บทที่ 3
จ้าวอ๋องสับสน
เวลาผ่านไปนานพอสมควร
จ้าวเฟยอู๋ยังไม่เห็นว่าซิ่วอิงจะกล่าวอะไรต่อ จึงเอ่ยถาม
“มีอะไรอยากจะพูดอีกหรือไม่”
ซิ่วอิงกะพริบตาปริบๆ “ท่านอ๋องตอบแค่ว่าเข้าใจแล้ว แต่ไม่ตำหนิอะไรหม่อมฉัน ทั้งที่หม่อมฉันพูดจาดูหมิ่นท่านอ๋องขนาดนั้นแท้ๆ หม่อมฉันไม่เข้าใจเพคะ”
จ้าวเฟยอู๋ถอนหายใจเบาๆ ทีหนึ่ง “เดิมทีข้ากับเจ้าเป็นคนแปลกหน้า ถูกคนแปลกหน้าพูดจาดูหมิ่นใส่ บอกตามตรง ข้าเองก็สับสน แต่ไม่ได้โกรธอะไรเจ้า หากเจ้าอยากกันแยกกันอยู่ ข้าก็ไม่มีปัญหา”
ถึงการแยกกันอยู่จะสมเหตุสมผล ทว่าซิ่วอิงกลับขมวดคิ้วไม่พอใจ
ทั้งที่แต่งเข้ามาในฐานะพระชายา แต่กลับต้องมาแยกกันอยู่กับสามี ชีวิตของซิ่วอิงนับจากนี้คงพบเจอแต่ความยากลำบาก อาจถึงขั้นถูกบ่าวชั้นต่ำรังแกเอาได้ง่ายๆ
ไม่ได้สิ!
ถึงจะไม่ได้รัก แต่ก็ไม่อยากกลายเป็นหมาหัวเน่า เรื่องนี้ต้องตกลงให้เด็ดขาด
“ไม่เพคะ” ซิ่วอิงปฏิเสธเสียงแข็ง
“...?”
คิ้วคมเข้มของจ้าวเฟยอู๋เลิกขึ้นสูง ด้วยไม่เข้าใจคำพูดของหญิงสาว
“หม่อมฉันอยากอยู่ในแคว้นอู๋อย่างสันติก็จริง แต่หากพวกเราแยกกันอยู่ หม่อมฉันไม่ถูกมองว่าเป็นชายาที่ถูกทอดทิ้งหรือเพคะ แบบนั้นผู้อื่นรังแกหม่อมฉันน่ะสิ”
สำหรับจ้าวเฟยอู๋ หากภรรยาไม่อยากร่วมห้อง เขาก็ไม่อยากฝืนใจ แต่ไม่คิดว่านางจะมีความคิดลึกซึ้งขนาดนี้
“แล้วเจ้าต้องการให้ข้าทำอะไร”
“ใช้ชีวิตร่วมกันเหมือนสามีภรรยา”
“เจ้ายอมร่วมเตียงกับข้างั้นรึ?”
“หากท่านอ๋องต้องการเรื่องอย่างว่า หม่อมฉันยินยอม แต่ท่านอ๋องก็ต้องให้เกียรติหม่อมฉันด้วย หวังว่ารสนิยมของท่านจะไม่โลดโผนเกินไปนะเพคะ”
ซิ่วอิงมาจากศตวรรษยี่สิบเอ็ด เคยคบหาดูใจกับแฟนหนุ่มมาแล้วสองคน และไม่ได้ปิดกั้นความสัมพันธ์ทางกาย หากจ้าวเฟยอู๋ต้องการหลับนอนด้วย นางก็ไม่ว่าอะไร
จ้าวเฟยอู๋มองออกว่าซิ่วอิงไม่ได้ฝืนใจพูด หากนั่นกลับทำให้เขายิ่งรู้สึกแปลกใจ
“ถึงจะพูดแบบนั้น แต่ข้าไม่ได้มีรสนิยมฝืนใจสตรี เจ้าสบายใจได้”
“เพคะ”
ซิ่วอิงตอบรับสั้นๆ
ความเงียบโรยตัวลงมา
ผ่านไปสักครู่ ริมฝีปากคู่สวยของหญิงสาวพลันขยับอีกครั้ง “แต่หากท่านอ๋องต้องการ บอกหม่อมฉัน…”
“ไม่เป็นไร” จ้าวเฟยอู๋รีบขัดจังหวะ
“...เพคะ”
ความเงียบปกคลุมลงมาอีกครั้ง
อันที่จริงแล้ว จ้าวเฟยอู๋ไม่ได้คิดเกินเลยกับซิ่วอิงแม้แต่นิดเดียว
อย่างที่บอก เขากับนางเป็นแค่คนแปลกหน้าที่บังเอิญมาเจอกัน ไม่ได้มีอคติใดๆ ต่อกัน แน่นอน เรื่องความรักก็ด้วย
ตอนพบกันครั้งแรก เขาตั้งใจจะเข้าไปบอกนางเรื่องแยกห้อง
ไม่คิดว่า พอนางเห็นหน้าเขาปุบก็โวยวายเสียงดังลั่น
เท่านั้นไม่พอ ยังวิ่งเอาหัวชนเสาตั้งใจฆ่าตัวตาย
แต่ว่าวันนี้ หวังซิ่วอิงเหมือนคนละคนกับวันนั้น
อีกอย่างหนึ่ง เขาสัมผัสได้ว่านางมาหาเพื่อเจรจาอย่างสันติจริงๆ
ระหว่างที่จ้าวเฟยอู๋เงียบอยู่นั้น ทางด้านซิ่วอิงรู้สึกปวดหัวตุบๆ ขึ้นมา
หญิงสาวยกมือลูบหน้าผากตัวเองด้วยสีหน้าเจ็บปวด
จ้าวเฟยอู๋เหลือบมองหญิงสาว สายตาลึกล้ำแสดงออกอย่างเป็นห่วง
“เรื่องที่พูดก็พูดหมดแล้ว ถ้าอย่างนั้นหม่อมฉันขอตัวก่อนเพคะ”
ซิ่วอิงตดบทอย่างรวดเร็ว ทั้งยังลุกขึ้นจากเก้าอี้ ย่อกายคำนับจ้าวเฟยอู๋ด้วยท่วงท่าแช่มช้อย ก่อนจะก้าวออกจากห้องทันที
จ้าวเฟยอู๋มองตามแผ่นหลังบอบบางอย่างไม่ค่อยเข้าใจ
ที่ผ่านมา จ้าวเฟยอู๋หมกมุ่นอยู่กับการปกครองแคว้นอู๋ ดูแลกองทัพและทำสงคราม
หากเป็นเรื่องสู้รบยังพอทำความเข้าใจได้ แต่พอเป็นเรื่องของสตรี สมองของเขาเหมือนคิดไม่ทัน
จ้าวเฟยอู๋ยกมือขึ้นนวดขมับ พร้อมถอนหายใจดังเฮ้อ!
“ท่านอ๋อง”
หลังจากซิ่วอิงออกจากห้องไม่นาน แม่ทัพเจิ้งหมิงก็ก้าวเข้ามา
จ้าวเฟยอู๋ลดมือที่บีบขมับลง ก่อนจะเหลือบตามองแม่ทัพเจิ้งที่เข้ามาหยุดหน้าโต๊ะทำงาน
“รอบค่ายไม่มีการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ ดูเหมือนว่าแม่ทัพหวังแห่งแคว้นเฉาไม่ได้ส่งสายลับมาพ่ะย่ะค่ะ”
“เข้าใจแล้ว”
“เช่นนั้น กระหม…”
ก่อนเจิ้งหมิงจะพูดจบประโยค จ้าวเฟยอู๋เรียกอีกฝ่าย
“แม่ทัพเจิ้ง”
“พ่ะย่ะค่ะ?”
“นิสัยและความคิดของคนคนหนึ่งเปลี่ยนไปเพราะเกือบตายได้จริงหรือ”
เจิ้งหมิงครุ่นคิดอย่างจริงจัง ครู่หนึ่งก็ตอบว่า “น่าจะจริงพ่ะย่ะค่ะ”
“ยังไง?”
จ้าวเฟยอู๋หรี่ดวงตา มองเจิ้งหมิงเหมือนรอคำอธิบาย
“คนรู้จักที่บ้านเกิดของกระหม่อมคนหนึ่งมีนิสัยขี้ขลาด รักตัวกลัวตาย แต่พอถูกเกณฑ์มาเป็นทหาร และได้เข้าสู่สนามรบครั้งแรก ความขี้ขลาดนั้นทำให้เขาเกือบตาย พอรอดชีวิตมาได้นิสัยก็เปลี่ยนไปพ่ะย่ะค่ะ”
“เปลี่ยนไปอย่างไร”
“มีความกล้าสมกับเป็นลูกผู้ชายมากขึ้นพ่ะย่ะค่ะ”
อย่างนี้เอง
ซิ่วอิงก็คงเป็นเหมือนทหารคนนั้นหรือเปล่า
…..
…..
สิ่งที่ต้องการพูดก็พูดออกไปแล้ว ซิ่วอิงรู้สึกสบายใจขึ้นมาก
ชีวิตหลังจากนี้ก็คงขึ้นอยู่กับความสามารถในการเอาตัวรอดของตัวเองแล้ว
คิดมาถึงตรงนี้ ซิ่วอิงกับหงถงก็มาถึงเรือนพักหลักที่อยู่ส่วนหลัง
“พระชายา เดี๋ยวหม่อมฉันจะออกไปเตรียมอาหารเช้ามาให้นะเพคะ” หงถงกล่าว
“อืม”
ซิ่วอิงพยักหน้าให้กับหงถง
หลังจากที่หงถงออกไปเตรียมอาหารเช้าก็ผ่านนานเป็นชั่วโมง ตอนที่หงถงกลับมา ซิ่วอิงเห็นว่าบนแก้มกับชายแขนเสื้อและชายกระโปรงของหงถงเปื้อนเขม่าสีดำ
“ที่นี่ไม่มีพ่อครัวหรือ” ซิ่วอิงถามด้วยความสงสัย
“มีเพคะ”
“ถ้ามี แล้วทำไมเจ้าถึงได้มอมแมมขนาดนั้นเล่า”
“เอ่อ...”
หงถงอึกอัก ไม่ยอมตอบ
ว่าไปแล้ว ตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้นมา สาวใช้คนเดียวที่ปรนนิบัติข้างกายซิ่วอิงก็มีแต่หงถง
หากว่ากันด้วยฐานะพระชายา ควรจะมีสาวใช้รายล้อมคอยปรนนิบัติมากกว่านี้
แต่ที่ซิ่วอิงไม่ได้สงสัย เพราะอีกใจคิดว่าอาจเพราะที่นี่เป็นค่ายทหาร คงไม่สะดวกหากจะมีหญิงรับใช้มากมายเดินเพ่นพ่านไปมา แต่ถึงขั้นที่หงถงต้องลงมือจุดเตาทำอาหารเอง ไม่แปลกไปหน่อยหรือ
“เจ้าพูดมาเถอะ”
หงถงเกาแก้มทำท่าลังเล สักครู่ถึงตอบกลับมา
“นอกจากหม่อมฉันกับหัวหน้าเฉินเหนียง หญิงรับใช้ที่ตามที่ท่านอ๋องมาด้วยมีแค่หกคนเพคะ แต่พวกนางต้องคอยรับใช้ท่านอ๋อง และต้องทำงานตามคำสั่งของหัวหน้าเฉินเหนียง”
อย่างนี้เอง
ไม่ใช่ว่าหญิงรับใช้ไม่พอ แต่เฉินเหนียงจงใจส่งหงถงมารับใช้ซิ่วอิงแค่คนเดียว เพราะอยากเห็นซิ่วอิงอยู่อย่างลำบาก
“พ่อครัวยอมให้เจ้าทำอาหารเองหรือ” ซิ่วอิงถามหงถงต่อ
คำถามนี้ทำเอาหงถงหลุดสีหน้าลำบากใจ ทั้งยังรีบเก็บซ่อนชายเสื้อและชายกระโปรงที่เปื้อนคราบสกปรก
“พ่อครัวงานล้นมือ หม่อมฉันเห็นว่าสายแล้ว เกรงว่าพระชายาจะรอจนหิว ก็เลยทำอาหารเองเพคะ”
ซิ่วอิงถอนหายใจพลางส่ายหน้า
หญิงรับใช้คนนี้จะว่าซื่อบื่อหรือยังไงดี เฉินเหนียงทำขนาดนี้แล้วก็ยังจะพูดแก้ตัวให้อีก
“ช่างเถอะ เป็นเรื่องที่เจ้าเลือกทำเอง” ซิ่วอิงพึมพำแล้วรับถ้วยโจ๊กที่หงถงยื่นมาให้ จากนั้นก็ตักกินทีละคำ
พอกินโจ๊กอิ่ม ซิ่วอิงก็ดื่มยาต่อ
ฤทธิ์ยาทำให้ง่วง ไม่นานนัก นางก็ผล็อยหลับ
ณ ตำหนักหมิง ซิ่วอิงกำลังตรวจสอบรายการบัญชีประจำเดือนของจวนอ๋อง อ่านไปได้นิดเดียวก็ต้องนวดขมับเพราะตาจะปิด แถมช่วงนี้เหมือนอ่อนเพลียง่ายด้วย พอเป็นแบบนี้ นางจึงอยากกินอะไรเปรี้ยวๆ อาจช่วยให้ตาสว่างขึ้นก็ได้ ตอนนั้นเอง เสียงของหงถงดังขึ้นที่หน้าประตู “พระชายาเพคะ หม่อมฉันมาแล้วเพคะ” “หงถงจ๋า เจ้ามาช้ามาก รีบมาเร็วๆ” ซิ่วอิงรีบกวักมือเรียกหงถง ครั้นเห็นมะนาวพริกเกลือที่หงถงถือเข้ามาในปากก็น้ำลายสอ ทันทีที่หงถงยื่นจานมะนาวพริกเกลือให้ ซิ่วอิงก็หยิบมะนาวที่หั่นเป็นแว่น โรยด้วยพริกและเกลือ แล้วส่งเข้าปาก รสเปรี้ยวเข็ดฟันทำให้ตาสว่างทันที “อ่า…สดชื่น!” หงถงยิ้มจางๆ ท่าทางของพระชายาไม่ปกติจริงๆ ด้วย เพิ่งคิดอย่างนั้ง หน้าประตูก็มีเสียงของซุยเหลียนกับหมอเจียง เมื่ออนุญาตให้ทั้งสองเข้ามา หมอเจียงวางกล่องยาลง ก่อนจะประสานมือก้มหน้าพร้อมกับกล่าว “ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมขอจับชีพจรพระชายาสักหน่อยได้หรือไม่” “ท่านหมอคิดว่าข้าป่วยงั้นเ
บทที่ 28 บทพิเศษ หลายเดือนต่อมา เข้าสู่ฤดูหนาว ชีวิตคู่ของซิ่วอิงกับจ้าวเฟยอู๋ช่วงนี้ค่อนข้างสงบและเรียบง่าย ชายหนุ่มออกไปทำงานที่นอกจวนตั้งแต่เช้าทุกวัน กลับจวนอีกครั้งก็เป็นช่วงเย็น ส่วนซิ่วอิงจะคอยดูแลความเรียบร้อยในจวน ตอนนี้ตำแหน่งพระชายาของซิ่วอิงมั่นคงมากกว่าเมื่อก่อน เนื่องจากจ้าวเฟยอู๋ได้ประกาศมอบสิทธิ์ขาดในการดูแลจวนให้กับนางด้วยตัวเอง บ่าวไพร่ในจวน นอกจากจะยอมรับซิ่วอิง พวกเขายังให้การเคารพนางด้วยเช่นกัน ความเป็นอยู่ของซิ่วในจวนอ๋องจึงไม่มีอะไรให้ต้องกังวล หากจะติดก็คงมีเพียงเรื่องเดียว นั่นก็นั่นคือเรื่องเจ้าตัวเล็กที่ยังไม่มีวี่แววว่าจะมาเกิด แต่แล้วในวันหนึ่ง… “พี่หงถง คือว่านะ ข้าสงสัยเรื่องอาหารว่างของพระชายาวันนี้ เลยอยากถามพี่สักหน่อย” ในตอนที่หงถงมายกของว่างของพระชายาที่ห้องครัว เสี่ยวหลัวอดสงสัยไม่ได้จึงรั้งหงถงเพื่อจะถาม เสี่ยวหลันคือสาวใช้ที่ซุยเหลียนเลือกให้มาทำงานในตำหนักหมิง คอยดูแลเรื่องอาหารของพระชายาโดยเฉพาะ “อืม เ
บทที่ 27 บทส่งท้าย ผ่านมาอีกหลายสิบวัน กลางฤดูใบไม้ร่วง สายลมเย็นสบาย อากาศสดชื่นกำลังดี ในช่วงนี้ แคว้นอู๋กำลังจัดงานเทศกาลหยวนเซียว แม้จะเป็นยามค่ำคืน แต่ทั่วทั้งเมืองหลวงกลับสว่างไสวด้วยโคมไฟนับหมื่นดวง งานเทศกาลมีทั้งหมดสามวัน นับตั้งแต่งานเทศกาลเริ่มขึ้น บนท้องถนนกลางเมืองหลวงก็พลุกพล่านไปด้วยผู้คน เด็กๆ พากันถือโคมไฟรูปสัตว์ ยิ้มแย้มสนุกสนาน คนหนุ่มสาวเดินเคียงคู่ เที่ยวงานเทศกาลกันหวานชื่น งานเทศกาลวันที่สอง ช่วงหัวค่ำ จ้าวเฟยอู๋พาซิ่วอิงออกมาเที่ยวงานเทศกาลโคมไฟเช่นกัน ระหว่างเดินชมงานเทศกาล สายตาลึกล้ำของชายหนุ่มมักจะหลุบมองภรรยาสาวที่เดินข้างๆ อยู่เป็นระยะ “งานเทศกาลชมโคมของแคว้นอู๋สวยหรือไม่” จ้าวเฟยอู๋ถามซิ่วอิงด้วยความเอาใจใส่ ซิ่วอิงที่หันซ้ายหันขวา มองความงดงามของโคมไฟที่ห้อยระย้าเต็มสองข้างทางอย่างตื่นตาตื่นใจ พอถูกสามีถาม นางก็รีบพยักหน้ารัวๆ แล้วตอบอย่างตื่นเต้น “สวยเพคะ สวยมากๆ อยากให้มีงานแบบนี้ทุกคืนเลยเพคะ!” จ้าวเฟยอู๋ได้ฟังอย่างนั
บทที่ 26คลี่คลาย โทษทัณฑ์ที่เจียวจูจะได้รับย่อมหนีไม่พ้นความตาย! ตอนที่ความคิดนี้ผุดขึ้นมาในหัว ในอกของซิ่วอิงเกิดความสลดและเศร้าใจ แต่ทว่า… หากลองคิดกลับกัน ถ้าการใส่ร้ายของเจียวจูสำเร็จ คนที่ต้องตายย่อมเป็นซิ่วอิง ทันทีที่คิดได้อย่างนั้น ซิ่วอิงขนลุกซู่ ความเห็นใจที่มีต่อเจียวจูพลันมลายหายไปสิ้น ในตอนนั้นเอง เสียงของขุนนางคนหนึ่งก็ดังขึ้นมา “วางยาในอาหาร สร้างความปั่นป่วนวุ่นวาย ยังเป็นความผิดที่พออภัยให้ได้ แต่ขโมยสมบัติของแคว้นอู๋ออกจากห้องลับ เรื่องนี้ยากให้อภัยพ่ะย่ะค่ะ” “ถูกของใต้เท้าเหอ เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงความสงบสุขของแคว้นอู๋ ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ โปรดตัดสินโทษของคุณหนูเจียวจูด้วยเถิด” “โปรดตัดสินโทษคุณหนูเจียวจูด้วยเถิด” ขุนนางคนอื่นๆ ต่างประสานเสียงพูดพร้อมเพรียง ซิ่วอิงสัมผัสได้ว่าน้ำเสียงของเหล่าขุนนางเต็มไปด้วยความโกรธ ฝ่ายจ้าวเฟยอู๋มุ่นหัวคิ้วพลางกุมขมับด้วยสีหน้าหนักใจ เขาคิดกับเจียวจูไม่ต่างจากน้องสาวแท้ๆ แต่ใครจ
บทที่ 25ยอมรับชะตากรรม “ข้าไม่รู้หรอกว่าทำอะไรให้คุณหนูเจียวจูไม่พอใจ ถึงได้มาใส่ร้ายข้าเช่นนี้” ซิ่วอิงพูดกับเจียวจูด้วยท่าทีสงบเยือกเย็น เจียวจูแค่นเสียงเฮอะ บอกให้ซิ่วอิงมองชายที่ถูกจับมัดให้ชัดๆ ซิ่วอิงทำทีเป็นมองชายที่ถูกมัดซ้ำๆ ก่อนจะพูดกับเจียวจูด้วยสีหน้าเฉยเมย “ให้มองยังไงข้าก็ไม่รู้จักชายคนนี้อยู่ดี ว่าแต่เจ้าเถอะ ไม่ใช่ว่าไปจับชาวบ้านบริสุทธิ์มาแสดงละครตบตาท่านอ๋องหรอกนะ” “อย่าเสแสร้งหน่อยเลย เขาคือคนที่ลอบเข้ามาในตำหนักหมิง รับแผนผังเมืองหลวงของแคว้นอู๋จากมือของเจ้าเองไม่ใช่หรือ” “นอกจากบ่าวในจวน ข้าไม่เห็นจำได้ว่าติดต่อกับคนอื่นด้วย” “เฮอะ!” เจียวจูแค่นเสียงเย็นชา ก่อนจะเดินมาข้างหน้าหนึ่งก้าว ยื่นม้วนกระดาษเก่าๆ ในมือให้จ้าวเฟยอู๋ “ท่านอ๋อง นี่เป็นหลักฐานที่หม่อมฉันค้นเจอในตัวของคนร้าย เชิญตรวจสอบดูก่อนเพคะ” แผนผังเมืองหลวงแคว้นอู๋เป็นของสำคัญ แค่มองแวบเดียวจ้าวเฟยอู๋ก็จำได้แล้วว่าเป็นของจริงปลอม สมบัติชิ้นสำคัญอย่างแผนผังของแคว้น ปกติควรอยู่ในห้องลับ แต่ทำไมถึงอ
บทที่ 24แผนการอันโง่เขลา เข้าสู่ต้นฤดูใบไม้ร่วง คำสั่งทำอ่างเก็บน้ำและสร้างฝายชะลอน้ำถูกส่งไปยังเมืองต่างๆ ในช่วงนี้งานของจ้าวเฟยอู๋ค่อนข้างยุ่ง รถม้าของเขาจะออกจากจวนตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น กลับเข้ามาอีกครั้งก็เป็นตอนที่ทุกคนหลับหมดแล้ว ถึงแม้โครงการสร้างอ่างเก็บน้ำที่ซิ่วอิงเสนอไปจะคืบหน้าเป็นอย่างมาก แต่กลับได้ใช้เวลาร่วมกับคนที่รักน้อยลง เรื่องนี้ทำให้ซิ่วอิงทรมานหัวใจไม่น้อยเหมือนกัน “เฮ้อ…คิดถึงจัง” ซิ่วอิงทอดถอนหายใจ พร้อมกับพูดความคิดที่อยู่ในใจออกมาโดยไม่รู้ตัว [นี่ๆ ความคิดของเจ้าเผยออกมาเป็นคำพูดหมดแล้ว] ระบบเอ่ยเตือน ‘หา!?’ ซิ่วอิงสะดุ้ง รีบเลื่อนสายตามองหงถงและองครักษ์ จริงอย่างที่ระบบพูด พวกเขาต่างยิ้มกรุ้มกริ่มอย่างไม่ปิดบังสีหน้ากันเลยสักคน “พระชายาเพคะ ในเมื่อคิดถึงท่านอ๋องขนาดนี้ ทำไมไม่ไปหาท่านอ๋องเล่า จริงด้วย…เตรียมของอร่อยๆ ไปด้วยก็ดีนะเพคะ” หงถงเสนอ “เดี๋ยวนี้หงถงของข้ากลายเป็นกุนซือความรักไปแล้วหรือ” ซิ่วอิงแกล้งพู