ระหว่างโลกแห่งความจริงกับดินแดนแห่งความหวัง ระหว่างใจที่เริ่มผูกพัน กับเวลาอันจำกัด เมื่อเธอจำต้องเลือกลับไป เขากลับเลือกเสียสละความเป็นนิรันดร์ รักแท้จะยังงดงามอยู่หรือไม่ "ทาโร่ต์ ทำนายรัก" คำทำนาย และความหมายของคำว่า พรหมลิขิต ที่อาจไม่ได้เขียนไว้บนฟ้า แต่เขียนไว้ในหัวใจทั้งสองดวง
ดูเพิ่มเติม“อา าาาาา ..”
“อ้ ะ .. ลึ ก ไ ป แ ล้ ว”
“โอว ..”
“หยุดก่อนค่ะ! ..”
“อะ เอ่อ .. ขอโทษทีนะคะ .. มันเสียวน่ะค่ะ”
ฉันรู้สึกร้อนผ่าว ๆ หน้าแดง ตัวแดงไปหมดจากการอับอายต่อเหตุการณ์เมื่อครู่นี้อย่างมาก .. ตอนนี้ฉันจะหายตัวไปเลยได้มั้ยนะ เรื่องนั้นเดี๋ยวค่อยโอนเอาก็ได้มั้ง ไม่หรอกเขาคงไม่ยอม ก็ฉันตัดสินใจขอเพิ่มเองนี่นะ โอ๊ย!! ฉันนี้มันบ้าจริง ๆ เลย .. ฉันหัวเสียหนัก นึกด่าตัวเองในใจ ถึงความกล้าบ้าบิ่นของฉันในครั้งนี้เหลือเกิน
ขณะที่ฉันนั่งหลบมุม เอียงคอ หลับตาปี๋ให้โลกอยู่นั้น เสียงสดใสของใครคนหนึ่งก็ตะโกนเรียกชื่อฉันจนได้
“คุณลลิตาค่ะ” เรียกเบา ๆ ก็ได้มั้ย ฉันไม่ต้องการให้ใครต่อใครรู้ชื่อฉันนะ ฉันสบถในใจเบา ๆ
“คะ ค่ะ” ฉันเดินตาละห้อย อับอาย ไปที่เคาน์เตอร์สีขาวด้านหน้า ผู้หญิงผมทองหน้าตาบูดบึ้ง ดูไม่มีกะจิตกะใจทำงาน ร้องเรียกฉันแล้วก้มหน้าก้มตาเขียนแผ่นกระดาษแผ่นเล็ก ๆ แข็ง ๆ
เธอเงยหน้าขึ้น พอเห็นหน้าฉันสีหน้าเธอก็เปลี่ยนไปทันที อ่อ .. จิตวิญญาณในการบริการของเธอกลับมาแล้ว
“คุณลลิตานะคะ” เธอยิ้มหวาน
“ค่ะ .. ค่ะ” ฉันละล่ำละลัก นี่เธอจะเรียกชื่อฉันอีกสักกี่รอบกันนะ ฉันหน้าแดง
"ของคุณลลิตา ครั้งนี้ครั้งที่ 1 เหลืออีก 7 ครั้ง แต่แถมอีก 2 ดังนั้นจะเหลือ.. 9 ครั้งนะคะ” เธอสาธยายจำนวนครั้งของคอร์สเสริมสวยความเนียน ดุจเด็กแรกเกิด ให้ผิวตรงน้องสาวของฉัน ซึ่งตอนนี้จุดสงวนใต้ร่มผ้ากำลังเอาผ้าคลุมหัวด้วยความอับอายไม่แพ้ฉันเลย
"ค่ะ” ฉันตอบลอดไรฟัน ฉันจะไม่มาที่นี่อีกเป็นเด็ดขาด ครั้งนี้เป็นครั้งแรก และจะครั้งสุดท้าย! บ้าไปแล้ว ฉันไม่เคยให้ใครมาสอดส่อง พลิกไปพลิกมา แหวกหน้าแหวกหลังน้องสาวฉันขนาดนี้เลย
“เหลือชำระค่ายาชาอีก 500 บาทค่ะ” สาวผมทองพูดนิ่มนวล
“ค่ะ ค่ะ” ฉันยื่นแบงก์ที่เตรียมหยิบเอาไว้ตั้งนานแล้ว ยื่นให้เธอทันที ฉันไปได้รึยังเนี่ยยย ..
“โอเคมั้ยคะ .. แสบร้อนมั้ย คุณลลิตาต้องการครีมบำรุงมั้ยคะ ตัวนี้จะช่วยบรรเทาอาการแสบร้อน ช่วยให้ผิวบอบบางนุ่มชุ่มชื้นด้วยค่ะ” หล่อนหยิบครีมกระปุกหนึ่งออกมาจากทางด้านหลัง ยื่นให้ฉันทำให้ฉันยังต้องยืนอับอายอยู่กับที่
ให้ตาย .. ให้ตายย
“ไม่ค่ะ ขอบคุณค่ะ .. เอ่อ .. เรียบร้อยแล้วใช่มั้ยคะ”
“ของคุณลลิตาเรียบร้อยค่ะ”
“ขอบคุณค่ะ” ฉันหันหลังกลับออกมา และรีบจ้ำอ้าวออกมาจากที่แห่งนั้นโดยทันที ก่อนประตูจะปิดลงฉันได้ยินเจ้าหน้าที่สาวคนนั้น ตะโกนตามหลังมาว่า “ขอบคุณค่ะ .. แล้วพบกันครั้งหน้านะคะ”
ไม่ค่ะขอบคุณ! ฉันตอบเธอกลับไปในใจ
ฉันเดินรี่ไปหลบหายใจอยู่ตรงมุมอาคาร เหลือบมองกลับไปในคลินิกนั้นด้วยความอยากรู้อยากเห็น จะมีคนแอบมองตามฉันมารึเปล่านะ .. ป่านนี้เขาคงรู้กันทั่วแล้วมั้งเนี่ย ว่าฉันชื่อ ลลิตา .. ผู้หญิงที่เข้ามากำจัดขนน้องสาว ฉันอยากจะบ้าตายย
แต่ขณะที่ฉันมองกลับเข้าไป พบว่าไม่มีสายตาคู่ไหนเลยที่มองตามฉันมา สาว ๆ ในคลินิกสีม่วงสดใสแห่งนั้น ต่างก็ก้มหน้าก้มตาอยู่กับหน้าจอมือถือของตัวเองกันทั้งนั้นเลย
เฮ้อ! .. นิสัยกังวลเกินเหตุของฉันแผลงฤทธิ์อีกแล้ว
ฉันถอนหายใจอย่างโล่งอกที่ไม่มีใครมองตามมา แล้วก็พาตัวเองเดินออกมาจากมุมมืด เดินไปซื้อชาไข่มุกปลอบใจสักแก้วก่อนกลับ
ว่าแต่ .. ตอนเดินมันก็แปลก ๆ อยู่นะ เวลามันโล่งเตียน เรียบเนียนไปหมดแบบนี้ ฉันไม่ชินเลย (น้องสาวของฉันยังคงเอาผ้าคุมหัวอับอายไม่เลิก)
ฉันเดินดูดชาไข่มุกอย่างชื่นใจเป็นที่สุด ของหวานเท่านั้นที่ช่วยเยียวยาฉันได้ พลางคิดไปถึงคำทำนายของแม่หมอคนนั้นเมื่อสัปดาห์ก่อน
“แม่หนูกำลังจะได้เจอเนื้อคู่” หญิงมีอายุ หน้าตาใจดี ผมตัดสั้นรองทรง ใส่ต่างหูห่วงใหญ่สีทองถ่วงหูของเธอให้ยานลงมาเล็กน้อย สายตาเธอจับจ้องที่ไพ่ทาโร่ต์ที่เรียงรายอยู่ตรงหน้าพร้อมเอ่ยทายทักชะตาชีวิตของฉัน
“จริงเหรอคะ” เธอรู้ได้อย่างไร ว่าฉันมาดูดวงเพราะเรื่องนี้ ฉันยังไม่ได้เอ่ยถามอะไรออกไปเลย
ฉัน ลลิตา ทำงานเป็นบรรณารักษ์ในหอสมุดใหญ่ของเมืองหลวง เป็นลูกสาวคนเดียวของครอบครัวคุณหมอ พ่อแม่ของฉันท่านเป็นหมอทั้งคู่ และความเก่งกาจของสองคนนั้นดูเหมือนจะไม่ถ่ายทอดมาให้ฉันแม้แต่นิดเดียว
ถ้าดูจากความจริงในปัจจุบันน่ะนะ ตอนนี้ฉันอายุ 25 ปีแล้ว อาศัยอยู่ในคอนโดส่วนตัวที่พ่อแม่ซื้อให้ แหงอยู่แล้วลำพังเงินเดือนบรรณารักษ์ซื้อคอนโดใหญ่ขนาดนี้ที่ฉันอยู่ไม่ไหวหรอก แต่แม่ก็ยืนกรานจะให้ฉันอยู่ที่นี่ให้ได้ ฉันขับรถไม่เป็นเพราะนิสัยขี้กังวลเกินเหตุ เงินเดือนของฉันหมดไปกับหนังสือ ถึงแม้ว่าฉันจะทำงานอยู่ในหอสมุด แต่ฉันก็ชอบสะสมหนังสือมากเหลือเกิน ฉันเพื่อนน้อย และ .. ยังไม่เคยมีความรัก
ฉันกำลังคิดว่า .. ฉันเป็นคนแปลกหรือเปล่า ?
คนรอบกายบอกว่าฉันก็เป็นคนสวยคนหนึ่ง เพื่อน ๆ ต่างอิจฉาที่ฉันกินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน ฉันจึงได้ครองตำแหน่ง สาวงามประจำกลุ่ม ( ฉันไม่ได้ตั้งใจจะอวดอ้าง เพียงแต่กำลังครุ่นคิดและทบทวนเท่านั้น ) ที่จริงแล้ว .. ตรงจุดนี้ทำให้ฉันใจชื้นขึ้นมานิดหน่อย เวลาที่คิดว่า ฉันเองอาจจะเป็นคนแปลกขึ้นมาจริง ๆ อย่างน้อยก็ยังมีข้อดีอยู่บ้าง
จะว่าไปมีคนเข้ามาจีบฉันเยอะมากทีเดียว และบอกตามตรงว่า ฉันก็ไม่เคยปฏิเสธ แต่หลังจากที่ลองเดทกันดูครั้งสองครั้ง คนพวกนั้นก็หายต๋อมไปเลย
ฉันกำลังสงสัยว่า ..
ฉันอาจจะเป็นประเภท
‘ผู้หญิงน่าเบื่อ’
ก็คงอย่างนั้น .. ทำอย่างไรได้ ฉันไม่ชอบเที่ยวกลางคืน ฉันชอบหมกตัวอยู่ในห้องสมุด ฉันสามารถอยู่กับหนังสือเล่มหนาได้เป็นวัน ๆ โดยไม่รู้สึกหิวข้าวหิวน้ำเลยด้วยซ้ำ
แถมฉันแต่งตัวเชยสะบัด ( ลิลลี่เพื่อนรัก เธอบอกกับฉันอย่างนั้นเสมอเลย )
หลังจากที่ฉันได้ยินคำทำนายจากแม่หมอที่นั่งอยู่ตรง หน้าในตอนนั้น ฉันก็ยืดหลังให้ตรงขึ้น สูดลมหายใจเข้า แล้วถามเธอไปเป็นคำถามแรกตั้งแต่นั่งฟังเธอทำนาย
“เมื่อไหร่คะ?” ฉันถามเธอเสียงเบาเกินไปนิด น้ำเสียงฟังดูแปล่งเกินไปหน่อย ฉันมีน้ำเสียงแบบนี้ด้วยหรือ .. ฉันก็พึ่งรู้
“อีกไม่นาน” เสียงเธอต่ำแต่สงบเย็น
ลมพัดมากระทบฉัน ผมฉันปลิวไสว ลมมาได้อย่างไรฉันก็ไม่รู้ เพราะสถานที่ที่ฉันนั่งอยู่ มันเป็นห้องกระจก
ฉันขนลุกซู่!!
หลังจากเดินไปส่งเดฟที่บ้านตุ๊กตาของเขาแล้ว ฉันมีโอกาสได้พบลูน่าอีกครั้ง แถมครั้งนี้ได้เจอมาร์คัส เจ้ากระต่ายน้อยซุกซนกระโดดหยองแหยงไปมา รอบตัวฉันและเอเดน “ หวัดดีฮะๆ ” เขาพูดได้! มาร์คัสโดดเดินหน้าถอยหลัง อย่างร่าเริง ลูน่าจับหูสองข้างของลูกชายยกเขาลอยขึ้นอย่างแผ่วเบา อุ้งเท้าน้อยๆ ของเจ้ามาร์คัสยังคงตวัดป่ายไปมากลางอากาศ รอยยิ้มอันสดใสของเขา ช่วยทำให้จิตใจของฉันเบิกบาน แล้วเราทั้งหมดต่างร่ำลากันโดยดี ขณะเดินผ่านรั้วออกมาแล้ว ฉันก็เหลียวมองกลับไปยังที่บ้านกระต่ายหลังน้อยที่น่ารักหลังนั้น ฉันเอ่ยลาพวกเขาในใจอีกครั้งหนึ่ง ‘ลาก่อนค่ะเดฟ’ เอเดนกับฉัน เราเดินกลับมาที่วิหารหินด้วยความเงียบ ฉันรู้สึกปวดมวนในท้อง ไม่รู้ว่าการที่เขาตัดสินใจแบบนี้ มันจะเป็นผลดีกับฉันฝ่ายเดียวหรือเปล่า เขายอมทิ้งชีวิตที่วิเศษสุดของที่นี่ ตามฉันไปอยู่ในโลกที่ฉันเองก็ไม่ได้สันทัด หรือเชี่ยวชาญในการใช้ชีวิตอะไรเลย อยู่ที่นี่เขาจะแข็งแรง มีอายุยืนยาว อยู่ท่ามกลางผู้คนที่มีจิตใจบริสุทธิ์ อากาศก็ดีแสนดี บ้านเมืองงดงามราวเ
เอเดนพาฉันเดินมาตามถนนที่แสงจันทร์ส่องสว่างอาบไล้ไปทั่วอย่างเคย สายลมยามราตรีพัดโชยเย็นสบาย ผมหน้าของเอเดนปลิวลู่ไปด้านข้าง เผยให้เห็นหน้าผากใสเนียน ขนาดมองด้านข้างเขายังงดงามไร้ที่ติเลย ฉันไม่รู้จะหาจุดบกพร่องจากบุรุษหนุ่มผู้นี้ได้จากที่ตรงไหน แล้วเหตุใดฉันจึงได้เป็นผู้หญิงที่โชคดีอะไรอย่างนี้ ฉันกระชับมือที่จับกันกับมือของเอเดนอยู่ให้แน่นขึ้น เขาเองก็บีบมือตอบกลับมา เดินผ่านที่ราบกว้าง ริมทะเลสาบ มองไปสุดสายตาเห็นวิหารหินตั้งสูงเด่นเป็นสง่า เรากำลังจะไปบ้านของเดฟ เอเดนบอกฉันอย่างนั้น “วิหารนั้น เป็นที่ไว้สำหรับทำอะไรเหรอคะ” ฉันว่าจะถามมาตั้งนานแล้ว “อ่อ .. เป็นที่สำหรับต้อนรับผู้มาเยือนน่ะ ลิต้าที่รัก ท่านเองก็มีประสบการณ์จากวิหารนั้นมิใช่หรือ” เอเดนไขข้อข้องใจ “อย่างเดียวเลยเหรอคะ” “เท่านั้นก็เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ และสำคัญเพียงพอ” เขาเอ่ยทุ้มลึกกล่าวอย่างภาคภูมิใจ ไม่นานนักเราก็ผ่านสวนพันธุ์ไม้ที่เขียวชอุ่ม ที่ที่ฉันพบกับเดฟเป็นครั้งแรก ฉันมองเข้าไปด้วยความรู้สึกท่วมท้น
เพียงคำเดียวที่ปลดปล่อยให้เราเป็นอิสระ จากความทุกข์ทรมานทั้งปวง คำคำนั้นคือ “ รัก ” ซอโฟครีส นักเขียนบทละครชาวกรีก ฉันยกหูโทรศัพท์โทรหาแม่ รอสายอยู่นานสายก็ตัดไป ฉันนั่งเอนหลังพิงพนักที่มีเบาะบุขนรูปหน้าแมวสีชมพูอย่างสับสนในจิตใจ ฉันกำลังตัดสินใจว่าจะย้ายไปอยู่กับเอเดนที่โลกแห่งความหวังนั่นดีหรือเปล่า .. ทำไมจะไม่ดีล่ะ? .. เสียงในหัวของฉันดังขัดขึ้นมากลางปล้อง ก็เพราะฉันมีพ่อมีแม่อยู่ที่นี่ยังไงล่ะ ไหนจะลิลลี่เพื่อนรักของฉันอีก ฉันโต้เธอกลับไป ขณะเอานิ้วนวดขมับ เสียงโทรศัพท์ของฉันก็ดังขึ้น แพทย์หญิงผู้เพียบพร้อมของฉันโทรกลับมาหา “ไงลูกรัก” แม่ฉันกรอกเ
ฉันถูกแรงมหาศาลสลัดเหวี่ยงลงบนเตียงนอน หัวอยู่ปลายเตียง ขาฉันฟาดเข้ากับหมอนอิงใบใหญ่ โชคดีที่ไม่โดนหัวเตียงเพราะห่างจากปลายเท้าของฉันเพียงเส้นยาแดงเท่านั้น ครั้งนี้ฉันรู้สึกว่า ฉันเดินทางไปอยู่ที่นั่นนานกว่าทุกครั้ง แถมครั้งนี้ไปค้างคืนมาเสียด้วย จิตใต้สำนึกบอกให้ฉันลุกขึ้นไปคว้าโทรศัพท์มาเช็กดู เผื่อว่าฉันพลาดอะไรที่สำคัญไปหรือเปล่า ฉันปัดเปิดหน้าจออย่างชำนาญ เห็นข้อความที่ยังไม่ได้เปิดอยู่สามสี่ข้อความ จากแม่ .. เป็นข้อความสวัสดีปีใหม่ จากพ่อ .. ข้อความเช่นเดียวกัน ถัดมาเป็นคนคุยคนเก่าที่ทิ้งฉันไปได้หลายปีแล้ว ส่งสติ๊กเกอร์มาทำไมฉันอ่านและลบออกทันที ส่วนข้อความสุดท้ายมาจากลิลลี่เพื่อนรัก ‘วันหยุดนี้ ทำอะไร ? โทรไปก็ไม่รับ โทรกลับมาด้วยนะ’ ฉันอ่านพลางจินตนาการน้ำเสียงประชดประชัน แต่จริงใจของ ลิลลี่เพื่อนรักของฉัน ฉันอยากโทรไปเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เธอฟังใจจะขาด แต่มันทำไม่ได้ ฉันอยากพาเธอกับครอบครัวไปอยู่ด้วยกันที่โลกแห่งความหวัง แต่ก็ทำไม่ได้อีกเช่นกัน เหนื่อยจัง ..
“นางเป็นน้องสาวของลุคน่ะ ลิต้าที่รัก นางจิตใจดีและมีน้ำใจมากทีเดียว” เอเดนตอบคำถามของฉันอีกครั้ง “อ่อ ค่ะ” ฉันพึมพำ “เราขออย่างเดิม สามที่นะลุค ขอบใจ” เอเดนกล่าว “ไม่นานเกินรอ ท่านทั้งหลาย” หนุ่มรูปหล่อคนใหม่หายเข้าไปหลังบาร์ ฉันมองไปรอบร้าน ไม่มีลูกค้าคนอื่นเลยมีเพียงแต่พวกเราเท่านั้น เสียงกระดิ่งประตูหน้าดังขึ้น ลมเย็นพัดโบกเข้ามา หญิงสาวหน้าตาสวยสะดุด กระโปรงสีเขียวมิ้นท์ของเธอปลิวไสวในสายลม ผมสีทองมวยต่ำ ตาสีฟ้าโตลึกคมเข้ม ฉบับสาวฝรั่งในนิตยสาร “เอเดน .. เดฟ อะไรดลใจท่านงั้นหรือ” เธอพูดจงใจมองหน้าเอเดน และฉันแปลมันออกทุกคำเลย “เจซี่ สวัสดี” เอเดนทักทายสุภาพ อ่อ! .. สาวงามคนนี้นี่เอง “สวัสดีขอรับ คุณผู้หญิง” กระต่ายน้อยที่นั่งอยู่ข้างซ้ายติดกระจกร้านเอ่ยทักทาย “ท่านหายไปนานเหลือเกิน ลุคกับข้าคิดว่าท่านทำตัวห่างเหิน” เจซี่พูดพลางไล่สายตามาหยุดอยู่ที่ฉัน เอเดนยิ้มรักษากิริยา เขาสง่างามเสมอเลย “โอ้ว .. ข้าไม่ทันสังเกตให้ดี ขออภัย
เช้านี้ฉันลืมตาขึ้นมามองเห็นห้องที่ไม่คุ้นตา ฉันพลิกตัวนอนหงายอย่างเร็วและแรงมาก หัวใจเต้นแรงราวกับจะหลุดออกมากองอยู่นอกอก ฉันจับมันเอาไว้พยายามควบคุมจังหวะการหายใจของตัวเองอย่างยากลำบาก กว่าฉันจะระลึกชาติได้ว่าฉันนอนอยู่ที่ไหน และเมื่อคืนก่อนนอนฉันทำอะไรไปบ้าง เสียงมือจับประตูห้องนอนก็ถูกขยับกึกกัก ประตูเปิดผางออก ภาพงดงามปรากฏขึ้นตรงหน้า “สวัสดี .. จวนเที่ยงแล้ว ข้ากำลังจะเข้ามาปลุกท่านอยู่พอดีลิต้าที่รัก หลับอย่างเป็นสุขดีหรือไม่เมื่อคืนนี้” เอเดนสาวเท้าเข้ามาใกล้ฉันที่เตียงนอน “อย่าพึ่งเข้ามานะคะ” ฉันยกมือขึ้นห้ามเขา “ .. ” เขาหยุดกึก เลิกคิ้วอย่าฉงนใจ “ห้องน้ำอยู่ไหนคะ ฉัน .. อยากเข้าห้องน้ำ” “อ่อ .. เชิญทางนี้” เอเดนผายมือ และเดินนำฉันออกมาทางประตู เลี้ยวซ้ายตรงไปอีกนิดหน่อยก็ถึงห้องหนึ่งที่ประตูปิดสนิท คงเป็นห้องน้ำอย่างไม่ต้องสงสัย ฉันเปิดและรีบแทรกตัวเข้าไปในนั้น ตามด้วยหันหลังกลับมาปิดประตูทันที “เดี๋ยวฉันตามลงไปนะคะ” ฉันตะโกน ฉันจะตะโกนทำไมเนี่ย เวลารู้สึกก
ความคิดเห็น