กลับมามีน้ำมีนวลและแข็งแรงมากกว่านี้ ทุกวันเยว่ฉีจะตื่นแต่เช้าตรู่ หุงหาอาหาร ต้มยำสำหรับหานลั่วซานและผสมน้ำแห่งชีวิตให้สามีดื่มร่างกายที่บำรุงอย่างดีตลอดครึ่งเดือนเรียกได้ว่าสมความตั้งใจ ร่างกายผอมแห้ง ใบหน้าซูบผอมมีน้ำมีนวลขึ้นไม่น้อย รอยคล้ำแดดเองก็ลดลงไปมาก ทำให้สามารถเห็นโครงหน้าและเรือนกายขาวเนียนกระจ่างดุจหยกเนื้อดีของร่างนี้ได้ชัดเจนขึ้นเยว่ฉีกระพริบตาปริบ ๆ มองเครื่องหน้างดงามซึ่งสะท้อนอยู่บนผืนน้ำ สตรีผู้นี้ช่างงดงามจนนางเองยังอดใจสั่นไม่ได้ถึงแม้ตอนนี้จะยังไม่ใช่ใบหน้างดงามหมดจด ทว่ากลับเผยความงดงามมีเสน่ห์ดึงดูดน่าทะนุถนอมเยว่ฉียกมือจับแก้มนวลที่เมื่อก่อนไร้ซึ่งไขมัน มาตอนนี้กลับให้สัมผัสนุ่มมือไม่ต่างจากผิวเด็กทารก“งามนัก” เสียงพึมพำแผ่วเบาพร้อมรอยยิ้มกว้างสะท้อนบนผืนน้ำ ไม่คิดว่าหลังบำรุงต
“นั่งกลุ้มอันใดกัน” เยว่ฉีเงยหน้าขึ้นมองผู้มาใหม่ นางกำลังนั่งคิดอะไรคนเดียวข้างบ้านจุดเดิมกับที่ทำปังตอปักเอาไว้ หานลั่วอี้ที่ออกมาทีหลังเข็นรถมาจอดข้าง ๆพอเยว่ฉีกลับมาถึงบ้านก็ได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองให้หานลั่วอี้ฟัง อีกฝ่ายจึงเล่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหานลั่วเหมย เด็กสาวท่าทางอวดดีผู้นั้นปีนี้อายุสิบสี่ เป็นผู้ฝึกปราณขั้นสอง ลูกสาวคนเล็กของหานฉิงอี้กับภรรยาเอก ส่วนหานลั่วอี้คือบุตรชายคนโตซึ่งเกิดจากภรรยารองหานลั่วเหมยมีนิสัยเอาแต่ใจมาตั้งแต่เด็กด้วยบิดามารดาตามใจและเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของทั้งสองคน รวมไปถึงเกิดในตระกูลใหญ่ ด้วยการเลี้ยงดูเช่นนี้ทำให้นางไม่สนหัวใครหานลั่วเหมยไม่ชอบหานลั่วอี้ด้วยเพราะเก่งกาจมากกว่าพี่ชายของนาง ทุกครั้งที่เจอกันก็มักจะแสดงสีหน้าไม่ยินดีที่ได้พบกัน เขาเองก็ใช่ว่าจะไม่รู้ บุรุษหนุ่มจึงไม่คิดจะเอาตนเข้าไปยุ่งเกี่ยวเช่นเดียวกันความสัมพันธ์ของทั้งสองคนเป็นเช่นนั้นเสมอมา ไม่แปลกที่เด็กสาวจะเข้ามาหาเรื่องเยว่ฉีเพราะมีความเกี่ยวข้องกับเขานางไม่ชอบใครก็ตามที่เกี่ยวข้องกับหานลั่วอี้“ข้ากำลังคิดว่าจะหาเงินได้จากทางใดบ้าง วันนี้ก่อนจะกลับข้าได้ไ
“เจ้า!!เจ้า !!” เด็กสาวกล่าวพร้อมยกมือชี้หน้าด่า กระทืบเท้าลงพื้นอย่างขัดใจ ไม่คิดว่าสตรีผู้นี้จะบังอาจไม่รู้จักนาง “ข้าหานลั่วเหมย คงมิได้จะพูดว่าไม่รู้จักตระกูลหานใช่ไหม”อ๋อ คนตระกูลหาน มิน่าถึงได้มีกิริยาน่ารังเกียจ คนตระกูลนี้นิสัยเสียกันหมดตระกูลหรือไง? ไม่สิยกเว้นสามีนางไว้คนหนึ่งเยว่ฉีตอบรับออกมาอย่างไม่ใส่ใจ “อ๋อ ตระกูลหาน” ก่อนจะก้าวแยกตัวออกไป คนตระกูลนี้อยู่ให้ห่างหน่อยเป็นดี เดี๋ยวจะถูกเชื้อนิสัยเสียลามมาเปื้อนตัว“เจ้าจะไปไหน ข้ายังไม่อนุญาตให้เจ้าไป” หานลั่วเหมยเดินตามยื่นมือมากระชากแขนเยว่ฉีเต็มแรง เด็กเล็กมักมีแรงมาก นับประสาอะไรกับหานลั่วเหมยที่เป็นผู้ฝึกปราณขั้นสอง ส่วนเยว่ฉีเป็นเพียงคนธรรมดาที่ร่างกายยังบำรุงได้ไม่เต็มที่เด็กสาวเพียงกระตุกมือเยว่ฉีก็แทบหงายหลังต้องรีบก้าวถอยหลังเร็ว ๆ กลับไปความฉุนเฉียวพลันผุดขึ้นในใจ เยว่ฉีใช้แรงที่มีกระชากมือกลับคืนมา“เสียมารยาท!!ข้าไม่ใช่ขี้ข้าของเจ้าที่คิดจะกระชากลากถูหรือขึ้นเสียงอย่างไรก็ได้ ในจวนตระกูลหานเจ้าอาจจะทำกิริยาหยิ่งยโส ยกตนใหญ่โตเพราะผู้อื่นเขาหวาดกลัว แต่ไม่ใช่กับข้า ข้าไม่ใช่คนของตระกูลเจ้าที่คิดอยากจะขึ้นเส
เยว่ฉีออกมาจากร้านค้าหยกก็เดินหามุมลับสายตาคนถอดผ้าคลุมออกจากตัว ก่อนจะทำทีว่าไม่มีเรื่องอันใด แล้วเดินปะปนเข้าไปในฝูงคน ในมือมีเงินเยว่ฉีก็หายใจได้สะดวกขึ้น ใบหน้าติดกังวลก็คลายลงมีเงินก็ต้องใช้เงิน แม้ว่านางมีความคิดจะสร้างบ้านให้ดีขึ้นแต่ตอนนี้สิ่งที่สำคัญกว่าคือ สิ่งของอำนวยความสะดวกภายในบ้านชุดครัวมีน้อยเกินไป นอกจากกระทะใบใหญ่บนเตาอาหารกับหม้อใบเล็กแล้ว สิ่งของอื่น ๆ ล้วนใกล้จะพังจนใช้งานไม่ได้ ขนาดตะเกียบที่ใช้อยู่ตอนนี้ยังเป็นนางที่เหลาจากไม้ไผ่มาใช้ชั่วคราวส่วนถ้วยชามก็มีอย่างจำกัดและสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือ ข้าว!!ข้าวในบ้านเหลือไม่มากแล้วเยว่ฉีจึงต้องการซื้อตุนเอาไว้มากหน่อยหญิงสาวเดินไปตามถนนที่ผู้คนพลุกพล่านไม่นานก็เจอร้านขายข้าว นอกจากข้าวแล้วยังมีของใช้ในครัวอื่น ๆ เช่น ถ้วย ชาม ตะเกียบ ไปจนถึงพวกแป้งเยว่ฉีคำนวณในใจ ของที่ต้องการซื้อมีมากมายเหลือเกิน ไม่สามารถขนไปด้วยตัวคนเดียวไหว จึงเอ่ยถามกับลูกจ้างร้านว่าสามารถขนของไปส่งยังจุดจอดรถเทียมลาได้ไหม ลูกจ้างร้านมองหน้ากันไปมาก่อนเอ่ยว่า หากของที่ซื้อมีราคาถึงหนึ่งตำลึงพวกเขาจะนำไปส่งให้เยว่ฉีพยักหน้าเข้าใจจากนั้นเอ่ยถา
“เถ้าแก่ ปกติแล้วดอกแต้มสีชาดคู่มักให้ราคาสูงที่สี่ตำลึงมิใช่หรือ เหตุใดถึงมากกว่าราคาตลอดถึงสองตำลึง” เถ้าแก่ร้านไม่ปิดบังเอ่ยสีหน้าเบิกบาน“คุณภาพพืชวิญญาณต้นนี้สูงมาก ทั้งยังบริสุทธิ์มาก พวกเจ้าไม่ได้กลิ่นหอมอ่อน ๆ ที่แพร่กระจายออกมาจากพืชตรงหน้าหรือ” ทั้งสามคนก้มหน้ามองพอลองสูดดมดี ๆ ก็ได้กลิ่นหอมอ่อน ๆ โชยออกมาอย่างที่เถ้าแก่ว่า“ในเมื่อคุณภาพสูง ข้าเองก็ชอบทำการค้าขายแบบยุติธรรมจึงให้ราคาสูงกับพวกเจ้าสองคน” พูดไปก็เอาแต่จ้องพืชวิญญาณในมือไปด้วยคล้ายกลัวว่าหากละสายตา ดอกไม้สีขาวสองดอกนี้จะหายไป“ไปนำกล่องมาใส่พืชวิญญาณสองต้นนี้”“ขอรับ” ลูกจ้างรับคำไม่นานก็กลับมาพร้อมกล่องสำหรับเก็บพืชวิญญาณโดยเฉพาะสองกล่อง ทั้งสองแลกเปลี่ยนสินค้าเป็นเงิน เถ้าแก่ร้านกอดกล่องใส่พืชวิญญาณเอาไว้แน่น มองทั้งสามคนยิ้ม ๆแค่คิดว่าหลังหลอมเป็นโอสถแล้วจะทำเงินได้มากกว่าที่จ่ายไปก็เบิกบานแล้ว ในเมืองโม่ฉีมีไม่กี่ร้านที่สามารถขายโอสถทะลวงขึ้นระดับสาม และตอนนี้ร้านของเขาก็กำลังจะเป็นหนึ่งนั้น“หากพวกเจ้าพบพืชวิญญาณก็นำมาขายให้ร้านได้ ข้าย่อมให้ราคาเป็นธรรม” เถ้าแก่เอ่ยย้ำเป็นมั่นเป็นเหมาะกอดกล่องแล้วเดินกลั