หลินเสี่ยวหรานให้ฉู่ชิงเฟิงตามนางไปที่โต๊ะหินใต้ต้นอิงฮวา แล้วเชิญให้เขานั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม จากนั้นไม่นานอาโต๋วก็ไปตามลุงชุนมาสมทบ ครั้นทุกคนภายในบ้านอยู่รวมกันครบแล้ว หลินเสี่ยวหรานถึงได้เริ่มบทสนทนา
“ก่อนหน้าเป็นเพราะเจ้าป่วยอยู่ ข้าจึงมิได้พูดคุยอะไรด้วยแบบเป็นเรื่องเป็นราว แต่บัดนี้ร่างกายของเจ้าแข็งแรงสมบูรณ์ดีแล้ว ข้าเห็นว่าสมควรแก่เวลาที่เราจะต้องพูดคุยกันเสียที ถึงแม้เจ้าจะยังจำอะไรไม่ได้ก็ตาม”
“คุณหนูหลินมีเรื่องอันใดก็บอกกล่าวมาได้เลย” ใบหน้าอ้วนกลมของฉู่ชิงเฟิงดูจริงจังขึ้นสามส่วน
“แต่ก่อนที่จะคุยอะไรกัน ข้าคิดว่าเจ้าควรหาชื่อให้ตนเองก่อน จะได้เรียกขานกันได้ถูก”
“นั่นสินะ” ฉู่ชิงเฟิงไม่ได้คิดเรื่องนี้มาก่อน พอถูกถามก็นึกไม่ทันอยู่บ้าง เพราะในหัวมีคำมงคลมากมายลอยวนอยู่ในนั้น แต่ก็ยังหาชื่อที่ความหมายดี และถูกใจตนเองไม่ได้
ทว่าคนที่รอฟังคำตอบมิได้มีใจอยากคอยเขาประดิษฐ์คำสักเท่าใด
“หากเจ้ายังนึกไม่ออก ข้าก็ยินดีจะตั้งให้” หลินเสี่ยวหรานยิ้มกล่าว ท่าทางเต็มอกเต็มใจ
ฉู่ชิงเฟิงหันไปสบตาของหลินเสี่ยวหรานที่เต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ใจ กอปรกับเขายังคิดไม่ออกเหมือนกันว่าควรใช้ชื่อปลอมอย่างไรดี “เช่นนั้นรบกวนคุณหนูหลิน ตั้งชื่อเรียกให้ข้าด้วย”
“ข้าคิดว่า ชื่อ ‘อาเปา’ น่าจะเหมาะสมกับเจ้าที่สุด”
“อาเปา งั้นรึ”
“แก้มของเจ้าทำให้ข้านึกถึงซาลาเปาไส้หมูของร้านลุงฟู่ในตลาด แป้งฟูนุ่ม ไส้หมูที่อยู่ข้างในก็อร่อย” หลินเสี่ยวหรานยิ้มจนตาหยี ไม่คิดปิดบังที่มาของชื่อที่ตนเองคิด เพราะทุกครั้งที่เจอหน้ากลมๆ แก้มยุ้ยๆ ของเขาทีไร นางก็อยากกินซาลาเปาร้านนั้นตลอดเลย
แต่ฉู่ชิงเฟิงกลับยิ้มไม่ออก คุณหนูหลินผู้นี้ก็คงเหมือนน้องสาวของนางที่ตัดสินเขาจากรูปร่างหน้าตากระมัง
“ทำไมเจ้าทำหน้าอย่างนั้นเล่า” หลินเสี่ยวหรานสังเกตเห็นความผิดปกติบนใบหน้าอวบอิ่มของเขา “หรือว่าเจ้าไม่ชอบกินซาลาเปา”
“ที่คุณหนูหลินตั้งชื่อนี้ให้ข้า แค่เพราะว่าชอบกินซาลาเปามากเท่านั้นรึ”
หลินเสี่ยวหรานพยักหน้า ตอบกลับโดยแทบไม่ต้องคิด “ถูกต้องแล้ว ข้าชอบกินซาลาเปาร้านนั้นมาก อีกอย่างชื่อนี้ก็ใช้เรียกแค่ชั่วคราว ข้าเลยคิดว่าตั้งให้เรียกง่ายจำง่ายน่าจะดีที่สุด”
ฉู่ชิงเฟิงพยายามหาร่องรอยความเย้ยหยันในดวงตานาง ทว่ามันกลับดูสุกใสไร้สิ่งเคลือบแฝง หรือว่าเขาจะเข้าใจเจตนานางผิดไป
หลินเสี่ยวหรานเห็นเขาทำสีหน้าไม่ดี เลยเข้าใจไปว่าอีกฝ่ายคงไม่ชอบชื่อนี้ “ความจริงผู้อื่นก็แค่มีใจอยากช่วยตั้งชื่อให้เท่านั้นเอง แต่ถ้าเจ้าไม่ชอบ ข้าก็มิได้บังคับนะ”
ฉู่ชิงเฟิงมองใบหน้างามสะคราญพลางครุ่นคิด หากจะว่ากันตามจริง หลินเสี่ยวหรานอาจเป็นคนเพียงคนเดียวที่พูดความรู้สึกเวลาที่นางมองเขาออกมาตรงๆ อย่างน้อยนางก็ไม่ได้เสแสร้ง และก็ไม่ได้คิดดูถูกเหยียดหยามอะไร แล้วแบบนี้เขายังจะปฏิเสธความหวังดีของนางไปไย
“เอาเป็นว่าตกลง ข้าจะใช้ชื่อที่คุณหนูหลินตั้งให้ก็แล้วกัน”
“ดี เช่นนั้นตกลงตามนี้” หลินเสี่ยวหรานเอียงศีรษะ พลางปรบมือชอบใจด้วยท่าทางน่ารัก “ต่อไปนี้ขอให้ทุกคนเรียกเขาว่าอาเปานะ”
“ขอรับ/เจ้าค่ะคุณหนู” ลุงชุน อาโต๋ว ลี่มามา และหลินอ้ายรับคำเป็นเสียงเดียวกัน
“เอาล่ะๆ ในเมื่อเจ้ามีชื่อแล้ว เช่นนั้นก็มาเข้าเรื่องกันเถอะอาเปา” หลินเสี่ยวหรานเก็บรอยยิ้ม ทำให้ใบหน้างามสะคราญพลันดูจริงจังขึ้นมา
ฉู่ชิงเฟิงเห็นเช่นนั้นก็เหยียดหลังตั้งตรง ท่าทางตั้งใจฟังเต็มที่ “เชิญคุณหนูหลินว่ามาเถิด ไม่ต้องเกรงใจ”
“งั้นข้าขอพูดแบบเปิดประตูเห็นภูเขา[1]เลยแล้วกันนะ เดิมข้าตั้งใจว่าหากเจ้าฟื้นแล้ว ก็จะส่งข่าวให้ครอบครัวของเจ้ามารับกลับไป ทว่าเพราะเจ้าจำอะไรไม่ได้ ข้าจึงจำเป็นต้องดูแลรักษาไปก่อน ถึงแม้จะไม่รู้หัวนอนปลายเท้าของเจ้าเลยก็ตาม” หลินเสี่ยวหรานหยุดมองหน้าฉู่ชิงเฟิงแวบหนึ่ง เห็นเขาดูสงบนิ่งคล้ายพร้อมรับได้ทุกอย่าง นางจึงค่อยพูดต่อ “แต่ในเมื่อเจ้าหายดีแล้ว และข้าเป็นสตรีที่ยังไม่ออกเรือน หากยังปล่อยให้เจ้าอาศัยอยู่ที่นี่ต่อไปเฉยๆ เกรงว่าหากท่านพ่อรู้เรื่องนี้เข้าจะไม่พอใจเอาได้”
“หรือคุณหนูหลินต้องการให้ข้าจากไป” ฉู่ชิงเฟิงเพียงขมวดคิ้ว และมิได้มีท่าทีตกใจเท่าใดนัก หลินเสี่ยวหรานเห็นแล้วก็แปลกใจอยู่บ้างที่ชายอ้วนท่าทางไม่ได้ความสามารถเก็บสีหน้าอาการได้ดีขนาดนี้
“จะว่าอย่างนั้นก็ไม่ถูกซะทีเดียว ในเมื่อเจ้าจำอะไรไม่ได้สักอย่าง อีกทั้งยังไม่มีเงินติดตัว หากข้าให้เจ้าจากไปทั้งแบบนี้ก็คงไม่สบายใจเช่นกัน”
“แล้วข้าต้องทำเช่นไรหรือ หากยังต้องการอาศัยที่นี่ต่อไปก่อน” ฉู่ชิงเฟิงถามเข้าประเด็น ไม่คิดอ้อมค้อม
“ในเมื่อไม่อาจล่วงรู้ได้ว่าความจำของเจ้าจะกลับมาเมื่อใด ท่านหมอเลยให้เจ้าไปฝังเข็มเพื่อรักษา แต่ค่าใช้จ่ายในเรื่องนี้ไม่ใช่น้อย หากเจ้ายังอยากอยู่ที่นี่ต่อจริงๆ เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน ข้าคงต้องให้เจ้าไปทำงานกับอาโต๋ว” หลินเสี่ยวหรานถอนหายใจเบาๆ แล้วพูดเหมือนหนักใจเต็มประดา “ถ้าไม่อยากทำ ข้าก็ไม่บังคับหรอกนะ แต่ว่าเจ้าจะต้องออกไปจากที่นี่ภายในสามวัน”
ฉู่ชิงเฟิงไม่ได้ตกใจกับข้อเสนอ เพราะดูจากสถานการณ์ เกรงว่าคุณหนูใหญ่สกุลหลินอาจจะไม่ใช่บุตรสาวที่บิดาโปรดปรานสักเท่าใด นางถึงได้ถูกส่งมาอยู่เสียไกลลิบลับในบ้านหลังเล็กๆ กับบ่าวติดตามแค่สี่คนแบบนี้ และการที่เขามาอยู่ที่นี่ ก็คงเป็นการเพิ่มภาระ และความเสี่ยงให้นาง
‘เอาเถอะ บ้านหลังเล็กแค่นี้ จะมีอะไรให้ทำหนักหนากัน’
“ได้ ข้าขอรับข้อเสนอของคุณหนูหลิน”
“ไม่ต้องรีบตอบก็ได้นะอาเปา”
“ข้าตอบรับข้อเสนอ เพราะคิดดีแล้ว ในเมื่อข้าจำอะไรไม่ได้ ทั้งยังไม่มีอะไรตอบแทนคุณหนูหลิน นี่คงเป็นสิ่งเดียวที่ข้าพอจะทำได้ในตอนนี้”
“ถ้าเจ้าเต็มใจ เช่นนั้นก็ไปเริ่มงานกับอาโต๋วตั้งแต่พรุ่งนี้เลยแล้วกันนะ”
“ได้ ตกลงตามนี้” ฉู่ชิงเฟิงรับคำหนักแน่น จนบ่าวทุกคนที่อยู่ที่นั่นรู้สึกได้ถึงพลังบางอย่างที่แฝงมาในน้ำเสียง แล้วบังเกิดความรู้สึกเชื่อถือคนแปลกหน้าอย่างเขาขึ้นมาพร้อมกันอย่างประหลาด
กระทั่งหลินเสี่ยวหรานยังรู้พอใจ ใบหน้างดงามจึงกลับมามีรอยยิ้มอีกครา “เอาล่ะ หมดเรื่องแล้ว เจ้าก็ไปพักผ่อนให้เต็มที่เถิดอาเปา พรุ่งนี้จะได้มีแรงช่วยอาโต๋วทำงาน”
ฉู่ชิงเฟิงมิได้อิดออด เขากล่าวอำลาหลินเสี่ยวหราน แล้วเดินกลับไปยังห้องพักอย่างสบายใจ โดยไม่มิได้รู้ถึงชะตากรรมของตนเองนับจากนี้
[1] เปิดประตูเห็นภูเขา หมายถึง พูดหรือแสดงออกแบบตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม
หลังจากจัดการกางเกงของตัวเองเรียบร้อยแล้ว บุรุษที่เต็มไปด้วยแรงปรารถนาพลันแทรกกายลงตรงกลางหว่างขาเรียว เขาลูบไล้เนินเนื้อเกลี้ยงเกลาอย่างพออกพอใจ แล้วค่อยๆ ขยับเข้าประชิดร่างบาง ดุนดันสะโพกส่งตัวตนเข้าไปพิชิตเส้นทางสู่สวรรค์หลินเสี่ยวหรานกรีดร้อง เมื่อถูกแท่งเพลิงร้อนลวกชำแรกความสาวเป็นครั้งแรก มันทั้งเจ็บทั้งตึงไปหมดจนไม่อาจกลั้นหยาดน้ำตาเอาไว้ได้“อาเปา ขะ…ข้าเจ็บ”“อดทนอีกนิดนะ อีกประเดี๋ยวเจ้าจะรู้สึกดีขึ้น ดีเหมือนได้ขึ้นสวรรค์เชียวล่ะ” ฉู่ชิงเฟิงล่อลวง พลางขยับสะโพกเข้าออกช้าๆ พรมจูบทั่วดวงหน้างามผุดผาด รวมไปถึงกลีบปากเล็กน่ารักที่เอาแต่ร้องเรียก “อาเปา อื้อ อาเปา” ไม่หยุดหลินเสี่ยวหรานสั่นสะท้านไปทั้งร่าง นางทั้งเจ็บทั้งเสียดเสียว เมื่อเขาเร่งจังหวะตอกสะโพก บดเบียดลำกายจนเส้นทางรักร้อนฉ่า แต่ละครั้งที่เสาหลักแห่งเลือดเนื้อตอกตรึงเข้าหามันทั้งแรงขึ้นและลึกขึ้น กระทั่งความเป็นชายสอดลึกสุดเส้นทางสวรรค์ได้สำเร็จ“อื้อ…อาเปา”“รู้สึกดีแล้วใช่ไหมภรรยาข้า” เขากระซิบถามเสียงพร่า เมื่อรู้สึกได้ถึงความอิ่มเอมในน้ำเสียงนาง และแน่นอนว่าตอนนี้เขาเองก็รู้สึกดีที่ถูกความแน่นหนึบของนางตอดรั
“ที่แท้เจ้าก็คืออาเปา” ริมฝีปากอิ่มยกยิ้มบางเบา เมื่อรู้แน่ชัดแล้วว่าผู้มีพระคุณของนางเป็นผู้ใด“ข้าต้องขออภัยด้วยที่เป็นเพียงคนไร้หัวนอนปลายเท้า มิใช่คุณชายสูงศักดิ์ที่ไหน”“เจ้าไม่ผิดหรอกอาเปา ถ้าไม่มีเจ้าข้าคงโดนกระทำย่ำยีเยี่ยงสัตว์เดรัจฉานตัวหนึ่งไปแล้ว” หลินเสี่ยวหรานตอบเสียงเบาหวิว ฤทธิ์ยาทำให้ร่างกายนางอ่อนเปลี้ยราวกับไร้กระดูก ดวงตาพร่าลายไปหมด“เหลือเวลาไม่มากแล้ว คุณหนูหลินตัดสินใจเถอะ”แม้เขากับนางแทบไม่ได้พูดคุยกัน แต่ตลอดสองเดือนที่ผ่านมาเขาขยันตั้งใจทำงาน และคอยช่วยเหลือคนในบ้านสวนสกุลหลินอยู่เสมอ ถึงบางครั้งหลินอ้ายจะทำตัวไม่น่ารัก เขาก็มิได้ถือสา จนล่าสุดก็เพิ่งทวงความยุติธรรมให้กับงานตัดเย็บที่ทำขึ้นอย่างยากลำบากของนาง เห็นได้ชัดว่าเนื้อแท้เขามีจิตใจที่ดี ขยันอดทน ไม่โอ้อวด ซึ่งเป็นคุณสมบัติของบุรุษที่มีการศึกษาและถูกอบรมสั่งสอนมาอย่างดี ต่อให้ตอนนี้เขาจะความจำเสื่อม แต่ฐานะที่แท้จริงคงไม่ด้อยนัก ร้ายที่สุดก็คงไม่พ้นตระกูลพ่อค้าวาณิช[1] ในเมื่อเกาอี้ซินกลัวเหลือเกินว่านางจะได้ดิบได้ดีเกินหน้าเกินตาหลินผู่ซิน และนางก็ยังอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป การเลือกอาเปามาเป็นสามีคงจ
หลินเสี่ยวหรานที่กำลังหมดหวัง เห็นเงาสายหนึ่งพุ่งเข้ามา หลังจากนั้นนางก็ถูกใครบางคนพาตัวเข้าไปยังความมืดหลังแนวไม้ นางพยายามมองใบหน้าของคนที่มาช่วยนางจากปากเหว แต่ต้นไม้ใบหนาทึบเกินกว่าแสงจันทร์จะลอดเข้ามาให้เห็นได้ชัดเจน ในใจนางรู้สึกทั้งซาบซึ้งและนึกขอบคุณ แต่ถึงอย่างนั้นนางก็รู้สึกไม่วางใจอย่างบอกไม่ถูก“ทะ...ท่านเป็นใคร”“...” ฉู่ชิงเฟิงไม่ตอบ เพราะตอนนี้เขากำลังเพ่งสมาธิไปเบื้องหน้า เพราะจับสัมผัสได้ว่ามีคนตามมาจากด้านหลัง ถึงฝีเท้าจะไม่เร็วมากนักเพราะบาดเจ็บ แต่ความเร็วระดับนี้ย่อมหมายความว่าอีกฝ่ายเป็นคนมีฝีมือ หากเทียบกับอ๋องที่แค่อยากตั้งใจเรียน แต่ไม่ชอบฝึกวรยุทธเยี่ยงเขา นับว่าอยู่คนละชั้น มิหนำซ้ำตอนนี้เขายังมีสตรีที่น่าจะโดนวางยาอยู่ในอ้อมอก มองยังไงก็เสียเปรียบเต็มประตู เช่นนั้นก็ไม่ควรอวดเก่ง แต่ควรหาที่ซ่อนตัวจนกว่าจะปลอดภัยต่างหาก“ไม่ว่าท่านจะเป็นใคร ก็เป็นผู้มีพระคุณของข้าแล้ว”“อืม” เขาขานรับในลำคอ แล้วพุ่งไปเบื้องหน้า ไม่กล้าลดความเร็วลงแม้แต่นิดเดียว แต่มองไปทางใดก็ยังไม่เจอจุดที่น่าจะหลบซ่อนตัวได้ และเขาที่เพิ่งใช้วิชาตัวเบาอย่างเต็มที่เป็นครั้งแรกในชีวิต ก็เริ่
อีกด้านหนึ่งฉู่ชิงเฟิงที่คิดถึงเนื้อจนทนไม่ไหวตัดสินใจซ่อมธนูสำหรับล่าสัตว์ที่ถูกทิ้งไว้ในห้องเก็บเครื่องมือ เพื่อออกไปล่ากระต่ายป่า แล้วเขาก็ค้นพบว่าการเคลื่อนไหวของเขาคล่องแคล่วว่องไวขึ้น อีกทั้งกล้ามเนื้อแขนก็แข็งแกร่งจนง้างธนูได้สบายกว่าเดิมมากดูเหมือนการทำงานหนักในบ้านสวนสกุลหลินจะไม่ได้มีแต่มุมเลวร้าย เพราะตอนนี้เขากลายเป็นหนุ่มรูปงาม ร่างกายแข็งแรงกำยำจนสตรีใจสะท้านไปแล้ว ดูได้จากสายตาหญิงสาวที่เขาพบเจอที่ตัวอำเภอ จะมีก็แต่คุณหนูใหญ่สกุลหลินผู้เดียวที่ไม่รู้สึกรู้สา แล้วยังใจร้ายกับเขาไม่เลิกราในเมื่อนางคิดแต่จะทำให้เขาทนอยู่ที่นี่ต่อไม่ไหว เขาก็จะช่วยเหลือตัวเองโชคดีที่เขาชอบยิงธนู เพราะมันไม่จำเป็นต้องเคลื่อนไหวเยอะเหมือนพวกวิชากระบี่ แต่ด้วยเป็นคนร่างใหญ่อ้วนท้วนทำให้เขาขยับตัวบนหลังม้าได้ไม่คล่อง ส่งผลให้ผลงานการล่าสัตว์รั้งท้ายพี่น้องอยู่ทุกปี ผิดกับพวกเป้านิ่ง ซึ่งฝีมือของเขาถือเป็นอันดับหนึ่งในบรรดาองค์ชาย แต่ก็มักถูกด้อยค่าด้วยคำพูดที่ว่าแค่ยืนยิงธนูอยู่กับที่จะไปมีประโยชน์ใช้สอยอะไรทว่าวันนี้เขาเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมร่างกายที่เคยอ้วนท้วนอุ้ยอ้าย ตอนนี้แข็งแรงกำย
“ถึงบ่าวจะโง่เขลา แต่ใช่จะไม่รู้อะไรเลย ป่านนี้ชื่อเสียงของท่านคงถูกฮูหยินกับคุณหนูสี่ทำลายจนแทบไม่เหลือชิ้นดี แล้วแบบนี้จะไม่ให้บ่าวโกรธแค้นพวกเขาแทนท่านได้เยี่ยงไร”“พวกนางอยากทำอะไรก็ให้ทำไป เพราะสำหรับข้าในตอนนี้ ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการรักษาร่างกายให้หายดี”“ท่านถูกรังแกถึงเพียงนี้ เหตุใดถึงไม่เล่าให้ทางสกุลกัวฟังเล่าเจ้าคะ ถ้าให้เหล่าไท่จวินที่คนต่างเคารพนับถือช่วยออกหน้า จะต้องทวงความยุติธรรมคืนให้คุณหนูได้อย่างแน่นอน”“เพราะข้าแซ่หลิน มิได้แซ่กัว อีกอย่างท่านป้าสะใภ้กับท่านยายมีบุญคุณที่เลี้ยงดูข้าจนเติบใหญ่ ข้ามิอาจให้พวกท่านเหล่านั้นถูกคนตำหนิเอาได้ว่าก้าวก่ายเรื่องของคนสกุลอื่นโดยไม่จำเป็น”“โถ่ คุณหนู”“หลินอ้าย ถ้าทุกอย่างมันง่ายปานนั้น ข้าคงไม่ต้องมารักษาตัวไกลถึงจงมู่”“บ่าวกลัวเหลือเกินว่าฮูหยินจากสกุลเกาผู้นั้นจะจัดการให้ท่านแต่งกับบุรุษเสเพล ไร้ชื่อเสียง ไร้อนาคต” หลินอ้ายเป็นกังวลแทนเจ้านาย เพราะสตรีที่มีข่าวลือว่าร่างกายอ่อนแอมักไม่มีตระกูลใหญ่ต้องการ“พอได้แล้ว ข้าอยากแช่ตัวเงียบๆ” ใช่ว่าหลินเสี่ยวหรานจะไม่คิดอะไรเลย จึงอดหงุดหงิดไม่ได้“บ่าวผิดไปแล้วเจ้าค่ะ”“คืนน
หลินเสี่ยวหรานได้รับการอบรมจากป้าสะใภ้ และเหล่าไท่จวินผู้เป็นยาย เติบโตมาเป็นดรุณีที่งดงามทั้งกิริยามารยาท งานบ้านงานเรือนล้วนจัดการได้ดี กระทั่งอายุได้สิบสามปีบิดาก็มาเจรจาขอนางคืนจากสกุลกัวต่อให้ไม่อยากคืนเท่าไร ก็ทำไม่ได้ เพราะนางแซ่หลิน มิได้แซ่กัว ด้วยเหตุนี้นางจึงต้องออกจากปราการอันอบอุ่นปลอดภัยภายใต้ปีกของสกุลมารดา มาอยู่ภายใต้การปกครองของสตรีหน้าซื่อใจคดอย่างเกาอี้ซิน ชีวิตในฐานะคุณหนูใหญ่สกุลหลินที่ควรจะสดใสรุ่งโรจน์ และได้แต่งงานเข้าสกุลดีๆ กลับต้องจบลงด้วยการระเห็จมาอยู่ที่บ้านสวนในอำเภอเล็กๆ อย่างจงมู่ ทำให้บัดนี้หลินผู่ซินเฉิดฉายในฐานะคุณหนูภรรยาเอกจวนสกุลหลินเพียงผู้เดียวหลินเสี่ยวหรานได้แต่เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างรถม้าอย่างเลื่อนลอยพอกลับถึงบ้านสวนสกุลหลิน ฉู่ชิงเฟิงก็ช่วยอาโต๋วกับหลินอ้ายขนข้าวของเครื่องใช้และเสบียงที่ซื้อมาไปเก็บ เขาเหลือบมองห่อกระดาษเคลือบน้ำมันที่ภายในมีเนื้อหมูติดมันชิ้นโตอย่างมีความสุข เพราะเชื่อว่าหลินเสี่ยวหรานจะต้องซาบซึ้งเรื่องเงินห้าตำลึง แล้วยอมให้เขาได้กินเนื้ออย่างที่ควรจะเป็นในวันพรุ่งนี้ ทว่า...ไม่มี!“นี่มันอะไรกันเนี่ย” ฉู่ชิงเฟิงแ