ในบ้านที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายและความลำบาก เด็กสาววัย 13 อย่าง “หานซูอวี้” รู้ดีว่าการเป็นแค่ “ลูกสาวของครอบครัวที่พ่อไม่เอาไหน” ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะอยู่รอด แต่หัวใจของเธอเต็มไปด้วยฝัน ฝันที่จะพาแม่ออกจากความทุกข์และสร้างชีวิตใหม่ด้วยมือของตัวเอง แม้ตอนนี้เธอยังเด็กแต่เธอเชื่อมั่นว่าการเรียนรู้และความพยายามจะเป็นกุญแจไขไปสู่อนาคตที่ดีกว่า ในโลกที่ผู้หญิงต้องสู้กับโชคชะตาอย่างหนัก หานซูอวี้จะกลายเป็นแสงสว่างเล็ก ๆ ที่เปลี่ยนชีวิตทั้งของตัวเองและแม่ไปตลอดกาลได้หรือไม่โปรดติดตามได้ใน “ชีวิตนี้…ฉันขอลิขิตเอง”
View Moreเมื่อหานซูอวี้เห็นท่าทางของแม่ เธอจึงคิดว่าควรจะพิสูจน์ความจริงเรื่องของพ่อเลวออกมา ไม่อย่างนั้นหายนะต่าง ๆ ที่เคยเกิดขึ้นเห็นทีว่าคงจะวนกลับมาอีกครั้งเป็นแน่
หลิวซินยังคงนั่งนิ่งอยู่บนเตียงเก่าซอมซ่อ ดวงตาบวมช้ำจ้องมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเลื่อนลอย แม้คำพูดของลูกสาวจะกรีดลึกลงไปในใจ แต่ความหวาดกลัวต่อการเปลี่ยนแปลงและความไม่เชื่อว่าสามีจะเลวร้ายถึงเพียงนั้นยังคงเกาะกินจิตใจของเธออยู่
หานซูอวี้มองท่าทางของมารดาแล้วถอนหายใจออกมาเล็กน้อย เธอรู้ดีว่าแค่คำพูดคงยากที่จะทลายกำแพงความหวัง ลม ๆ แล้ง ๆ ที่แม่สร้างขึ้นมาปกป้องตัวเองตลอดหลายปีที่ผ่านมาได้ บางที...อาจจะต้องใช้ยาแรงกว่านี้
"แม่คะ" เด็กหญิงเดินเข้าไปกุมมือมารดาอีกครั้ง "ถ้าแม่ยังไม่เชื่อหนู...ถ้าแม่ยังคิดว่าพ่อเขาเป็นคนดี...แม่กล้าไปพิสูจน์ความจริงกับหนูไหมคะ?"
หลิวซินหันมามองลูกสาวด้วยแววตาสั่นไหว "พิสูจน์? พิสูจน์อะไรกันลูก?"
"ความจริง...เกี่ยวกับผู้หญิงคนนั้นของพ่อค่ะ" หานซูอวี้ตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่นเกินวัย ดวงตาจับจ้องมารดาอย่างรอคอย
"หนูรู้ว่าเขาเช่าบ้านให้ผู้หญิงคนนั้นที่ไหน...และหนูอยากให้แม่ไปเห็นด้วยตาตัวเอง ว่าพ่อเขาดูแลผู้หญิงคนนั้นดีกว่าดูแลแม่กับหนูมากแค่ไหน!"
คำพูดนั้นทำให้หลิวซินอึ้งไป เธอไม่เคยรู้มาก่อนว่าลูกสาวตัวน้อยจะรับรู้เรื่องราวได้ลึกซึ้งถึงเพียงนี้ หรือนี่จะเป็นเพียงจินตนาการของเด็กที่หวาดกลัว? แต่แววตาที่มุ่งมั่นและจริงจังของหานซูอวี้ทำให้เธอเริ่มลังเล
"ไปกับหนูนะคะแม่" หานซูอวี้บีบมือมารดาแน่นขึ้น ที่เธอมั่นใจมากเช่นนี้นั่นเป็นเพราะชาติก่อนเธอจำได้ดีว่าพอแม่รู้ว่าพอซุกเมียน้อยไว้ที่ไหนหล่อนก็ตามมาอาละวาด
"แค่ไปดูให้เห็นกับตา...แล้วแม่ค่อยตัดสินใจอีกครั้งว่าจะเชื่อใคร" ในที่สุดหลิวซินก็พยักหน้าลงอย่างหมดแรงจะขัดขืน บางทีการได้เห็นความจริงอันโหดร้ายอาจจะดีกว่าการจมอยู่กับความหลอกลวงไปวัน ๆ
สองแม่ลูกพากันเดินออกจากบ้านพักสวัสดิการของโรงงานผ้าที่ซอมซ่อและอับทึบ หานซูอวี้ในร่างเด็กหญิงอายุสิบสามปีเดินนำหน้าอย่างกระฉับกระเฉง
พาแม่ลัดเลาะไปตามตรอกซอยที่เธอคุ้นเคยจากความทรงจำ จนกระทั่งมาหยุดอยู่หน้าบ้านเช่าสองชั้นหลังหนึ่งในย่านที่ไม่ไกลจากใจกลางเมืองนัก
บ้านหลังนั้นดูใหม่และสะอาดสะอ้านกว่าบ้านพักคนงานที่พวกเธออยู่ลิบลับ ประตูหน้าต่างทาสีสันสดใส มีกระถางดอกไม้เล็ก ๆ ประดับอยู่ริมหน้าต่าง แม้จะเป็นเพียงบ้านเช่าแต่ก็เห็นได้ชัดว่าได้รับการดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี
หัวใจของหลิวซินเริ่มเต้นแรงขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้ ขาของเธอหนักอึ้งจนแทบก้าวไม่ออก
"นะ...นั่นใช่ไหมลูก?" เธอถามเสียงสั่น
หานซูอวี้ไม่ตอบแต่จูงมือแม่ให้เดินเข้าไปใกล้พุ่มไม้เตี้ย ๆ ของบ้านหลังนั้นอีกนิด และแล้ว...ภาพที่หลิวซินไม่ อยากจะเชื่อสายตาที่สุดก็ปรากฏขึ้น
หญิงสาวหน้าตาสะสวยรูปร่างอ้อนแอ้นในชุดกระโปรงสีสดใสกำลังรดน้ำต้นไม้อยู่ที่ระเบียงชั้นบนของบ้านหลังนั้นอย่างมีความสุข
ใบหน้าของเธอยิ้มแย้มดูผ่อนคลาย...และที่สำคัญบนราวตากผ้าใกล้ ๆ กันนั้น มีเสื้อเชิ้ตทำงานของผู้ชายแขวนอยู่เสื้อเชิ้ตที่หลิวซินจำได้แม่นว่าเป็นของหานจินสามีของเธอ! ภาพตรงหน้านั้นเหมือนค้อนปอนด์ที่ทุบลงกลางใจของ หลิวซินเข้าอย่างจัง
ความหวังสุดท้ายที่เคยมีว่าสามีอาจจะไม่ได้เลวร้ายถึงขนาดนั้นพังทลายลงในพริบตา น้ำตาแห่งความเจ็บปวดและความรู้สึกเหมือนถูกทรยศไหลทะลักออกมาไม่ขาดสาย ร่างของเธอโงนเงนจนแทบจะล้มลงถ้าไม่ได้หานซูอวี้คอยประคองไว้
"แม่เห็นแล้วใช่ไหมคะ..." หานซูอวี้พูดเสียงเบาแต่แสดงเจตจำนงอย่างแน่วแน่ "นี่คือสิ่งที่พ่อทำกับเรา...นี่คือเหตุผลที่แม่ต้องเลือกทางเดินใหม่ให้ตัวเองกับหนู"
หลิวซินทรุดตัวลงร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ตรงนั้น ปล่อยให้ความเจ็บปวดทั้งหมดถาโถมเข้าใส่ ภาพความสุขของหญิงอื่นในบ้านที่ควรจะเป็นของเธอและลูกมันชัดเจนเกินกว่าจะหลอกตัวเองได้อีกต่อไป...
ทางด้านหานจินหลังเดินหัวฟัดหัวเหวี่ยงออกมาจากบ้านพักคนงานซอมซ่อหลังนั้นในอกยังคุกรุ่นไปด้วยความโมโหไม่หาย นังหลิวซิน! ผู้หญิงที่เคยหัวอ่อนว่านอนสอนง่ายมาตลอด วันนี้กลับกล้าแข็งข้อถึงกับเอาของมีคมมาขู่เขา! ช่างไม่เจียมตัวเอาเสียเลย!
แต่ครู่เดียวความหงุดหงิดของชายหนุ่มก็ค่อย ๆ เลือนหายไปเมื่อความคิดของเขาล่องลอยไปถึงถงเหม่ยลี่ยอดรักคนใหม่ ใบหน้าอ่อนหวาน รูปร่างอรชรอ้อนแอ้น และคำพูดเอาอกเอาใจของหล่อน ทำให้เขารู้สึกเหมือนได้ขึ้นสวรรค์ผิดกับนังอ้วนที่บ้านลิบลับ
วันนี้เขาตั้งใจว่าจะไม่กลับไปนอนที่บ้านนั่นอีกแล้ว หลังจากที่ทะเลาะกันรุนแรง หานจินมุ่งหน้าตรงไปยังสหกรณ์ร้านค้าของโรงงาน เลือกซื้อเนื้อหมูสามชั้นอย่างดีและของสดอีกสองสามอย่างตั้งใจว่าจะเอาไปทำอาหารอร่อย ๆ ให้ถงเหม่ยหลี่กิน
และจะค้างคืนที่บ้านเช่าแสนสุขของพวกเขาสักสองสามวันให้สมกับที่อารมณ์เสียมาทั้งวัน โดยหารู้ไม่ว่าในขณะที่เขากำลังวาดฝันถึงความสุขสบายอยู่เบื้องหน้านั้น ชีวิตครอบครัวที่เขาทอดทิ้งกำลังจะเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล
เมื่อหานซูอวี้พาแม่กลับมาถึงห้องพักอย่างเงียบเชียบ หลิวซินผู้ซึ่งดวงตาแดงก่ำแต่แฝงแววเด็ดเดี่ยวก็ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ไม้ขาโยกเยกข้างโต๊ะเขียนหนังสือโดยมีลูกสาวนั่งลงเคียงข้าง
"แม่..." หลิวซินเอ่ยขึ้นเสียงเครือ "แม่จะหย่า...แม่จะไม่ทนอีกต่อไปแล้ว"
หานซูอวี้ยิ้มบาง ในที่สุด...แม่ของเธอก็ตัดสินใจได้เสียที "ดีแล้วค่ะแม่ หนูจะช่วยแม่เอง"
เด็กหญิงลุกขึ้นเดินไปหยิบกระดาษและดินสอจากกระเป๋านักเรียนใบเก่าออกมาวางตรงหน้าของมารดา
"แม่เขียนเลยค่ะ เขียนคำขอหย่า บอกเหตุผลไปตามความจริงแล้วยื่นเงื่อนไขให้พ่อเขา"
หลิวซินมองหน้าลูกสาวอย่างไม่แน่ใจ "เงื่อนไข? เงื่อนไขอะไรกันลูก?"
"เงื่อนไขที่ว่า...ถ้าเขาไม่ยอมหย่าดี ๆ และไม่ยอมจ่ายค่าเลี้ยงดูหนูตามสมควร" หานซูอวี้พูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นเกินวัย ดวงตาฉายแววคมกล้า
"เรื่องที่พ่อมีชู้จะถูกรายงานไปยังหน่วยงานของโรงงาน และผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดค่ะ!" หานซูอวี้เว้นไว้ถึงเรื่องเกี่ยวกับการทุจริตของชายคนนั้นเอาไว้ก่อน ทั้งนี้หล่อนกลัวว่าหากยังหนีไปไม่ไกลพ่อเลวอาจจะมาทำร้ายเธอกับแม่ได้
หลิวซินเบิกตากว้าง "ซูอวี้! ลูกจะทำอย่างนั้นจริง ๆ เหรอ? มะ...มันร้ายแรงมากเลยนะลูก" ในยุคสมัยนี้เรื่องอื้อฉาวในที่ทำงาน โดยเฉพาะเรื่องชู้สาวถือเป็นเรื่องร้ายแรงอย่างมาก หากถูกเปิดโปงขึ้นมาไม่เพียงแต่จะถูกไล่ออกจากงาน แต่อาจจะถูกลงโทษทางวินัยอย่างหนัก ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงไปทั้งตระกูล
"แล้วที่พ่อทำกับแม่กับหนู มันไม่ร้ายแรงหรือคะ?" หานซูอวี้สวนกลับทันควัน "ถ้าเราไม่ทำให้เขาหวาดกลัวบ้าง เขาจะยอมปล่อยเราไปง่าย ๆ หรือคะ? แม่เชื่อหนูเถอะค่ะ นี่เป็นทางเดียวที่เราจะหลุดพ้นจากเขาได้จริง ๆ และเริ่มต้นชีวิตใหม่ของเรา"
แววตาที่มุ่งมั่นและเหตุผลที่เฉียบคมของลูกสาว ทำให้หลิวซินที่กำลังใจสลายค่อย ๆ มองเห็นแสงสว่างรำไร เธอสูดหายใจเข้าลึก หยิบดินสอขึ้นมาด้วยมือที่ยังสั่นเทา แต่ในใจกลับเริ่มมีความหวัง...ความหวังที่จะได้มีชีวิตที่ดีขึ้นเสียที โดยมีลูกสาวคนนี้คอยชี้นำอยู่เคียงข้าง
สองวันต่อมา เมื่อหลิวจินกลับมาถึงบ้านเขาก็พบบรรยากาศเงียบงันผิดปกติ อีกทั้งไม่มีเสียงถามไถ่จากภรรยาอย่างที่ควรเป็น
"มาแล้วก็ดี" หลิวซินพูดเสียงดัง ท่วงท่าของหล่อนตอนนี้ไม่มีความลังเลในการหย่าขาดจากผู้ชายเลวคนนี้อีกแล้ว ทั้งนี้เป็นเพราะตลอดสองวันที่ผ่านมาหล่อนเห็นมาแล้วว่าผู้ชายคนนี้ทำอย่างไรกับชู้รักของเขา
"พวกเรามาหย่ากันเถอะ" คำกล่าวของหลิวซินทำให้หานจินผงะไปอย่างไม่อยากเชื่อหู
"เธอเป็นบ้าไปแล้วเหรอ" เขาตวาดแกมเยาะ เพราะรู้ดีว่าภรรยาของตนไม่มีงานทำเป็นหลักแหล่งอาศัยเพียงปะชุนเสื้อผ้าไปวัน ๆ
"ถ้าอยากหย่าก็ได้นะ" เขาพูดขึ้นอย่างเหนือกว่า
"ก็ดี ถ้าอย่างนั้นพวกเราไปหย่ากันวันนี้เลย แต่ฉันมีข้อแม้" ประโยคต่อมาของหลิวซินทำให้หานจินคิดอย่างเย้ยหยัน (นั่นไง! ว่าแล้วคงจะเรียกร้องความสนใจละสินังอ้วน)
"ว่ามา" เขาก้าวเท้าเข้ามานั่งไขว่ห้างบนเก้าอี้ กระดิกเท้าไปมารอดูว่าหลิวซินจะพูดอะไร
หลังจากผ่านโจทย์คณิตศาสตร์ที่ซับซ้อนไปได้ด้วยการชี้นำของ "พี่ใหญ่" บรรยากาศในการติวหนังสือก็ดูผ่อนคลายและเต็มไปด้วยความเชื่อมั่นมากขึ้น แต่แล้วความท้าทายบทใหม่ก็มาถึง เมื่อพวกเขาเปิดตำราเรียนวิชาภาษาอังกฤษ "โอ๊ย! ไม่เอาแล้ว! ฉันยอมแพ้" หวงจิงโอดครวญเป็นคนแรกเมื่อเจอกับไวยากรณ์ซับซ้อน "ฉันก็เหมือนกัน อ่านออกเสียงยังไม่ได้เลย" ถังเยว่ฉีทำหน้ามุ่ย มีเพียงอู๋ถิงและหานซูอวี้ที่ยังคงสงบนิ่ง หานซูอวี้มองเพื่อนใหม่ทั้งสองด้วยความเข้าใจ ด้วยความรู้จากโลกอนาคต ภาษาอังกฤษสำหรับเธอนั้นง่ายดายราวกับภาษาแม่ แต่สำหรับเด็กในยุคนี้มันคือยาขมหม้อใหญ่ดี ๆ นี่เอง "ไหน เอามาให้พี่ใหญ่ดูหน่อยสิ" เธอพูดพลางหยิบหนังสือของหวงจิงมาดู "ตรงนี้ไม่ต้องคิดมากเลยนะ มันมีหลักการจำง่าย ๆ อยู่..."&nbs
"ซูอวี้...หนู...หนูไปรู้เรื่องพวกนี้มาจากไหนลูก?" หวงเจิ้งหรงซึ่งเป็นหมอเองยังอดทึ่งไม่ได้ที่เด็กอายุเท่านี้จะเข้าใจหลักการที่ซับซ้อนและสำคัญอย่างการปฐมพยาบาลได้ หานซูอวี้ชะงักไปเล็กน้อย เธอเผลอพูดในสิ่งที่ตัวเองรู้ออกมามากเกินไปเสียแล้ว เด็กหญิงทำทีเป็นอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบตามที่เพิ่งคิดออกมาสด ๆ ร้อน ๆ "คือ...หนูไปเจอหนังสือพวกนี้ในห้องสมุดประชาชนน่ะค่ะพ่อบุญธรรม พอดีว่า...หนูอยากเป็นหมอ ก็เลยสนใจแล้วก็ยืมนำมาอ่านเป็นพิเศษค่ะ" คำตอบของเธอทำให้ผู้ใหญ่ทั้งสองมองหน้ากันอย่างชื่นชมระคนประหลาดใจ แม้จะเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อแต่เมื่อนึกถึงความฉลาดที่เธอแสดงให้เห็นมาตลอดทั้งวัน...ตามที่ลูกชายของตนบอก บางทีเด็กคนนี้อาจจะเป็นอัจฉริยะตัวจริงก็ได้
"มา ๆ อย่ามัวแต่คุยกันเลย รีบมาช่วยฉันเตรียมของเถอะ เดี๋ยวลูกค้าก็มากันแล้ว" เฉินลี่ฮวาร้องเรียกสองแม่ลูกจึงรีบเข้าไปช่วยงานในครัวอย่างเต็มใจ วันแรกของชีวิตใหม่ในหนานจิงได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว...ด้วยความหวังและไออุ่นของมิตรภาพอย่างแท้จริง ช่วงสายของวัน หลังจากหานซูอวี้ช่วยแม่บุญธรรมกับแม่ของตนเก็บร้านอาหารเช้าจนเรียบร้อย เด็กหญิงที่กำลังจะกลับเข้าบ้านพักก็ถูกเรียกไว้ด้วยเสียงอันคุ้นเคย "พี่ใหญ่!" หวงจิงวิ่งเหยาะ ๆ มาหาเธอด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม "ไปติวหนังสือกันเถอะ! อีกไม่กี่สัปดาห์ก็จะสอบเข้า ม.ต้น แล้วนะ เราต้องรีบเตรียมตัวกันหน่อย" หานซูอวี้พยักหน้ารับ การได้ทบทวนบทเรียนและทำความเข้าใจระดับการศึกษาของยุคนี้เป็นสิ่งที่เธอต้องการอยู่พอดี&n
เช้ามือของวันต่อมา ในขณะที่ท้องฟ้าด้านนอกยังคงเป็นสีน้ำหมึกเข้ม มีเพียงแสงไฟจากเสาไฟในหมู่บ้านที่ส่องสว่างเป็นหย่อม ๆ อากาศในยามเช้ามืดของหนานจิงนั้นเย็นสดชื่น แต่สำหรับหลิวซินที่ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาในเวลานี้กลับรู้สึกง่วงงุนมากกว่า "ซูอวี้...นี่ยังไม่สว่างเลยนะลูก เราจะไปไหนกัน" หลิวซิน ถามเสียงอู้อี้ขณะที่ถูกลูกสาวจูงมือออกมาจากบ้านพัก "ไปออกกำลังกายกันค่ะแม่" หานซูอวี้ตอบด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น "หนูบอกแล้วไงคะ ว่าเราจะเริ่มต้นดูแลสุขภาพกันตั้งแต่วันนี้" เธอพาแม่เดินลัดเลาะไปตามถนนที่เงียบสงบและเป็นระเบียบของหมู่บ้านทหาร จนมาถึงสนามกีฬาขนาดกว้างขวางซึ่งอยู่ใจกลางชุมชน ที่นี่มีลู่วิ่งดินอัดและสนามหญ้าที่ได้รับการดูแลอย่างดี บรรยากาศเงียบสงบมีเพียงเสียงลมหายใจของพวกเธอและเสียงนกที่เริ่มส่งเส
โอกาสที่หยิบยื่นมาตรงหน้าทำให้หัวใจที่แห้งแล้งของหลิวซินกลับมาชุ่มชื่นอีกครั้ง ไม่ใช่แค่โอกาสในการมีงานทำ แต่เป็นโอกาสที่เธอจะได้ใช้ความรู้ความสามารถของตัวเองและยืนได้ด้วยลำแข้งอีกครั้งหนึ่ง น้ำตาแห่งความซาบซึ้งใจเอ่อคลอขึ้นมาในดวงตาของเธออย่างกลั้นไม่อยู่ "ขอบใจนะ...ขอบใจพวกเธอทั้งสองคนมากจริง ๆ" หลิวซินพูดได้เพียงเท่านั้นเพราะความตื้นตันใจจุกอยู่ที่ลำคอ หานซูอวี้มองภาพตรงหน้าเงียบ ๆ ในใจรู้สึกขอบคุณครอบครัวหวงอย่างสุดซึ้ง และในขณะเดียวกันก็ยิ่งมุ่งมั่นมากขึ้นไปอีก แม่คะ...นี่แหละคือชีวิตใหม่ของเรา แม่จะมีงานที่ดีทำ มีคนดี ๆ อยู่รอบกาย ส่วนหนู...หนูจะตั้งใจเรียน สอบเข้าโรงเรียนที่ดีที่สุด และคว้าทุนการศึกษานั่นมาให้ได้ เพื่อที่เราจะได้ไม่ต้องลำบากอีกต่อไป!&nb
เมื่อทั้งสองคนเดินกลับมาถึงบ้านพักของครอบครัวหวงพร้อมกัน ภาพที่เด็กสองคนเดินหัวเราะต่อกระซิกกันมาอย่างสนิทสนมก็ทำให้เหล่าผู้ใหญ่ที่กำลังนั่งคุยกันอยู่ในห้องรับแขกถึงกับแปลกใจไปตาม ๆ กัน "อ้าว! พวกลูกไปรู้จักกันตอนไหนเนี่ย" เฉินลี่ฮวาเอ่ยทักด้วยความประหลาดใจ "เมื่อกี้นี้เองครับแม่!" หวงจิงตอบรับเสียงดังฟังชัดพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง "แม่รู้ไหมว่าพี่ใหญ่ซูอวี้สุดยอดขนาดไหน!" จากนั้นหวงจิงก็เริ่มเล่าเรื่องราวที่สนามบาสให้ผู้ใหญ่ทั้งสามฟังอย่างออกรสชาติ ทั้งเรื่องที่หานซูอวี้รับลูกบาสได้ เรื่องที่เธอชู้ตจากระยะไกลลงห่วงอย่างแม่นยำ และเรื่องที่เธอเล่นเก่งจนทุกคนในสนามพร้อมใจกันเรียกเธอว่า "พี่ใหญ่" หลิวซินฟังเรื่องราวของลูกสาวด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความทึ่งระคนภูมิใจ ในขณะที่เฉินลี่ฮวาและหวงเจิ้งหรงก็ม
Comments