ทันใดนั้น เสียงหนึ่งพลันดังจากด้านบนของห้องแห่งนี้
“องค์หญิงหายไปไหนเสียแล้ว” เสียงนั้นดังอยู่เหนือศีรษะของบุคคลทั้งสองที่นั่งอยู่เบื้องล่างของห้องกว้างขวางล้อมรอบไปด้วยกำแพงใหญ่หนา
เหม่ยหลินจำได้ นั่นเสียงของชิงชิง นางกำนัลคนสนิทของนาง
เมื่อหญิงสาวคิดได้อย่างนั้นจึงรีบลุกขึ้นโดยไม่ลืมจับประคองเจ้าของเรือนร่างสูงใหญ่ให้ลุกขึ้นเสียด้วยกัน
บุรุษลึกลับแซ่หงเพียงลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูงพร้อมกับร่างระหงด้านข้างที่สูงเพียงช่วงอกของเขา โดยไม่ว่ากล่าวสิ่งใด สายตาคมเข้มดุดันยังคงจ้องมองนางอย่างไม่วางตา ในขณะที่เหม่ยหลินเพียงจ้องมองตอบกลับมาด้วยแววตาสุกใสมากยิ่งขึ้น นางคลี่ยิ้มงดงามส่งให้บุรุษร่างสูงตรงหน้าอย่างอ่อนหวานลืมความกลัวเกรงไป
“นางเป็นบ่าวของข้าเอง” เหม่ยหลินบอกกล่าวด้วยน้ำเสียงแว่วหวานเป็นกันเอง
หญิงสาวกำลังทำท่าจะส่งเสียงตอบกลับขึ้นไปยังบ่าวรับใช้ของตน แต่ทว่าบุรุษลึกลับพลันเอื้อมฝ่ามือใหญ่หนามาปิดปากของนางเอาไว้เสียก่อน
เหม่ยหลินถึงกับตาโตตกใจเนื้อตัวกระตุกและเริ่มสั่นเทาขึ้นมาอีกครา
และเพียงอึดใจ เสียงหนึ่งพลันดังขึ้นมาอีกครั้งจากเหนือศีรษะของพวกเขา
“หายตัวไปอย่างนี้ แล้วเราจะเอาศพนางจากที่ใด” เสียงนั้นยังคงเป็นเสียงของนางกำนัลชิงชิง แต่ทว่ารูปประโยคพลันเปลี่ยนไป น้ำเสียงของชิงชิงก็เช่นเดียวกัน
เหม่ยหลินได้ยินพลันตัวเกร็งจนร่างชะงักงัน นางทำได้เพียงยืนตัวแข็งทื่ออยู่อย่างนั้น ในขณะที่บุรุษลึกลับหรี่ตาคมเข้มลงเพียงนิดเพื่อสดับรับฟังอย่างใจเย็น
ชั่วอึดใจเสียงของบุรุษผู้หนึ่งตรงด้านบนศีรษะของทั้งสองพลันดังตามมา
“เจ้าก็กลับไปรายงานว่าฆ่าองค์หญิงทิ้งสำเร็จแล้วและโยนทิ้งหน้าผาไปไม่ได้หรือไร” เสียงนั้นเป็นเสียงของบ่าวชายอีกคนหนึ่งที่ติดตามเหม่ยหลินมายังวัดในวันนี้
หญิงสาวได้ยินยิ่งตัวเกร็งแข็งทื่อนิ่งงันไป
“ได้อย่างไร” เสียงของชิงชิงยังคงกล่าว “หากไม่มีศพนางไปยืนยัน พวกเราได้ตายกันหมดแน่” กล่าวจบก็มีเสียงฝีเท้าเดินไปเดินมาคล้ายกับกำลังเดินหาอะไรบางอย่าง
“เช่นนั้นก็ตามหาองค์หญิงให้เจอก็รีบสังหารให้เสร็จสิ้นเสียแล้วนำศพนางกลับไปรายงาน สตรีในห้องหออ่อนต่อโลกอย่างนั้นจะไปยากอะไร” เสียงของบุรุษอีกคนหนึ่งกล่าวตามออกมา
“หึ! อุตส่าห์ทำทีเป็นให้โจรป่าเข้าปล้นเพื่อแยกบ่าวไพร่ทั้งหลายออกไปจนเหลือเพียงองค์หญิงอยู่พระองค์เดียวแล้วเชียว ไยถึงกลายเป็นอย่างนี้ไปได้” เสียงของชิงชิงคล้ายกับเดินไปบ่นไปโดยรอบบริเวณ
“เจ้าจะบ่นให้ได้อะไรขึ้นมา เรื่องนี้ให้ใครรู้ได้อย่างไรกัน แต่ก่อนฆ่า เจ้าอย่าลืมที่สัญญา ข้าขอเชยชมนางให้หนำใจก่อน” เสียงของบุรุษอีกคนหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอำมหิตหื่นกระหาย
“หาตัวองค์หญิงให้เจอก่อนเถิด เจ้าอยากดื่มด่ำนางเท่าไหร่ก็ย่อมได้” เสียงของชิงชิงปรามพลางเดินแยกออกไปอีกทิศทางคล้ายกับกำลังเดินหาอะไรบางอย่างด้วยความร้อนรน
เหม่ยหลินได้ยินทั้งหมด
แน่นอนสิ่งที่บ่าวรับใช้ของนางกำลังตามหา ก็คือตัวนาง
คนพวกนี้ต้องการสังหารนาง เพราะเหตุใด?
ในขณะที่เหม่ยหลินกำลังยืนตะลึงตาค้างนิ่งงัน บุรุษลึกลับจึงค่อยๆ ปล่อยฝ่ามือของเขาออกจากริมฝีปากนุ่มนิ่มของนาง พลางก้มหน้ามองนางอย่างต้องการประเมิน
เมื่อริมฝีปากของตนได้รับการปลดปล่อย เหม่ยหลินจึงทำได้เพียงหลุบตาลงต่ำเก็บข่มความหวาดกลัวเอาไว้ ถึงแม้ว่ากายงามจะกำลังสั่นเทาอยู่ก็ตามที
จะต้องเป็นแบบนี้อีกกี่ครากัน ที่นางจะต้องเป็นอย่างนี้ ต้องเก็บข่ม ต้องอดทน
ที่โต๊ะอาหารหนึ่งบนชั้นสองของโรงเตี๊ยมหงซือกวนนั่งนิ่งไม่ไหวติง ในมือคลึงจอกเหล้าอย่างเฉยชา สายตาเย็นเยียบมองผ่านศีรษะของสตรีข้างกายไปทางนอกประตูของโรงเตี๊ยม ท่าทางของเขาไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ไม่สนใจใครทั้งสิ้นความรู้สึกอ่อนละมุนบางอย่างเอ่อล้นขึ้นมาบางเบา ความปรารถนาที่มีต่อใครบางคนปกคลุมส่วนลึกของจิตใจชั้นแล้วชั้นเล่า บนใบหน้าเย็นชานั้นปรากฏรอยยิ้มแวบหนึ่งอย่างมิอาจควบคุมเขาทำใครบางคนแง่งอนเสียแล้ว...“อา...ท่านประมุขหง” เสียงหวานของสตรีข้างกายเอ่ยเรียกขานทันใด ยามเห็นรอยยิ้มวูบนั้นของหงซือกวน สายตาเรียวสวยของนางพลันสั่นไหว เรือนร่างพลันสั่นระริกมิคาดว่าจะได้มีโอกาสเห็นรอยยิ้มนี้ เฉินเซียงผู้นี้ตายสักสิบชาติภพก็นับว่าคุ้มค่าแล้วหงซือกวนละสายตาคู่คมออกจากเหม่ยหลินที่กำลังปั้นปึ่งเดินจากไป ท่ามกลางความมืดสลัวที่ยังคงมีแสงโคมสาดส่องไปทั่ว แล้วมองสตรีนามว่าเฉินเซียงนิ่งๆ คงไว้ซึ่งท่าทางเรียบเฉยใบหน้าเย็นชาทันทีที่เขาเดินเข้ามายังโรงเตี๊ยมแห่งนี้ เศษเสี้ยวความทรงจำบอกเขาว่า สตรีตรงหน้าคือคนที่เขาต้องการความมืดดำในแววตาพร้อมสีหน้าเย็นเฉียบปานหิมะของหงซือกวนที่จ้องนิ่ง ทำเอาเฉินเซียงต้อง
ภายในห้องอาหารของโรงเตี๊ยมหลังจากได้ฟังเรื่องราวถึงสาเหตุที่ตกหน้าผาทำให้เหม่ยหลินต้องระหกระเหินเยี่ยงนี้ เฟิงหลิวก็มีสีหน้าดำคล้ำขึ้นเรื่อยๆ และยิ่งต้องลอบกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก เมื่อหยวนจงตบโต๊ะเสียงดังสนั่น ปากก็พูดว่า อย่าให้ข้ารู้เชียวว่าเจ้าต่ำช้าที่ทำข้าตกผานั่นเป็นใคร!เป็นความจริงว่า เฟิงหลิวจะมิให้ใครได้ล่วงรู้แน่นอน...การสนทนาเปลี่ยนเรื่องจึงเกิดขึ้น เมื่อเฟิงหลิวเอ่ยชมบรรยากาศภายในโรงเตี๊ยมว่าดีมาก เหมาะแก่การพักผ่อนเหลือเกิน สาวงามที่ร่ายรำกลางโถงก็ระหงหยาดเยิ้มเหลือเกิน อาหารก็เลิศรสเหลือเกิน ลูกค้าที่เข้ามาก็รูปงามกันเหลือเกิน ทุกอย่างล้วนดีไร้ที่ติทั้งสิ้นฟางหลันนั่งฟังอย่างสงบ ในใจเริ่มรู้สึกว่า เจ้านี่ไม่แนบเนียนเอาเสียเลยในขณะที่ทุกคนกำลังนั่งกินอาหารและฟังเฟิงหลิวเอ่ยชมทุกสิ่งของโรงเตี๊ยม สายตาสวยหวานของเหม่ยหลินก็เหลือบไปเห็นใครบางคนบนชั้นสองของโรงเตี๊ยมเข้าพอดีโรงเตี๊ยมแห่งนี้มีเพียงสองชั้น แต่ทั้งสูงทั้งใหญ่และกว้างขวางมาก แบ่งด้านหน้าและด้านหลังชัดเจน พื้นที่ด้านในของด้านหน้ามีลักษณะโอ่อ่าใหญ่โต ชั้นล่างสุดเป็นห้องโถงขนาดใหญ่ เมื่อเงยหน้าแล้วมองขึ้นไป
โรงเตี๊ยมสูงตระหง่านหลังใหญ่แห่งหนึ่งมีชื่อว่าโรงเตี๊ยมหมื่นลี้ที่มีนามนี้ก็เพราะว่ามันตั้งอยู่ห่างจากเมืองรอบทิศทางไกลเหลือเกิน และที่สำคัญ ยังเป็นสถานที่สำหรับยอดฝีมือจากแปดทิศทั่วแดนมักจะได้มีโอกาสมาพบเจอกัน ได้สนทนากันตามวิสัยแห่งชาวยุทธ์ ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ หากแต่ไม่ว่าผู้ใดได้ผ่านมา ล้วนต้องผ่านทางเข้าประตูของโรงเตี๊ยมแห่งนี้ทั้งสิ้นโดยด้านหลังของโรงเตี๊ยมมีลานกว้างและปราการทรงพลัง คล้ายเวทีการประลองขนาดใหญ่ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่พี่น้องต่างสำนัก ใช้สำหรับปะทะฝีมือวัดพลังเพื่อข่มขวัญและเพิ่มมิตรมาช้านานทั้งนี้ ถึงแม้จะมีการปะทะกันเป็นประจำ หากแต่ทุกฝ่ายกลับมิได้กระทำการด้วยแค้นเคือง ต่อให้ประลองพ่ายแพ้ก็แค่กลับมาแก้ตัวใหม่ในรอบหน้า การมีปัญหากันระหว่างชาวยุทธ์จึงไม่เกิดขึ้น เพราะการผูกใจเจ็บต่อกันยามประมือ ย่อมหมายถึงปัญหาระหว่างสำนักและอาจลากยาวไปถึงการพาสำนักล่มสลายก็เป็นได้ประโยคที่ว่า ท่านช่างเก่งกล้า ข้ามิอาจต้านทาน และ ขอบคุณที่ออมมือ จึงเกิดขึ้นเป็นเนืองนิตย์ เพียงแต่สลับฝ่ายยามเจอกันแต่ละคราก็เท่านั้นบนทางเดินที่มีฝุ่นดินปลิวว่อนยามสายลมเคลื่อนผ่าน เรือนร่างสูงโปร
ชั่วพริบตาเดียว หญิงสาวรีบเรียกสติของตนโดยละความคิดฟุ้งซ่านให้ออกไป นางลุกขึ้นยืนตัวตรง พยายามสลัดภาพหงซือกวนออกจากจิตใจ ปากก็กล่าวเสียงเรียบออกไปว่า “ท่านแม่ทัพโปรดสำรวม”“...”เสียงเรียบเรื่อยเย็นเยียบดุจผืนน้ำแข็งแผ่นบาง พาให้รู้สึกเย็นชาห่างเหินหยวนจงนิ่งชะงักทันใด ฝ่ามือแข็งค้างกลางอากาศเหม่ยหลินเอ่ยออกมาอย่างเย่อหยิ่งถือตัวและเว้นระยะห่าง นางทำเช่นนี้เพราะกำลังแง่งอนหงซือกวน ทุกกิริยาล้วนแสดงออกถึงหงซือกวนผ่านหยวนจงหากนางเจอพี่หงอีกครา นางจะทำเช่นนี้กับเขาหญิงสาวเชิดหน้าปรายสายตามองหยวนจงเช่นสตรีสูงส่งมองบ่าวไพร่แล้วเดินออกไปด้วยท่าทางดั่งนางพญานี่คือตัวตนอีกด้านหนึ่งของเหม่ยหลินยามนางอยู่ในพระราชวัง หรือต่อหน้าธารกำนัล นางล้วนต้องรักษากิริยาและท่วงท่างามสง่าอยู่เนืองนิตย์ มิอาจปล่อยตัวได้ตามสบาย นางต้องปกปิดความอ่อนแอด้วยกิริยาเว้นระยะห่างเหิน มิให้ใครได้เข้าใกล้มีเพียงได้อยู่กับใครบางคนเท่านั้น ที่นางไม่เคยคิดจะถอยห่าง ทั้งยังไม่ต้องการอยู่ไกลจากเขาแต่เรื่องนั้นช่างเถิด ในเมื่อทุกอย่างต้องเป็นเช่นนี้ อย่างมิอาจทำสิ่งใดใด้ไปกว่านี้เหม่ยหลินคิดได้ในใจ ยามเยื้องย่างพากาย
หากแต่ซุนตี้ก็มิอาจคิดการณ์แทนท่านประมุขแต่อย่างใดเรียกได้ว่าเป็นตัวแทนแต่มิใช่ตัวแทน เป็นลูกน้องแต่มิใช่ลูกน้อง หรือเป็นคนสนิทก็ยังมิกล้าคิดบังอาจ“ท่านหัวหน้าซุนเชื่อข้าหรือไม่เล่า ว่าท่านประมุขกำลังตามหารักแท้” ชายชุดสีแดงเพลิงคนเดิมเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางภาคภูมิใจมาก ที่ท่านหงซือกวนผู้เคารพรักจักมีภรรยาในเร็ววันได้พบพานก่อเกิดรักจนบังตา พาใจถวิลหาทุกสรรพสิ่งล้วนไร้ความหมายได้เดินทางตามรักแท้ยืนยง เป็นชายกล้าที่มั่นคง ไม่ไหวเอน...บทกลอนนี้ชายชุดแดงแต่งให้ท่านประมุขหงโดยเฉพาะ เขาไม่สนใจเลยสักนิดว่ามันจะไพเราะหรือไม่“เจ้าแน่ใจหรือฟ่านเจิง ว่าท่านประมุขตกเหวลงไป” ซุนตี้เอ่ยถามเสียงเรียบไปทางชายชุดแดงที่มีนามว่าฟ่านเจิงฟ่านเจิงตอบเสียงดัง มั่นใจมาก “ตกเหวหรือไม่หาได้สำคัญไปกว่าท่านประมุขมีคนรัก” เขาไม่มีทางหลงประเด็นเด็ดขาด! ความคิดว่าท่านประมุขตกผาตายไม่เคยมี ในหัวใจล้วนมีแต่สีชมพูแห่งลมวสันต์ของท่านประมุขกล่าวจบก็หันไปมองสมุนคนอื่นๆ ด้วยสายตาคู่เรียวที่ทอประกายวาววับ จนสมุนทุกคนต้องพยักหน้าหนักแน่นเห็นด้วยทุกประการ พวกเขาพากันเชื่อเช่นนั้น ทั้งยังมั่นใจมากซุนตี้เพียงหรี่ตามองด้วยส
“เป็นได้หรือไม่ว่ามีการแอบอ้างนามของเขา” สมุนคนหนึ่งเอ่ยกับหรงชางหลังจากวิเคราะห์อยู่เป็นนาน “เพื่อปั่นหัวพวกเรา”หรงชางหรี่ตาสีหน้านิ่งเรียบแล้วกล่าวแทรกเสียงเครียด “นามของผู้นี้ ใช่ว่าจะแอบอ้างได้โดยง่าย”“เช่นนั้นเรื่องนี้หมายความว่าอย่างไรขอรับ” สมุนอีกคนถามขึ้นหรงชางทำท่าครุ่นคิดหนักหน่วงจนปวดหัวไปหมด เมื่อคิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก เขาจึงพลิกร่างสูงขึ้นรถม้าแล้วเข้าไปด้านในหายเงียบไป ปล่อยให้สมุนพากันมองหน้าไปมาอย่างงุนงง“มีอะไรหรือ?” เหม่ยฮว๋าถามขึ้นเมื่อเห็นหรงชางเข้ามานั่งในรถม้า “ข่าวการตายของน้องสาวข้ากลับมาถึงท่านแล้วใช่หรือไม่” นางถามพร้อมรอยยิ้มหวานหยดแฝงความสาแก่ใจ “พาข้าไปดูศพของมันหน่อยเถิด”หรงชางหาได้ตอบคำแต่กลับถามกลับเสียงเย็น “เจ้ากับน้องสาวมีความแค้นอันใดต่อกัน?”เหม่ยฮว๋าเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยแล้วกอดอกเอนหลังพิงผนังรถม้าในท่วงท่าเย่อหยิ่ง “ทำไม? อย่าบอกนะว่าท่านแค่เห็นภาพของมันก็นึกพึงใจจนตัดใจสังหารไม่ลงเสียแล้ว” นางหึงหวงบุรุษทุกคน ไม่ว่าจะเป็นสามีคนใด“เจ้าแค่ตอบมา”“ก็แค่ปัญหาทั่วไปของสตรี ท่านจะถามให้มากความทำไม” วังหลังที่นางเติบใหญ่ขึ้นมานั้น ปัญหาอิจฉาริษยา