หรูฟู่ซิงอินฟลูเอนเซอร์ด้านการท่องเที่ยว ไม่รู้เลยว่าการมายังหมู่บ้านแห่งหุบเขาชื่อดังกำลังจะเปลี่ยนชีวิตของตนไปตลอดกาล จากหญิงสาวสวยมีความสามารถ จู่ ๆ ก็ต้องมากลายเป็นเด็กทารกตัวน้อยท่ามกลางป่าใหญ่
View Moreหรูฟู่ซิงอินฟลูเอนเซอร์ด้านการท่องเที่ยวไม่รู้เลยว่าการ มายังหมู่บ้านแห่งหุบเขาชื่อดังกำลังจะเปลี่ยนชีวิตของตนไปตลอดกาล
ในขณะที่เจ้าตัวกำลังชื่นชมธรรมชาติอันสวยงามริมหน้าผาก็ได้ปรากฏการณ์ประหลาดทำให้หญิงสาวก้าวเท้าพลาดจึงเป็นเหตุให้ร่างของเธอร่วงสู่หุบเหวเบื้องล่างทันที
เสียงกรีดร้องดังขึ้นอย่างยาวนานทว่ากลับไม่มีใครได้ยินและแม้กระทั่งแสงสว่างจ้าที่จู่ ๆ ก็ปรากฏออกมาก็ไม่มีใครเห็นเช่นกัน
ภายในป่าอันมืดมิดแห่งหนึ่งท่ามกลางสายตาของสัตว์ร้ายที่กำลังออกหาอาหารในยามราตรี ฉับพลันก็มีแสงเจิดจ้าครอบคลุมต้นไผ่กอใหญ่กอหนึ่งก่อนที่สัตว์ป่าเหล่านั้นจะล่าถอยไป
ภายในห่อผ้านั้นมีร่างของเด็กทารกเพศหญิงผิวกายของนางขาวราวกับไข่ปอกใบหน้าของเจ้าตัวสงบนิ่งแสดงว่าเด็กน้อยกำลังเข้าสู่ห้วงนิทรา กลิ่นกายของนางทำให้สัตว์ป่าเกิดความตะกละ
ในขณะที่สัตว์ร้ายกำลังย่างเท้ามาทางห่อผ้าอย่างมาดร้ายฉับพลันพวกมันเหล่านั้นก็ต่างกระเจิดกระเจิงรีบวิ่งหนีเอาชีวิตรอดจนชนกันเองราวกับว่าห่อผ้านี้มีความอันตรายซ่อนอยู่
‘ข้าจะต้องปกป้องเจ้านายให้ดี’ เสียงลึกลับดังขึ้น
หลังจากความมืดผ่านพ้นก็เป็นแสงสว่างรำไรของเช้าวันใหม่เข้ามาแทนที่ แต่กว่าแสงเงินแสงทองจะเริ่มจับขอบฟ้าก็เลยเวลาอรุณแรกไปถึงหนึ่งชั่วโมง
สาเหตุที่เป็นเช่นนี้เป็นเพราะช่วงนี้เป็นฤดูหนาวดังนั้นกว่าแสงแรกของวันจะโผล่พ้นทิวเขาจึงค่อนข้างช้ากว่าเวลาปกติ
หรูฟู่ซิงผู้ยังไม่รู้ว่าตัวเองได้กลายเป็นเด็กทารกกำลังหลับใหลด้วยความเหนื่อยระคนอ่อนเพลีย
‘เจ้านายตื่น!’ น้ำเสียงของเด็กน้อยทำให้หรูฟู่ซิงคิดว่าตัวเองหูฝาดจนกระทั่งได้ยินอีกครั้ง
‘เจ้านายรีบตื่น หากไม่ตื่นจะแย่เอานะ’ น้ำเสียงเล็ก ๆ นี้ดูร้อนใจเป็นอย่างมาก
“แอ้!” (ตื่นแล้ว) “แอ้ แอ้ อ๊ะ!” เสียงที่เปล่งออกมาหาใช่คำพูดของเจ้าตัว (เกิดอะไรขึ้น ฉันเป็นอะไร แล้วเสียงที่ได้ยินเป็นใคร) หล่อนคิดอย่างหวาดกลัวก่อนจะเริ่มปวดศีรษะ
ความทรงจำก่อนหน้าถาโถมเข้ามา (ฉันตายแล้ว) น้ำตาของหญิงสาวไหลออกมาอย่างต่อเนื่องโดยที่ไม่รู้เลยว่าเสียงของตนที่เป็นเพียงเด็กทารกกำลังดังลั่นออกไปไกลทั่วทั้งผืนป่า
‘เจ้านาย อย่าร้อง’ เสียงลึกลับดังขึ้นในหัวของหรูฟู่ซิ่ง จึงทำให้หญิงสาวในร่างของเด็กทารกรู้สึกตื่นตระหนกเธอพยายามเหลียวซ้ายแลขวาแต่ก็จนใจทั้งนี้เป็นเพราะกล้ามเนื้อคอของเธอยังไม่อาจทำได้ดั่งใจหมาย
(ฮือ ๆ ฉันกลายเป็นคนพิการไปแล้ว) เจ้าตัวคิดอย่างฟุ้งซ่าน
‘เจ้านาย คุณเงียบก่อน หากคุณยังร้องไห้ต่อไป ระวังจะเรียกสัตว์ร้ายมานะ’ เสียงลึกลับเอ่ยเตือนอย่างหวังดี
เหมือนว่าคำพูดนี้ของเสียงลึกลับจะได้ผล หรูฟู่ซิงหยุดเสียงร้องของตนลงราวสั่งได้
“คุณเป็นใคร อยู่ที่ไหนฉันตายไปแล้วไม่ใช่หรือ ที่นี่คือนรกหรือว่าสวรรค์กัน” คำพูดของเธอเจือเสียงสะอื้น
‘ผมไม่ใช่ทั้งนรกและสวรรค์ แต่ผมเป็นระบบ’
“ระบบ ระบบอะไร ตกลงเกิดอะไรขึ้นกับฉันกันแน่” หรูฟู่ซิงส่งเสียงเป็นภาษาทารกออกมาถึงจะเป็นอย่างนี้ทว่าเธอกลับสื่อสารกับระบบได้อย่างเข้าใจ
‘เจ้านายทำเพียงแค่คิดก็ได้ไม่ต้องส่งเสียง ไม่อย่างนั้นเจ้านายจะไม่ปลอดภัยนะ’ เสียงลึกลับที่เรียกตัวเองว่าระบบกล่าวเตือนอีกคำรบ
‘ก็ได้ ว่าแต่เธอมาอยู่กับฉันได้ยังไง’ ตอนนี้หรูฟู่ซิงเริ่มเข้าใจสถานการณ์ของตนแล้วเพียงแต่เธอยังไม่รู้ว่าตอนนี้จากร่างกายสวยงามของสาวน้อยวัยยี่สิบกว่าปีได้กลายมาเป็นเด็กทารกตัวจ้อย
‘เจ้านายผมเจอกับคุณด้วยความบังเอิญทั้งหมดเกิดจากความผิดพลาดของช่วงเวลาจึงทำให้คุณตกอยู่ในอันตรายเพราะความผิดพลาดนี้ ดังนั้นทางศูนย์ใหญ่ของผมจึงได้ให้ผมทำสิ่งต้องห้ามคือการใช้ไทม์แมชชีนย้อนเวลา เพียงแต่....เพียงแต่เครื่องย้อนเวลายังอยู่ในขั้นตอนทดลอง ดังนั้นร่างของคุณจึงตัวหดอีกทั้งยังต้องมาอยู่ในยุคอื่น’ คำตอบของเสียงลึกลับทำให้หรูฟู่ซิงตัวชาวาบ
‘เธอพูดให้ชัดเจน อะไรที่ว่าตัวหด อะไรคือยุคอื่น’ เสียงของเจ้าตัวสั่นอย่างไม่อาจควบคุม
จากทว่าในตอนแรกที่คิดว่าตัวเองตายแล้วจากการตกเขา กลับกลายเป็นว่าเธอยังไม่ตายเพียงแต่สิ่งที่รับรู้ใหม่นี้กลับทำให้หญิงสาวรู้สึกช็อกยิ่งกว่า
‘คือว่าตอนนี้เจ้านายกลายเป็นเด็กทารกอายุไม่น่าจะเกินสามเดือน และยุคนี้เท่าที่ผมลองตรวจสอบปรากฏว่าคือปี1970ของประเทศซีครับ’ จบคำพูดนี้ของระบบสติของหรูฟู่ซิงก็ดับลง
‘เจ้านาย!!’ เสียงลึกลับเล็ก ๆ รีบตะโกนเรียกหญิงสาวในรูปลักษณ์ของเด็กทารกอย่างตกใจ
ในระหว่างที่หรูฟู่ซิงสลบเพราะความตกใจที่ได้รับ ระบบก็คอยกางอาณาเขตปกป้องเด็กน้อยเอาไว้ด้วย
เวลาผ่านไปร่วมสองชั่วโมงในที่สุดเด็กน้อยก็เปิดเปลือกตาของตนขึ้นดวงตากลมโตบริสุทธิ์ดุจน้ำค้างยามเช้าทำให้ระบบผู้เฝ้าดูรู้สึกทั้งสงสารและเห็นใจต่อโชคชะตาของเธอเป็นอย่างมาก
‘เจ้านายไม่ต้องกลัวนะ ผมจะปกป้องคุณเอง’
‘ฉันยังไม่ตื่นจากฝันอีกเหรอ’ หรูฟู่ซิงกล่าวเสียงเครือ
‘เจ้านายอย่าร้อง’ ‘จะไม่ให้ฉันร้องไห้ได้ยังไงปีนี้ฉันเพิ่งจะอายุยี่สิบห้าเองนะ ยังเที่ยวไม่ทั่วก็ต้องมาอยู่ผิดยุค นายจะให้ฉันอยู่ที่นี่ได้ยังไงอีกทั้งตอนนี้ยังกลายเป็นเด็กทารกอีก ยุคนี้ใคร ๆ ต่างก็รู้ว่าโหดร้ายมากขนาดไหน จบเห่แล้วชีวิตฉัน’ หรูฟู่ซิงคร่ำครวญ
‘เจ้านายมีผมอยู่ เจ้านายไม่ต้องกลัว’
‘ไม่ต้องกลัวได้จริงเหรอ นายเป็นระบบอยู่ในหัวของฉัน ส่วนฉันร่างกายเป็นเพียงเด็กแบเบาะ’ คำพูดของหรูฟู่ซิงทำให้ระบบเกิดความเงียบ
หรูฟู่ซิงนิ่งตรึกตรองก่อนที่จะเป็นฝ่ายเอ่ยทำลายความเงียบชวนน่าอึดอัดนี้
‘ก่อนอื่นหากเราจะอยู่รอดนั่นคือต้องหาคนมาเลี้ยงฉันก่อน แต่ในยุคนี้ผู้คนต่างอดอยากถึงขนาดแทะรากไม้ นายคิดว่าจะอยากมีคนรับเลี้ยงเด็กที่ไม่มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดตัวเองไหม หรือถึงมีแต่ในยุคที่ยึดถือผู้ชายเป็นใหญ่ฉันซึ่งเป็นเด็กผู้หญิงคงไม่แคล้วถูกเลี้ยงเหมือนทาสอย่างแน่นอน’ คำพูดของหรูฟู่ซิงทำให้ระบบเริ่มประมวลผลอย่างรวดเร็ว
‘เจ้านายขอแค่มีคนรับเลี้ยงคุณก็พอใช่ไหม’
‘ไม่พอ! หากว่าฉันเจอพวกค้ามนุษย์ล่ะ ฉันคิดว่าพอโตขึ้นมาหน่อยคงได้ถูกขายราวกับไม่ใช่คน’ หรูฟู่ซิงแย้งทันควัน
‘เจ้านายไม่ต้องกังวล ผมจะตรวจสอบคนในหมู่บ้านรวมถึงละแวกนี้ให้ดี ว่าแต่เจ้านายคุณต้องการเลือกคนที่ฐานะด้วยหรือเปล่า’
‘เรื่องฐานะไม่จำเป็นเพราะหากฉันไปอยู่กับคนรวยแต่ทว่านิสัยแย่ฉันก็ไม่ต่างจากตายทั้งเป็น ดังนั้นนายเลือกเอาคนที่นิสัยเถอะ ตรวจสอบให้ละเอียดอย่าให้ผิดพลาด’
‘เจ้านายวางใจได้เลย ผมจะทำหน้าที่นี้ให้ดีที่สุด’ ระบบตอบรับด้วยความมั่นใจ
ส่วนหรูฟู่ซิงในร่างของเด็กทารกนั้น ในตอนนี้เจ้าตัวคล้ายกับรู้สึกสิ้นหวังเป็นอย่างมากถึงจะเป็นอย่างนั้นแต่หลังจากปลงตก (ในเมื่อยังมีชีวิตอีกทั้งยังมีระบบพ่วงเข้ามาด้วย ถ้าอย่างนั้นก็จงใช้ชีวิตใหม่นี้ให้ดีก็แล้วกัน แต่ทว่าก่อนอื่นนั้นคงต้องอยู่ที่ระบบแล้วละว่าจะเจอครอบครัวที่มีน้ำใจกับเธอหรือเปล่า) เจ้าตัวได้แต่คิดอย่างคาดหวัง
หนึ่งชั่วโมงถัดมา ‘เจ้านายผมเจอครอบครัวที่คิดว่าเหมาะสมสามครอบครัวละ เจ้านายจะลองฟังดูไหม’
‘ได้ เธอลองพูดมา’
‘ครอบครัวแรกเป็นครอบครัวจางครอบครัวนี้มีบุตรชายทั้งหมดสามคนแต่ละคนต่างแต่งงานกันหมดแล้ว ฐานะนับว่าไม่แย่เพียงแต่ผู้นำครอบครัวค่อนข้างตระหนี่ เขาต้องการเด็กผู้หญิง’
‘ตัดทิ้งไป คนตระหนี่ขืนอยู่ด้วยในอนาคตหากเกิดอะไรขึ้นรับรองเขาขายฉันทิ้งอย่างไม่ลังเลแน่’ หรูฟู่ซิงตอบปฏิเสธทันทีแบบไม่ต้องคิดหลังจากฟังจบ
‘ได้ ถ้าอย่างนั้นเป็นครอบครัวที่สอง ครอบครัวนี้เป็นคนมีฐานะปานกลางมีลูกชายสองคน สะใภ้แต่ละคนยังไม่มีใครท้องดังนั้นจึงต้องการหาเด็กมาเลี้ยงเพียงแต่แม่สามีค่อนข้างจุกจิกจู้จี้’
‘ตัดทิ้ง รีบ ๆ ตัดทิ้งเลย หากฉันถูกรับไปเลี้ยงนะไม่แน่ว่าพอมีคนตั้งครรภ์ขึ้นมาฉันคนนี้ได้กลายเป็นลูกชังแน่ อีกทั้งงานบ้านทั้งหมดคงตกอยู่กับฉันทั้งหมดด้วย’
เมื่อระบบฟังเจ้าตัวก็เห็นพ้องดังนั้นจึงได้กล่าวถึงครอบครัวสุดท้ายออกมา
‘ตกลง ถ้าอย่างนั้นก็ครอบครัวหรูก็แล้วกัน’
‘เดี๋ยวนะ แซ่หรูอย่างนั้นหรือก็เหมือนกับฉันเลยนี่’ หรูฟู่ซิงเอ่ยขัดโดยที่ระบบยังพูดไม่ทันจบ
‘ครับ แต่ว่าเจ้านายครอบครัวนี้ค่อนข้างน่าสงสารมาก ทั้งฐานะยากจนและคนในครอบครัวมีทั้งป่วยและพิการ’
หรูฟู่ซิงรู้สึกว่าชะตาชีวิตในชาตินี้ของตนเหตุใดช่างอาภัพมากกว่าชาติก่อนกัน
‘เธอลองพูดมาก่อน’
‘ครอบครัวนี้มีสมาชิกอยู่ทั้งหมดสี่คน หญิงวัยกลางคนมีลูกชายคนเดียวอายุยี่สิบห้าปีเขาเคยเป็นทหาร แต่ต่อมาได้รับบาดเจ็บทำให้กลายเป็นคนพิการเดินไม่สะดวกแม้จะได้รับเงินตอบแทนแต่ก็ถูกคนเอารัดเอาเปรียบจนตอนนี้แทบไม่เหลือแม้แต่ข้าวสารจะกรอกหม้อ
เขาแต่งงานแล้วซึ่งภรรยาเป็นคนที่ผู้เป็นแม่ช่วยชีวิตไว้จากพวกค้ามนุษย์ด้วยความบังเอิญและหญิงสาวคนนี้จำไม่ได้ว่าครอบครัวของตัวเองอยู่ที่ไหนดังนั้นจึงได้ขออาศัยอยู่กับผู้มีพระคุณเพื่อตอบแทน
แต่ยุคนี้เจ้านายก็รู้ว่าปากของชาวบ้านนั้นน่ากลัวมากเพียงใด พวกเขาต่างพากันเอาหญิงสาวไปพูดคุยกันสนุกสนานทำให้หญิงสาวตัดสินใจแต่งงานกับลูกชายพิการของหญิงวัยกลางคนเมื่อสามปีก่อน ตอนนี้จึงมีลูกชายตัวน้อยหนึ่งคน
สถานะครอบครัวลำบากมากเพราะแม่สามีเกิดเจ็บป่วยเป็นโรคเรื้อรังจากการทำงานหนัก ถึงจะเป็นอย่างนี้ทว่าหญิงวัยกลางคนก็ไม่เคยเอาเปรียบลูกสะใภ้ อีกทั้งยังช่วยหล่อนทำงานทุกอย่างด้วย’
น้ำตาของหรูฟู่ซิงไหลพรากหลังได้รับฟังข้อมูลของครอบครัวนี้ ‘ระบบ นายมียาหรือของล้ำค่าอะไรบ้างไหม’
‘คุณอยากช่วยพวกเขา’
‘ใช่ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่รับเลี้ยงฉันก็ตาม แต่ว่าหากปล่อยครอบครัวนี้ให้เผชิญความทุกข์ยาก ฉันรู้สึกว่าโลกช่างไม่ยุติธรรมกับเขาเพราะการที่ชายหนุ่มคนนั้นต้องกลายมาเป็นคนพิการก็เพราะไปรับใช้ชาติมิใช่หรือ
อย่างนี้ก็นับได้ว่าเขาเป็นวีรบุรุษแต่ทำไมเขาจะต้องอยู่อย่างอดสูแบบนี้ด้วยล่ะ’ เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นของเด็กทารกน้อยได้ดังไปไกลจนกระทั่งเข้าหูของหญิงสาวกับบุตรชายคู่หนึ่ง
“แม่ ผมได้ยินเสียงร้องไห้” เสียงพูดไม่ชัดของบุตรชายทำให้จ้าวเหยาตั้งใจฟัง “แม่ก็ได้ยิน พวกเราจะไปดูดีไหม”
“แม่ไปเถอะ พ่อเคยบอกว่าแม้ว่าพวกเราจะยากจนแต่หากเมื่อไหร่เจอคนตกทุกข์ได้ยาก หากช่วยเหลือได้ก็จงทำให้สุดความสามารถ” เด็กชายตัวผอมยืดอกพูดในสิ่งที่ผู้เป็นพ่อคอยพร่ำสอนไม่ตกหล่นแม้ว่าจะไม่ค่อยชัดนักก็ตามทว่าคนเป็นแม่ก็เข้าใจในสิ่งที่เขากล่าว
“ได้ ถ้าอย่างนั้นพวกเราไปดูกัน แต่ว่าควรชวนพ่อของลูกไปด้วย”
“ครับ” น้ำเสียงพูดไม่ชัดของเจ้าตัวตอบรับอย่างเชื่อฟัง
ค่ำคืนนั้นครอบครัวจ้าวทั้งหมดมารวมตัวกันที่สถานีรถไฟปักกิ่ง บรรยากาศคึกคักของผู้โดยสารที่กำลังเดินทางไปยังจุดหมายต่าง ๆ เติมเต็มสถานีให้มีชีวิตชีวาจ้าวเซิงเดินนำหน้า เขาถือกระเป๋าสัมภาระใบใหญ่ ขณะที่หลิวเหวยจินและจ้าวเหยาต่างช่วยกันดูแลของใช้ที่จำเป็นเมื่อถึงเวลา รถไฟเคลื่อนตัวออกจากชานชาลา เสียงล้อเหล็กบดกับรางดังก้อง ครอบครัวทั้งหมดนั่งรวมกันในโบกี้ชั้นสอง หลิวเหวยจินมองออกไปนอกหน้าต่างสายตาเต็มไปด้วยความหวังและความกังวล“ถ้าเธอเป็นลูกของเรา... ฉันจะไม่ยอมให้เธอต้องเผชิญความทุกข์ยากอีกต่อไป” หลิวเหวยจินพูดพึมพำกับตัวเอง“จิน เธอจะไม่ต้องทำสิ่งนี้คนเดียว พวกเราจะทำมันด้วยกัน” จ้าวเซิงพูดพร้อมกับจับมือเธอเอาไว้แน่นจ้าวเหยามองภาพนั้นด้วยความรู้สึกหลากหลาย แต่ก็รู้สึกยินดีที่ครอบครัวของพี่ชายกำลังจะได้กลับมาสมบูรณ์อีกครั้งยามเช้าเมื่อแสงอาทิตย์แรกของวันสาดส่อง รถไฟมาถึงจุดหมายในที่สุด เสียงหวูดดังบอกให้ทุกคนเตรียมตัวลงจากขบวน หลิวเหวยจินสูดลมหายใจลึกเธอรู้สึกทั้งตื่นเต้นและกังวลในเวลาเดียวกันจ้าวเซิงยกกระเป๋าขึ้นบ่าก่อนจะหันมองภรรย
รถไฟแล่นผ่านทิวเขาและแม่น้ำ เสียงล้อเหล็กบดไปบนรางดังก้องเข้ากับจังหวะหัวใจของผู้โดยสาร อ้ายอ้ายชี้ไปยังภูเขาที่ปกคลุมด้วยหมอกเบาบางพร้อมกับพูดขึ้นให้ฟางหนิงฟังด้วยความชื่นชมทิวทัศน์ตรงหน้า“ดูสิ เหมือนในภาพวาดเลย!”ฟางหนิงพยักหน้า “ใช่เลย เหมือนมาก”เสียงหัวเราะพูดคุยของเด็ก ๆ ดังขึ้นเนื่องจากการเดินทางครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่มาต่างมณฑล และในที่สุดการเดินทางยาวนานหลายชั่วโมงก็สิ้นสุดลงในช่วงเช้ามืดของวันใหม่รถไฟหยุดลงที่สถานีใหญ่ในเฉินตู เสียงประกาศดังก้องไปทั่วสถานีพร้อมกับเสียงผู้คนที่เร่งรีบเดินไปมาด้วยจุดหมายปลายทางของตัวเอง ครูจิงหยุนฉิงนำเด็ก ๆ ลงจากขบวนรถไฟ ด้วยสีหน้าที่แสดงถึงความตื่นเต้นและความพร้อม“เด็ก ๆ ระวังอย่าแยกกลุ่มนะ ไปเก็บของที่โรงแรมก่อนแล้วพวกเราจะไปสนามแข่ง” ครูจิงหยุนฉิงพูดขึ้นพร้อมกับโบกมือเรียกเด็ก ๆ ให้เดินตามอ้ายอ้ายหันมองรอบตัว เธอรู้สึกทึ่งกับเมืองเฉินตูที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา ตึกสูงทันสมัยตั้งตระหง่านคู่กับอาคารเก่าแก่ที่มีสถาปัตยกรรมสไตล์จีนดั้งเดิมท้องถนนคลาคล่ำไปด้วยรถราที่วิ่งสวนกันไปมา ผู้คนสวมเสื
อ้ายอ้ายที่ตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงปิดภาคการศึกษา เธอไม่เคยหยุดนิ่งต่อการทำนู่นนี่นั่นซึ่งภาพเหล่านี้พ่อจ้าวแม่จ้าวมักจะเห็นจนเริ่มชินตา“อ้ายอ้ายนั่นหลานจะไปไหนหรือลูก” แม่จ้าวถามขึ้นเมื่อเห็นหลานสาวขึ้นค่อมจักรยานและกำลังจะปั่นออกไปข้างนอก“เธอบอกว่าจะไปหาอาหย่งที่โรงงานแปรรูปการเกษตรที่เขาเพิ่งจะเข้ามาดูแลเมื่อไม่นาน” เมิ่งหลิงเป็นคนตอบแทนหลานสาวที่กำลังหันมาโบกมือให้ผู้สูงวัยทั้งสามคนด้วยรอยยิ้มอันเจิดจ้า“หนูไปไม่นานเดี๋ยวก็กลับค่ะ” เจ้าตัวกล่าวจบก็ปั่นจักรยานออกจากบ้านเมิ่งหลิงมองตามหลานสาวไปด้วยรอยยิ้มบาง ก่อนจะหันกลับมามองพ่อจ้าวแม่จ้าว“อ้ายอ้ายเธอเป็นเด็กที่มีความมุ่งมั่นค่ะ ไม่ว่าเรื่องอะไรเธอก็ตั้งใจทำเต็มที่”แม่จ้าวพยักหน้าพร้อมกับยิ้มออกมาด้วยความดีใจ “ฉันเห็นด้วยกับคุณค่ะ เด็กคนนี้ไม่เคยอยู่เฉยเลย เธอเหมือนเป็นแรงบันดาลใจให้พวกเราทุกคนในบ้านด้วย”พ่อจ้าวหัวเราะอย่างเห็นพ้อง “จริง ลูกสาวของเซิงกับจินไม่ธรรมดาเลย โตขึ้นมาอย่างสมบูรณ์แบบ แม้ว่าจะเจอเรื่องร้ายแรงในอดีตแต่เธอกลับเติบโตขึ้นมาได้ดี เรื่องนี้ผมต้องขอบคุณสหายเมิ่
จ้าวเซิงสบตากับหลิวเหวยจินครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจลึก ใบหน้าของเขาฉายแววรู้สึกผิดอย่างชัดเจน เขาค่อย ๆ หันกลับมามองอ้ายอ้าย เด็กหญิงที่นั่งรอคำตอบด้วยแววตาที่แฝงไปด้วยความสงสัยระคนใคร่รู้“อ้ายอ้าย...” น้ำเสียงของจ้าวเซิงเริ่มต้นด้วยความยากลำบากใจ“พ่ออยากจะขอโทษลูกจากหัวใจจริง ๆ พ่อรู้ว่าลูกต้องเจ็บปวดและสับสน แต่ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เพราะพ่อกับแม่ไม่รักลูก” เขาหยุดไปครู่หนึ่งเพื่อรวบรวมความกล้า“ตอนที่ลูกเกิด พ่อไม่คิดว่าจะมีคนทำร้ายลูกรวมถึงครอบครัวของเราจากความหวังดี” จ้าวเซิงพูดเสียงเบาขณะที่หลิวเหวยจินซับน้ำตาและพยักหน้าเสริม“แม่ไม่คิดว่าเพราะความอิจฉาของผู้หญิงคนหนึ่งจะทำร้ายลูกและครอบครัวของเราได้มากถึงเพียงนี้แม้ว่าอ้ายอ้ายจะเห็นใจพวกเขาทว่าความจริงที่ไม่อาจละเลยนั่นก็คือเด็กคนนี้ซึ่งเป็นเจ้าของร่างเดิมได้ตายจากพวกเขาสองคนไปแล้วแม้ว่าเธอจะมาอาศัยอยู่กระนั้นเธอก็อยากรู้เรื่องให้กระจ่างจ้าวเซิงหลับตาลงครู่หนึ่งก่อนจะเล่าความจริงออกมา “ผู้หญิงคนหนึ่ง... คนที่พ่อเคยช่วยเหลือในอดีต เธอหลงรักพ่อและพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้พ่อมา แต่พ่อไม่
หลิวเหวยจินที่ยืนอยู่ข้างจ้าวเซิงมองภาพครอบครัวหรูด้วยรอยยิ้มอบอุ่นในดวงตา เธอสัมผัสได้ถึงความรักและความผูกพันที่ครอบครัวนี้มีให้กันหญิงสาวไม่สามารถหยุดความรู้สึกอบอุ่นในหัวใจที่ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นได้ ขณะนั้นเองอ้ายอ้ายที่เพิ่งผละจากอ้อมกอดของแม่ก็หันมามองหลิวเหวยจินด้วยความสงสัยเจ้านาย คุณกับผู้หญิงคนนี้มีบางอย่างเหมือนกัน จะให้ผมตรวจสอบดูไหมครับ จู่ ๆ เสียงของเป๋าเอ๋อร์ก็ดังขึ้นนายคิดว่าเธอคนนี้จะเป็นแม่ของฉันอย่างนั้นเหรอ อ้ายอ้ายบอกไม่ถูกว่าเธอรู้สึกเช่นไรทั้งนี้เป็นเพราะเธอรู้ดีว่าเธอเป็นอะไรและเป็นใครแต่จะให้เธอปฏิเสธถ้าผู้หญิงกับจ้าวเซิงเป็นพ่อแม่ก็คงจะไม่ได้อีกเหมือนกันเพราะดูจากสีหน้าของพวกเขา เธอสามารถบอกได้ว่าคนทั้งสองนั้นย่อมรักลูกของตัวเองมากผมคิดว่ามีความเป็นไปได้สูงมาก แต่เจ้านายทั้งหมดทั้งมวลล้วนขึ้นอยู่กับคุณว่าจะยอมรับหรือเปล่า เป๋าเอ๋อร์เองก็เข้าใจถึงเรื่องราวนี้ดีฉันไม่รู้ นี่เป็นครั้งแรกที่หรูฟู่ซิงรู้สึกอับจนหนทาง เธอไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร แม้ว่าเธอจะยึดครองร่างนี้มาหลายปีแต่เธอก็รู
คล้อยหลังจ้าวเซิงเดินออกไป บรรยากาศในห้องพลันตกอยู่ในความเงียบ จ้าวเหยาเอามือกุมกันแน่น เธอเหลือบมองพ่อแม่ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามใบหน้าของแม่จ้าวดูสับสนปนด้วยความหวัง ขณะที่พ่อจ้าวยังคงนิ่งเงียบแต่แววตาฉายชัดถึงความกังวลบางอย่าง“พ่อกับแม่คิดว่ายังไงคะ?” จ้าวเหยาถามเสียงเบา น้ำเสียงเต็มไปด้วยความไม่แน่ใจจ้าวเจี้ยนถอนหายใจยาวก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้ม “ถ้าอ้ายอ้ายเป็นหลานของเรา...พ่อก็ดีใจที่เธอยังปลอดภัย แต่พ่อก็สงสารลูก พวกเธอผ่านอะไรมามากเกินไป”“แม่เองก็คิดแบบนั้น” แม่จ้าวเสริมน้ำเสียงสั่นเครือ “เหยาเหยา ถ้าทุกอย่างเป็นจริง อ้ายอ้ายจะต้องดีใจที่รู้ว่าเธอไม่ได้ถูกทอดทิ้ง ลูกอย่ากังวลไปเลยนะไม่ว่าผลจะเป็นยังไงเราก็ยังจะรักเธอเหมือนเดิม”จ้าวเหยาพยักหน้าน้ำตาคลอเบ้า เธอรู้สึกซาบซึ้งในความรักและความอบอุ่นของพ่อแม่“แม่คะ พ่อคะ ขอบคุณมากค่ะ หนูเองก็หวังว่าอ้ายอ้ายจะได้รับความรักจากทุกคนในครอบครัวนี้เพราะเธอเป็นเด็กดีมาก อีกอย่างนับตั้งแต่ที่เธอมาอยู่ในครอบครัวของเราบ้านของเราก็มีแต่เรื่องดี ๆ เข้ามา อย่างขาของสามีฉันก็หายดีจนตอนนี้แทบจะมอง
Comments