“ข้าวหอม” หญิงสาวบ้านรวย ชีวิตไม่เคยลำบาก พ่อแม่เลี้ยงดูดุจไข่ในหิน ชีวิตแสนสบาย จนกระทั่ง... ผู้เป็นแม่ได้ไปขอพรกับเทวดา เทวดาจึงบันดาลตามคำขอของคุณแม่ จากคุณหนูแสนสบายจึงได้ไปอยู่ชนบทแสนลำบาก ข้าวหอมจะกลับมาร่ำรวยได้หรือไม่ ต้องเอาใจช่วยกัน
View Moreบรรยากาศยามเช้าค่อย ๆ แผ่ซ่านเข้ามา ข้าวหอมพลิกตัวไปมาบนที่นอน สติสัมปชัญญะยังคงไม่เต็มร้อย ภาพภายในห้องพร่าเลือนราวกับภาพวาดสีน้ำ แสงแดดอ่อน ๆ ลอดผ่านร่องไม้กระดานแคบ ๆ สาดเป็นลำเล็ก ๆ ลงบนพื้น
... แต่เดี๋ยวนะ!!! แสงลอดเข้ามาได้อย่างไรกัน? ห้องนอนของเธอตกแต่งด้วยผ้าม่านเนื้อหนาพิเศษ สามารถกรองแสงได้หมดจดร้อยเปอร์เซ็นต์นี่นา ข้าวหอมผุดลุกขึ้นนั่งบนเตียง ความรู้สึกแรกที่สัมผัสได้คือความแข็งกระด้างของพื้นผิวที่เธอทิ้งตัวลงนอน นี่มันเตียงของเธอจริงหรือ? เมื่อดวงตาปรับโฟกัสเข้ากับความมืดสลัว ข้าวหอมกวาดสายตามองไปรอบห้อง ความรู้สึกประหลาดใจก็เกิดขึ้นมา ห้องนี้ดูเล็กและคับแคบกว่าห้องนอนแสนสบายของเธอมากนัก สิ่งที่ปรากฏแก่สายตามีเพียงโต๊ะหนังสือไม้เนื้อเก่าที่ดูคุ้นตาอย่างประหลาด ตู้เสื้อผ้าพลาสติกสีซีดตั้งตระหง่านอยู่มุมห้อง แค่นั้น... ไม่มีอะไรอีกเลย ‘นี่ฉันคงกำลังฝันไปสินะ’ ข้าวหอมพึมพำกับตัวเอง พลางลองหยิกเข้าที่ต้นแขนเบา ๆ ความรู้สึกเจ็บแปลบแล่นเข้ามาจนเธอต้องนิ่วหน้า ‘ทำไมมันเจ็บจริงล่ะเนี่ย!’ ความสับสนเริ่มก่อตัว ‘หรือว่าเมื่อคืนไปงานเลี้ยงจนขาดสติแล้วเผลอติดรถใครมา? ก็ไม่น่าใช่... ปกติฉันระวังตัวจะตายไป’ ความคิดเริ่มตีกันวุ่นวายในหัว ‘เอ๊ะ! หรือว่าฉันจะย้อนเวลากลับมาเหมือนในนิยายที่เคยอ่านกันนะ!’ ข้าวหอมครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้ต่าง ๆ นานา จนรู้สึกราวกับศีรษะกำลังหมุนคว้าง แต่ก็ยังไม่สามารถหาข้อสรุปที่แน่ชัดได้ ในที่สุด เธอก็ตัดสินใจก้าวลงจากเตียงไม้เก่า ๆ นั้น เพื่อเริ่มต้นสำรวจบ้านหลังใหม่ที่แสนจะแตกต่างราวฟ้ากับเหวนี้ ข้าวหอมค่อย ๆ แง้มประตูออกไปอย่างระแวง เพราะกลัวว่าจะเจออะไรที่ทำให้ตกใจ แล้วสายตาก็เจอกับโถงกว้างขวาง...ที่ว่างเปล่า พอสำรวจรอบ ๆ ก็ถึงกับร้องไห้ในใจ บ้านอะไรกันเนี่ย! เฟอร์นิเจอร์ เครื่องอำนวยความสะดวกก็ไม่มีสักอย่าง ยังดีที่บ้านสะอาดสะอ้าน บ้านเป็นบ้านไม้ชั้นเดียวใต้ถุนสูงลิบ ด้านบนแบ่งเป็นห้องนอนสามห้องที่เรียงติดกัน ส่วนด้านหลังก็เป็นชานบ้านโล่งๆ ที่มีตุ่มน้ำตั้งเรียงกันเป็นแถว และที่ขาดไม่ได้คือเตาไฟแบบบ้าน ๆ ที่ดูแล้วน่าจะเอาไว้ทำครัว ไม่ใช่เอาไว้อบพิซซ่าหรู ๆ แน่ ๆ ‘โอ๊ยยย นี่เราอยู่ในรายการ "ไฮโซบ้านนอก ซีซั่นพิสดาร" หรือไงกันเนี่ย?!’ ข้าวหอมได้แต่กรีดร้องในใจ สภาพตอนนี้คือเหมือนหลุดไปอยู่ในโลกที่ไม่มีแอร์ ไม่มีไวไฟ ไม่มีแม้แต่ตู้เย็น! เธอค่อย ๆ ย่องลงบันไดมาทีละก้าวอย่างช้า ๆ ราวกับนางแบบกำลังเดินแบบบนรันเวย์ เพราะบันไดมันชันมาก ชันจนคิดว่าถ้าพลาดไปทีมีหวังกลิ้งไปหยุดที่หน้าปากซอยแน่ ๆ พ่อจ๋า แม่จ๋า นี่หนูอยู่ไหน? “ข้าวหอม!! ฟื้นแล้วเหรอลูกกกก” เสียงของศจีผู้เป็นตะโกนขึ้นมาด้วยน้ำเสียงดีใจปนโล่งอกราวกับถูกหวยรางวัลที่หนึ่ง ข้าวหอมหันขวับไปมองทันที หัวใจเต้นระรัวด้วยความดีใจ “พ่อ! แม่! นี่เราอยู่ไหนกันคะ พ่อกับแม่พาข้าวหอมมาเที่ยวเหรอคะ!” ข้าวหอมพุ่งเข้าไปกอดศจีแน่นราวกับลูกหมีกำลังกอดถังน้ำผึ้ง เธอคิดว่านี่คงเป็นเซอร์ไพรส์ทริปสุดแนวที่พ่อกับแม่จัดให้ แต่แล้วสายตาก็เหลือบไปเห็นความผิดปกติ “แต่เอ๊ะ...ทำไมพ่อกับแม่แต่งตัวแบบนี้ล่ะคะ?” พลางสำรวจตัวเอง “เอ๊ะ! หนูก็ด้วย!” ข้าวหอมถึงกับมึนอีกรอบ เมื่อก้มลงมองชุดที่ตัวเองใส่ เสื้อผ้าสีซีดเก่าจนแทบจะเรียกชื่อสีไม่ถูก ถ้าจับแรง ๆ มีหวังเปื่อยยุ่ยติดมือ เนื้อผ้าก็สากจนแทบจะขูดมะพร้าวได้ นี่มันชุดคนยุคหินรึเปล่าเนี่ย?! พ่อ แม่ ‘ลูกสาวฉันเพี้ยนไปแล้ว!’ “ข้าวหอม...ลูกพูดอะไรน่ะ พ่องงไปหมดแล้ว หนูหายดีแล้วใช่มั้ย?” รุจน์ ผู้เป็นพ่อ ถามลูกสาวด้วยความเป็นห่วงสุด ๆ เพราะสองวันที่แล้วลูกสาวสุดที่รักของเขาไปเล่นน้ำคลองชลประทานแถวบ้าน แล้วดันจมน้ำ โชคดีที่ชาวนาแถวนั้นใจดีกระโดดลงไปช่วยไว้ได้ทัน หลังจากสลบไปสองวัน วันนี้ลูกสาวก็ฟื้นขึ้นมาได้ ดูจากภายนอกก็เหมือนไม่มีอะไรผิดปกติ แต่ฟังจากคำพูดคำจาแล้ว…หรือว่าลูกสาวเขาจะมีปัญหาทางสมองจริงๆ นะ? “พ่อ! อย่ามาแกล้งหนูเลย! ไหน! กล้องซ่อนอยู่ตรงไหน บอกหนูมานะ!” ข้าวหอมวิ่งวุ่นไปตามเสาไม้แต่ละต้น พยายามสอดส่องหากล้องที่ซ่อนไว้ แต่ก็ว่างเปล่า ไม่มีอะไรเลยแม้แต่กล้องวงจรปิด นี่เธอไม่ได้อยู่ในรายการตลกบ้า ๆ บอ ๆ หรอกเหรอ? หรือว่ากำลังเจอผีหลอกตอนกลางวันแสก ๆ กันแน่?! รุจน์และศจีมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ด้วยความตกใจและกลุ้มใจสุดขีด ยัยหนูคนดีของพวกเขาคงจะมีปัญหาทางสมองจริง ๆ แล้วแหละ…สงสัยต้องพาลูกไปรดน้ำมนต์ล้างซวยซะแล้วมั้ง!เมื่อเดินทางมาถึงบ้านหลังใหญ่ที่เพิ่งได้รับการปรับปรุง ลุงเพิ่มก็พาคณะทั้งหมดเดินสำรวจดูข้างในอย่างละเอียด ในตัวบ้านมีห้าห้องนอนกับสองห้องน้ำ ซึ่งกว้างขวางเกินความคาดหมายของทุกคน ลุงเพิ่มเสนอแผนการต่อ “เดี๋ยวลุงจะสร้างเรือนพักเล็ก ๆ ขนาดสามห้องนอนไว้ข้าง ๆ เรือนหลักนี้เลยนะ เผื่อแซมและธง ตัดสินใจมาเรียนหนังสือ จะได้แยกมาอยู่เป็นส่วนตัว จะได้ไม่รู้สึกอึดอัดกันเกินไป สาลี่ก็จะได้แยกมาอยู่กับแซมด้วย”“โธ่ ลุงครับ! ไม่ต้องทำถึงขนาดนี้ก็ได้ครับ เดี๋ยวพวกผมช่วยกันทำเองก็ยังได้เลยครับ” แซม รีบเอ่ยขึ้นด้วยความเกรงใจ“ไม่ต้องเกรงใจหรอกน่า” ลุงเพิ่มกล่าวตัดบทด้วยรอยยิ้มอบอุ่น “แค่เห็นหนูแก้วกลับมามีความสุขอีกครั้ง ลุงก็ทำให้ได้หมดแหละ อีกอย่างนะ ถ้าพวกแกไม่อยู่บ้านมันก็จะทรุดโทรมเปล่า ๆ หากมีคนอยู่มันก็ยังดูมีชีวิตชีวา เผื่อวันข้างหน้าลุงจะขาย ก็จะได้ขายออกง่าย ๆ ถือซะว่ามาเป็นค่าจ้างเฝ้าบ้านให้ลุงละกันนะ” ลุงเพิ่มตัดบท เพื่อไม่ให้ผู้ใดคัดค้านอีกเมื่อเดินสำรวจบ้านพร้อมบอกรายละเอียดการปรับปรุงเพิ่มเติมแก่ช่างเรียบร้อยแล้ว ทุกคนก็มานั่งรวมตัวกันเพื่อปรึกษาหารือเกี่ยวกับแผนงานในอนาคต“ผมว่าตอนนี้
วันนี้เป็นวันที่ต้องนำที่ตากเนื้อแห้งล็อตสุดท้ายไปส่งให้เจ๊จวง ทุกคนในครอบครัวรุจน์และเหล่าผู้ติดตามทั้งสาลี่ แซม แก้ว และธง รวมถึงลุงเพิ่ม ต่างนัดแนะกันว่าจะเข้าไปในตัวเมืองด้วยกันทั้งหมด เพื่อถือโอกาสไปดูความคืบหน้าของการซ่อมแซมบ้านหลังใหม่ที่ลุงเพิ่มจัดหาให้ และที่สำคัญคือไปหาลู่ทางทำมาหากินใหม่ ๆ ในเมืองด้วยที่ร้านของเจ๊จวง ขณะที่สายเมฆ รุจน์ ธง และแซม กำลังช่วยกันขนที่ตากเนื้อแห้งที่ผลิตอย่างประณีตเข้าร้านอย่างขะมักเขม้น ทันใดนั้นเอง ก็มีกลุ่มคนสามสี่คนเดินตรงเข้ามาในร้าน แต่ละคนหอบหิ้วที่ตากเนื้อแห้งที่โครงหลุดออกจากกันอยู่ในมือ“เจ๊! ของไม่มีคุณภาพแบบนี้ก็เอามาขายเหรอวะ!” ชายคนหนึ่งที่ดูเหมือนเป็นหัวโจกตะโกนเสียงดังลั่น สร้างความตกใจให้คนในร้าน พลางพูดจาหยาบคาย และโยนที่ตากเนื้อแห้งอันหนึ่งลงกระแทกพื้นหน้าร้านอย่างแรง จนโครงไม้พังทลาย ผู้คนที่กำลังเดินตลาดอยู่ใกล้ๆ ได้ยินเสียงก็พากันเข้ามามุงดูเหตุการณ์จนเต็มหน้าร้าน“เจ๊จะรับผิดชอบยังไง! คืนเงินพวกเรามาเลยนะ!” ชายหัวโจกเอ่ยขึ้นมาอีกคน ด้วยน้ำเสียงข่มขู่และท่าทางที่ต้องการสร้างความวุ่นวายอย่างเห็นได้ชัดขณะที่เจ๊จวงยืนอึ้ง พูด
“นี่ธง... เธอจะเอายังไงต่อเหรอ? หลังจากของล็อตสุดท้ายนี่เสร็จหมดแล้วน่ะ” แก้ว เอ่ยถาม ธง ด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ขณะที่พวกเขานั่งทำงานตัดตาข่ายอยู่ข้าง ๆ กัน คำถามของแก้วกลับทำให้ธงชะงักไปชั่วครู่ธง นิ่งคิดไปแป๊บหนึ่ง ก่อนจะตอบกลับมาว่า “ไม่รู้สิแก้ว” คือเขาไม่รู้จริง ๆ ว่าจะทำยังไงต่อดี ชีวิตเขามันยังไงก็ได้ จะทำที่ตากเนื้อแดดแห้งต่อในหมู่บ้านก็ดี หรือจะตามไปอยู่ในเมืองกับครอบครัวข้าวหอมก็น่าสนใจ เพราะการได้อยู่ใกล้ ๆ พวกเขาแล้วมันรู้สึกสบายใจ แถมยังได้เห็นอะไรใหม่ ๆ ตลอดเวลา เพราะครอบครัวนี้ดูมีความรู้ มีความคิดที่จะทำอะไรใหม่ ๆ อยู่เสมอ ไม่เคยหยุดนิ่งแก้วได้ฟังคำตอบแล้วก็หน้าเจื่อนลงไปทันที ในใจของเธอเต็มไปด้วยความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะให้ธงไปด้วยกัน เพราะถ้าธงไปอยู่เมืองเดียวกับเธอ เธอคงจะอุ่นใจมากขึ้นกว่านี้ ตั้งแต่ตอนเด็กไม่ว่าเธอจะโดนเพื่อนแกล้ง หรือเจอเรื่องอะไรไม่สบายใจ ธงก็คอยช่วยเหลือเธอมาโดยตลอด จนถึงตอนนี้ เขาก็ยังคงเป็นคนที่คอยช่วยนั่นนี่เธออยู่เสมอธงเห็นแก้วเงียบไป ใบหน้าดูหม่นหมอง เขาจึงเอ่ยถามขึ้นมาด้วยความเป็นห่วง “แก้วอยากให้เราไปอยู่ในเมืองด้วยไหม? ถ้าแก้วอยากให้เ
“ได้ของมาแล้วใช่ไหม? คิดว่าจะทำตามได้ไหม?” ลำดวน ถาม เข้ม ลูกน้องคนสนิทด้วยน้ำเสียงเย็นชาและแฝงความไม่พอใจ หากคำตอบที่ได้ยินไม่เป็นไปตามที่เธออยากฟัง“ได้มาแล้วครับคุณลำดวน” เข้มตอบรับเสียงหงอย พลางก้มหน้าส่งที่ตากเนื้อแห้งที่ซื้อมาเป็นตัวอย่างให้ลำดวนดูอย่างระมัดระวัง “กำลังให้คนงานลองแกะดูอยู่ครับ ดูแล้วน่าจะทำตามได้ไม่ยากขอรับ”ลำดวนไม่ได้สนใจที่จะมองดูตัวอย่างสินค้านั้นเลยแม้แต่น้อย ดวงตาของเธอยังคงจับจ้องไปเบื้องหน้าอย่างไร้อารมณ์ เธอเพียงแต่กำชับด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด “ดี! ทำให้เร็วที่สุด และมากที่สุด! ฉันต้องการให้เสร็จภายในหนึ่งอาทิตย์” ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไปอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้เข้มยืนงุนงงอยู่เพียงลำพังเข้มมองตามแผ่นหลังเจ้านายของเขาด้วยความงุนงง ในใจเต็มไปด้วยคำถามมากมาย เดิมทีเขาเป็นคนดูแลกิจการให้กับนายใหญ่ผู้ล่วงลับ ซึ่งก็คือสามีของลำดวน แต่เมื่อนายใหญ่เสียชีวิต มรดกทุกอย่างก็ตกเป็นของลำดวนทั้งหมด เมื่อลำดวนกลับมาที่บ้านเกิดเขาก็ถูกลำดวนเรียกตัวมาใช้งานต่อทันทีครั้งนี้ลำดวนสั่งให้เขาไปสืบมาว่าที่บ้านของรุจน์กำลังจัดงานฉลองอะไร พอรู้ว่ารุจน์เริ่มทำสินค้าส่งให้เจ๊จวงที่ตลา
วันนี้เป็นวันที่ห้าของการทำงาน เสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะยังคงดังก้องอยู่ใต้ถุนบ้าน สินค้าที่ทุกคนช่วยกันทำอย่างขยันขันแข็งก็ใกล้จะครบจำนวนที่ต้องส่งในล็อตแรกแล้ว ข้าวหอมมองเห็นความสำเร็จอยู่รำไร จึงเอ่ยเสนอขึ้นมากลางวง “นี่! หลังจากที่เราส่งสินค้าล็อตแรกให้เจ๊จวงแล้ว พวกเราควรมีการฉลองเล็ก ๆ น้อย ๆ กันไหมคะ? ทำอะไรอร่อย ๆ กินกันตอนเย็น ให้ธงกับแก้วชวนป้าแจ่มกับลุงเพิ่มมาด้วยเลย!”ทุกคนต่างเห็นดีเห็นงามด้วยในทันที ใบหน้าของแต่ละคนเปื้อนยิ้มด้วยความยินดี พร้อมทั้งรับปากว่าจะนำอาหารมาร่วมฉลองด้วยอย่างแน่นอน บรรยากาศของการทำงานในวันนี้จึงเต็มไปด้วยความสุขและความกระตือรือร้น เพราะทุกคนต่างมีเป้าหมายร่วมกัน และอดใจรอช่วงเวลาแห่งการฉลองไม่ไหวเมื่อทำสินค้าชิ้นสุดท้ายจนครบตามจำนวน สายเมฆได้ขอให้ทุกคนช่วยทำเพิ่มอีกขนาดละสามอัน “กันไว้ดีกว่าแก้นะครับ” เขากล่าว “เผื่อมีเสียหายระหว่างขนส่ง หรือมีอันไหนไม่ได้มาตรฐาน จะได้ไม่ต้องกังวล” ทุกคนจึงพร้อมใจกันช่วยทำต่ออย่างไม่ปริปากบ่นเมื่อสินค้าสำรองเสร็จเรียบร้อย รุจน์ก็เล่าแผนการในวันพรุ่งนี้ว่า “พรุ่งนี้พ่อจะไปหาเหมารถสองแถว เพื่อเอาของไปส่งให้เจ๊จ
หลังจากที่ป้าแจ่มและเจ้าธงกลับไปแล้ว รุจน์และสายเมฆก็เริ่มปรึกษาหารือกันเรื่องสถานที่ที่จะใช้เป็นโรงงานผลิตที่ตากเนื้อแห้งชั่วคราว ทั้งคู่เห็นพ้องต้องกันว่า ใต้ถุนบ้าน นี่แหละคือจุดที่เหมาะสมที่สุด ด้วยความที่เป็นใต้ถุนยกสูง ลมพัดโกรกสบาย ทำให้ทำงานได้โดยไม่รู้สึกร้อนอบอ้าว ศจีเสนอแนะเพิ่มเติมว่าควรทำห้องเก็บของไว้ใต้ถุนด้วย จะได้ไม่ต้องขนข้าวของขึ้นลงไปเก็บข้างบนให้ยุ่งยาก ข้าวหอมเองก็เห็นด้วยกับแนวคิดนี้ ทุกคนจึงพร้อมใจกันช่วยปรับปรุงสถานที่และสร้างห้องเก็บของขนาดกะทัดรัดให้เสร็จเรียบร้อย ก่อนที่จะถึงวันนัดหมายสำคัญ เมื่อวันนัดมาถึง กลุ่มแรกที่เดินทางมาถึงบ้านข้าวหอมคือ เจ้าธง แซม และสาลี่ผู้เป็นแม่ของแซม ทั้งสามคนดูตื่นเต้นไม่แพ้กัน พวกเขาหิ้วตะกร้าใส่ส้มและกล้วยมาด้วย เพื่อเป็นน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ตอบแทนที่ได้รับโอกาสในการทำงาน เจ้าธงผู้ร่าเริงและเข้ากับคนง่าย รับหน้าที่แนะนำแซมและสาลี่ให้ทุกคนในบ้านรู้จัก แซมดูขัดเขินเล็กน้อย พูดน้อย ไม่ต่างจากสาลี่ผู้เป็นแม่ที่ค่อนข้างจะเรียบร้อยและเงียบเช่นกัน ศจีผู้มีมนุษยสัมพันธ์ดีเยี่ยม ไม่รอช้าที่จะเดินเข้าไปชวนสาลี่คุย เพื่อสร้างความรู้
Comments