บุรุษวัยกลางคนมองหน้าบุตรทั้งสองสลับกันไปมา ตั้งแต่หลิวตงส่งทูตออกไปเจรจากับหลัวหยางโหว เขาเองก็เป็นกังวลอยู่ตลอด ไม่ว่าคำตอบที่ได้จะเป็นอย่างไรก็ไม่สามารถทำให้จิตใจเขาสงบลงได้ ทางหนึ่งคือบุตรสาวอันเป็นที่รัก ส่วนอีกทางก็เป็นชาวเมืองหลิวผิง
หลิวตงรู้ดีว่าตั้งแต่บิดาของเขาตายจากไป เมืองหลิวผิงก็ไม่เรืองอำนาจเหมือนแต่ก่อน แต่เป็นเพราะบารมีของบิดา ที่ไม่เคยระรานเมืองใกล้เคียงและให้ความช่วยเหลือเสมอมา จึงไม่มีเมืองใดบุกมาโจมตี ทำให้เขาดูแลเมืองมาอย่างร่มเย็นถึง7ปี
แต่ตอนนี้ศัตรูแต่ก่อนเก่าเรืองอำนาจ และเริ่มไล่เก็บหัวเมืองต่าง ๆ ในละแวกใกล้เคียง ที่เคยหมายแย่งเมืองของเขาเมื่อเยาว์วัย ดังนั้นไหนเลยบุรุษผู้นี้จะนิ่งเฉยกับตระกูลที่เคยฆ่าปู่และบิดาของเขาได้ ไม่ช้าก็เร็วบุรุษหนุ่มย่อมต้องมาชำระหนี้แค้นครั้งนั้นเป็นแน่
ครั้นได้ยินคำตอบจากหลัวฮูหยินถึงการตกลงงานมงคลในครั้งนี้ ถึงความวิตกกังวลในสงครามจะวางลงได้ช่วงขณะหนึ่ง แต่ความรู้สึกผิดต่อบุตรสาวในฐานะบิดาก็หนักหนาสาหัสอยู่ไม่น้อย ถึงจะได้ยินคำพูดของบุตรสาวและบุตรชายที่ทำให้เขาเบาใจลง ทว่าความรู้สึกผิดที่ต้องให้บุตรสาวบุตรชายแบกรับภาระหน้าที่แทนตนเองที่ไร้ความสามารถ ยังคงจารึกอยู่ในใจ แม้จะได้ยินคำปลอบประโลมจากบุตรทั้งสองมากมายเพียงใด ก็ไม่อาจทำให้หลิวตงสลัดความรู้สึกนี้ออกไปได้
ครั้นหลิวหลิงลี่เห็นสีหน้าของบิดายังคงไม่คลายความเศร้า ทำให้หญิงสาวรู้ดีว่าบิดายังคงโทษตนเองอยู่ จึงได้พูดขึ้นมาอีก
“ท่านพ่อ ลูกทั้งสองเกิดในตระกูลเจ้าเมืองย่อมมีหน้าที่ของตน บัดนี้ลูกทั้งสองโตแล้วถึงเวลาที่ต้องทำหน้าที่ของตนได้แล้ว ท่านพ่ออย่าได้แบกรับปัญหาไว้แต่เพียงผู้เดียวอีกเลย ลูกทั้งสองจะช่วยแบ่งเบาภาระและความกังวลของท่านเอง”
หลิวตงมิมีคำพูดใด ได้แต่กอดบุตรสาวบุตรชายแล้วปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาแทนคำพูดมากมายที่อยู่ในใจ
เมืองอันหยาง
หลัวหยางถึงจะไม่พอใจที่มารดาของตนได้ตอบตกลงการแต่งงานครั้งนี้ แต่ในเมื่อมารดายืนยันว่าต้องแต่ง เขาก็ไม่กล้าที่จะหักหน้าและขัดขืนคำสั่งของมารดา หลัวหยางจึงจำใจต้องแต่ง
แต่ด้วยความแค้นคับอก บุรุษที่กระหายอยากสังหารมีหรือจะยินยอมอยู่กับสตรีที่เป็นลูกหลานของศัตรูอย่างสุขสงบได้ หลายวันมานี้หลัวหยางได้แต่คิดทบทวนแผนการที่จะจัดการกับว่าที่เจ้าสาวและตระกูลของนาง เพราะแผนการก่อนหน้าที่วางไว้ ไม่สามารถดำเนินการได้อีกแล้ว
เดิมทีหลัวหยางวางแผนว่าหลังจากทำศึกรวบรวมหัวเมืองใกล้เคียงทั้งหมดได้สำเร็จแล้ว เขาจะยกทัพใหญ่โจมตีเมืองหลิวผิง ฆ่าคนตระกูลหลิวนำเลือดมาเซ่นไหว้ให้กับท่านปู่และบิดาอันเป็นที่รัก แต่ในเมื่อมารดาของเขารับปากแต่งงานสานสัมพันธ์ไปแล้ว บัดนี้เขาจึงทำได้เพียงต้องเลื่อนแผนการที่จะเอาเลือดของคนสกุลหลิวมาเซ่นไหว้ออกไปก่อน แต่ต้องมีสักวันที่เขาจะได้ใช้แผนนี้กับคนตระกูลหลิว
แต่ในขณะที่เขานั้งคิดวิธีทรมานหญิงสาวและคนสกุลหลิวให้ตายทั้งเป็นที่บังอาจมาใช้วิธีต่ำช้ากับเขาเช่นนี้ พ่อบ้านจวนหลัวโหวก็มาขอเข้าพบ
“ท่านโหวขอรับ ฮูหยินให้ข้าน้อยมาแจ้งท่านว่า อีกสองเดือนข้างหน้าวันที่8ถือเป็นวันมหามงคล ซึ่งเหมาะกับการแต่งงาน ในเมื่อจัดงานกระชั้นชิดฮูหยินจึงขอให้ท่านโหวจัดเตรียมแม่ทัพและกำลังคน เพื่อส่งสินสอดไปยังเมืองหลิวผิงในวันพรุ่งนี้ด้วยขอรับ ส่วนเรื่องสินสอดฮูหยินได้จัดการไว้ให้เรียบร้อยแล้วขอรับ”
พ่อบ้านจวนหลัวโหวกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเทา เพราะเขารู้ดีว่าหลัวหยางโหวจะต้องโกรธมากเป็นแน่ เนื่องจากไม่เพียงถูกบีบบังคับให้แต่งงาน แต่หลัวฮูหยินยังเร่งงานมงคลเข้ามาอีก
“ท่านแม่ช่างเตรียมการได้ดี” หลัวหยางโหวได้ยินพ่อบ้านจวนหลัวโหวเอ่ย ก็ได้แต่เก็บอารมณ์เอาไว้ ทว่าน้ำเสียงและสีหน้ากลับฉายชัดถึงโทสะที่พลุ่งพล่านอยู่ในอก
โดยปกติการเกี่ยวดองระหว่างตระกูลเก่าแก่เรืองอำนาจต้องยึดถือหกพิธีตามที่สืบทอดกันมา ตั้งแต่ทาบทามสู่ขอจนถึงขั้นตอนสุดท้าย โดยทั่วไปต้องใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งปี แต่หลัวฮูหยินกลัวบุตรชายจะใช้เล่ห์เหลี่ยมเลยจัดให้มีงานมงคลโดยเร็วที่สุด
เนื่องจากหลัวฮูหยินจะต้องเดินทางไปร่วมงานครบรอบวันตายของบิดาที่เมืองเฉิน ก่อนหลัวฮูหยินจะเดินทางจึงได้จัดการเรื่องสินสอดที่จะส่งไปให้เจ้าสาว นอกจากจะเป็นการทำเพื่อไม่ให้บุตรชายของตนยกเลิกงานแต่ง ยังเป็นการแจ้งให้ฝ่ายเจ้าสาวได้เตรียมตัวอีกด้วย
“เจ้ากลับไปบอกท่านแม่เถอะ ว่ามิต้องเป็นห่วงข้าจะให้แม่ทัพห่าวซวนเป็นคนคุมสินสอดไปยังเมืองหลิวผิง และส่งมอบให้เรียบร้อยโดยเร็ว” หลัวหยางเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่แววตากลับฉายแววเจ้าเล่ห์ออกมา
พ่อบ้านจวนหลัวโหวที่ยืนตัวแข็งมาตั้งนานรีบโค้งรับแล้วเดินออกไปทันที เหล่าแม่ทัพทั้ง4ของหลัวหยางโหวที่อยู่ด้านหน้าค่ายทหาร เห็นสีหน้าของพ่อบ้านจวนหลัวโหวมีเหงื่อซึมออกมาก็อดที่จะซักถามไม่ได้ แต่เพียงได้ยินพ่อบ้านจวนหลัวโหวเล่าทุกคนก็ไม่นึกแปลกใจอีกเลย
เหล่าแม่ทัพจากที่มีสีหน้ายิ้มแย้ม บัดนี้กลับซีดไร้สีสัน เพราะมิรู้ว่าตนเองจะถูกหางเลขกับเรื่องนี้ด้วยหรือไม่ เนื่องจากครั้งก่อนที่หลัวหยางโหวรู้ว่าจะต้องแต่งงานกับคนตระกูลหลิว พวกเขาต่างกลายเป็นที่รองรับอารมณ์ของหลัวหยางโหวอยู่ตั้งหลายวัน
นายทหารคนหนึ่งวิ่งเข้ามาหาแม่ทัพทั้งสี่ก่อนเอ่ย “แม่ทัพห่าวซวนขอรับ ท่านโหวเรียกหาขอรับ”
แม่ทัพห่าวซวนหันมองเหล่าสหายทั้งสามด้วยแววตาสิ้นหวัง ส่วนแม่ทัพคนอื่น ๆ ทำได้แค่ยิ้มแห้ง ๆ เป็นกำลังใจให้สหาย ห่าวซวนก้มหน้าก้มตารับชะตากรรมเดินตามนายทหารผู้น้อยไปพบหลัวหยางโหว
แต่เมื่อห่าวซวนได้พบหน้ากับหลัวหยาง ทุกอย่างที่เขาคาดเอาไว้กลับไม่เป็นอย่างที่คิด เพราะสีหน้าและน้ำเสียงของหลัวหยางโหว กลับไม่มีท่าทีของคนกำลังมีโทสะอยู่เลยแม้แต่น้อย
“เจ้ามาใกล้ ๆ ข้าหน่อย ข้ามีเรื่องสำคัญให้เจ้าไปทำ” หลัวหยางรอให้แม่ทัพหนุ่มเข้ามาใกล้ ๆ ก่อนจะเอ่ยแผนการของตนให้แม่ทัพห่าวซวนฟัง
ครั้นแม่ทัพหนุ่มได้ฟังคำสั่งจากผู้เป็นนายดวงตาถึงกับเบิกโต เพราะการกระทำเช่นนี้ถือว่าเป็นการหยาบเกียรติฝ่ายหญิงไม่น้อย
ประตูเมืองหนานเหลียนกองทัพทหารของเมืองอันหยางบวกกับกองทัพทหารของเมืองหนานเหลียนบางส่วน ตั้งทัพที่นอกประตูเมืองเรียบร้อยพร้อมเดินทางไปทำศึกในครั้งนี้ เวลานี้นายทหารทุกคนรอเพียงแม่ทัพใหญ่ทั้งสามกับกุนซือและหลัวหยางโหวมานำทัพเท่านั้น กองทัพร่วมแสนนายก็จะเคลื่อนกองกำลังไปยังเมืองฟางตงทันทีหลังจากหลัวหยางโหวได้เอ่ยฝากฝังขุนนางที่จะเดินทางมารับตำแหน่งเจ้าเมือง กับเหล่าขุนนางและแม่ทัพของเมืองหนานเหลียนเสร็จแล้ว หลัวหยางก็ขึ้นหลังม้าพร้อมที่จะนำทัพออกจากเมืองทว่าเพียงผู้นำทัพขึ้นหลังม้า กลับมีรถม้าคันหนึ่งพยายามจะเข้ามาใกล้กลุ่มเหล่าขุนนางที่หลัวหยางโหวเพิ่งหารือไป แต่โชคดีที่ทหารสกัดรถม้าคันนั้นเอาไว้เสียก่อน“พวกเจ้ากล้าขวางรถม้าของฮูหยินท่านโหวอย่างนั้นหรือ?” ฟางเซียวที่ขี่ม้าตามมาทีหลัง เอ่ยเสียงแข็งกร้าวดังกังวาน เมื่อเห็นว่ามีทหารมาล้อมรถม้าของหลิวหลิงลี่เอาไว้เพียงได้ยินว่าคนข้างในคือ ‘ฮูหยินของท่านโหว’ เหล่าทหารก็ลดอาวุธลงอย่างรวดเร็วหลัวหยางโหวรวมถึงผู้ติดตามทั้งสี่คนที่จะไปออกรบกับเขาที่เมืองฟา
หลังจากที่หลิวหลิงลี่ตัดสินใจทำตามแผนการของจงเอ่า หญิงรับใช้อายุมากกว่าก็ให้เสี่ยวหลี่ไปเลือกชุดสีชมพูอ่อน พร้อมเครื่องประดับไม่กี่ชิ้นให้ผู้เป็นนายหญิง ส่วนสตรีอายุมากที่สุดเป็นคนลงมือแต่งหน้าให้กับหลิวหลิงลี่ด้วยตนเองจงเอ่าจงใจแต่งหน้าให้หลิวหลิงลี่ราวกับคนที่พักผ่อนไม่เพียงพอ หญิงรับใช้แต่งแต้มสีปากให้นายหญิงด้วยสีชมพูอ่อน ก่อนใช้ผงแป้งทาทับลงเล็กน้อย ให้ริมฝีปากซีดลงอย่างเป็นธรรมชาติ ก่อนจะเขียนคิ้วเป็นขั้นตอนสุดท้ายเมื่อแต่งตัวแต่งหน้าเสร็จแล้ว หญิงรับใช้ทั้งสองก็รีบพาหลิวหลิงลี่ไปขึ้นรถม้าเพื่อจะไปส่งหลัวหยางโหวที่ประตูเมืองหนานเหลียน แต่ทว่ากลับถูกฟางเซียวรั้งเอาไว้“ฮูหยินจะไปไหนขอรับ” ฟางเซียวเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้ม นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นหลิวหลิงลี่โดยไม่มีสิ่งใดปิดบังใบหน้า ความงามของนางสมกับคำเล่าที่เขาได้ยินมาจากแม่ทัพห่าวซวนหลิวหลิงลี่มองหน้าฟางเซียวด้วยความงุนงง เพราะนางมิเคยเห็นหน้าของบุรุษผู้นี้มาก่อน เนื่องจากปกติหลัวหยางโหวจะส่งห่าวซวนมาตลอด“ท่านนี้คือแม่ทัพฟางเซียวเจ้าค่ะ” เสี่ยวหลี่เห็นสีหน้าของหลิว
วันต่อมาหลัวหยางโหวไปยังค่ายทหารตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง เพื่อสั่งให้กองทหารเตรียมตัวเคลื่อนกำลังพลออกจากเมืองหนานเหลียนไปสมทบกับกองกำลังทหารที่จะบุกโจมตีเมืองฟางตง ทั้งที่เดิมทีเขาคิดจะเคลื่อนทัพในอีกสามวันข้างหน้า เพราะจะรอให้ขุนนางจากเมืองอันหยางที่เขาเลือกให้เป็นเจ้าเมืองหนานเหลียนมาถึงเสียก่อนสาเหตุที่เขาออกจากเมืองหนานเหลียนเร็วกว่ากำหนด เป็นเพราะเขาอยากหลบหน้าสตรีแซ่หลิว เนื่องจากเมื่อคืนนี้ หลัวหยางโหวนอนไม่หลับแทบทั้งคืน เพราะเพียงแค่เขาหลับตาลงก็เห็นใบหน้าของนางลอยมา ต่อให้สาเหตุอาจมาจากฤทธิ์สุรา แต่การไม่พบหน้าของหลิวหลิงลี่ในยามนี้คงดีต่อใจเขามากกว่าการไปรบกับเมืองฟางตงครั้งนี้ หลัวหยางโหวมิได้ให้แม่ทัพน้อยฟางเซียวตามทัพไปด้วย แต่กลับให้หนุ่มน้อยคุ้มกันหลิวหลิงลี่กลับไปยังเมืองอันหยาง เพื่อให้นางไปรับหน้ามารดาของเขาที่จะกลับมาจากเมืองเฉิน หลังจากเขากลับมาจากเมืองฟางตง มารดาของเขาก็คงจะสงบใจลงไปได้ไม่มากก็น้อยส่วนเมืองหนานเหลียนแห่งนี้ หลัวหยางโหวเห็นว่าคืนที่เขาฉลองกับเหล่าทหาร เหล่าขุนนางกับเหล่าทหารของเมืองหนานเหลียนก็ไม่มีทีท่าจะตลบหลังเขา ดังนั้น
หญิงสาวที่มักนอนต่างที่ไม่ค่อยหลับ แต่วันนี้กลับนอนหลับสนิทราวกับที่นี่คือห้องนอนของตนเอง นั่นอาจเป็นเพราะกลิ่นกายของบุรุษเจ้าของห้องที่ติดอยู่บนเตียงนอน ที่ทำให้สตรีอาภรณ์แดงรู้สึกผ่อนคลายปลอดภัย นางจึงนอนหลับได้สนิททั้งที่มิใช่เตียงนอนของตน จนไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงเปิดประตูเพียงหลัวหยางโหวก้าวเท้าเข้ามาภายในห้องหอก็ต้องพบเจอกับความผิดหวัง เพราะที่เขาหวังไว้นั้นคือภาพที่หญิงสาวนั่งรอเขาเข้ามาในห้องหอจนร่างกายเกิดเหน็บชา หรือไม่ก็เห็นเจ้าสาวของเขานั่งร้องห่มร้องไห้ เนื่องจากถูกเขาเหยียบหยามที่จัดงานแต่งให้นางไม่สมฐานะแต่ทว่าภาพที่เขาได้เห็นอยู่ในตอนนี้ กลับเป็นภาพที่หญิงสาวชุดสีแดงนอนตะแคงหลับตาสนิทอย่างไร้ความกังวลใด ๆ ราวกับนางต่างหากที่ไม่ได้อยากร่วมหอกับเขา ดังนั้นเขาจะมาหรือไม่มาก็หาใช่เรื่องสำคัญสำหรับนางไม่หลัวหยางโหวก้าวเท้ายาวเข้าไปใกล้เตียงนอน ก่อนจะเอื้อมมือไปจับแขนเสื้อของสตรีที่นอนอยู่บนเตียงแล้วออกแรงกระตุกเบา ๆ สองสามทีด้วยแรงดึงชายแขนเสื้อทำให้หญิงสาวรู้สึกตัวแต่ทว่านางก็ยังมิยอมตื่น นางหมุนตัวหนีเข้าไปด้านในของเตียง แต่ทว่ามีหรือบุร
ท่ามกลางเสียงประกาศของกุนซือที่ทำหน้าที่เป็นผู้ดำเนินงาน หลิวหลิงลี่เดินไปอย่างไม่ช้าไม่เร็วโดยมีเสี่ยวหลี่กับจงเอ่าคอยนำทาง นางเดินมาหยุดฝีเท้าที่ด้านหน้าของบุรุษหนุ่มชุดแดงหลัวหยางโหวเมื่อเห็นสตรีที่มาจากตระกูลของศัตรูเดินมาหยุดที่หน้าของตนเอง ก็ใช้สายตามองนางตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะเชิดหน้าใส่นาง ถึงเจ้าบ่าวผู้เย่อหยิ่งจะทำเมินใส่สตรีชุดเจ้าสาว ทว่าในใจเขากลับยอมรับว่ารูปร่างของนางเย้ายวนใจบุรุษได้ดี และเมื่อหลิวหลิงลี่มายืนใกล้ ๆ ก็ยิ่งทำให้เขาเห็นว่านางตัวเล็กและบอบบางต่างจากเขามากเพียงใดหลิวหลิงลี่ที่ได้เห็นหลัวหยางโหวเป็นครั้งแรกก็รู้สึกไม่พอใจกับสายตาที่เขามองมานัก แต่ต้องยอมรับว่าเขาเป็นบุรุษหนุ่มรูปงาม คิ้วคมจมูกเป็นสันรับกับใบหน้า รูปกายสูงกำยำ หัวไหล่ผายหน้าอกกว้างดูองอาจ เสียแต่สายตาที่ดูดุดันและท่าทางเหยียดหยามผู้อื่นทำให้ใบหน้าดูเย็นชาไม่น่าเข้าหาเมื่อจบพิธียิบย่อยแล้วก็มาถึงพิธีผูกเงื่อนผม ผู้ติดตามตัดปอยผมของเจ้าบ่าวเจ้าสาวมาผูกเข้าด้วยกัน เสร็จแล้วทุกคนที่อยู่ในห้องโถงต่างกล่าวแสดงความยินดีเมื่อเสร็จพิธีการทั้งหมดที่ห้องโถง หลิวหลิงล
นายทหารทุกคนต่างพากันร้องเฮอย่างดีอกดีใจจนดังกึกก้องทั่วค่ายทหาร ก่อนจะลุกขึ้นโค้งตัวพลางกล่าวขอบคุณหลัวหยางโหวพร้อมกันเสียงดังแต่เพียงช่วงไม่กี่ลมหายใจทุกคนต่างเงียบเสียงลง ราวกับว่าตอนนี้ในค่ายทหารไร้ผู้คน เมื่อทุกคนเห็นหลัวหยางโหวก้มหน้าลงมองพื้น แต่ทว่าเพียงครู่เดียวเขาก็เงยหน้าขึ้นแล้วรินสุราลงพื้นพลางกล่าวอย่างโศกเศร้า“สุรานี้ข้าขอใช้คารวะเหล่าสหายทหารที่สูญเสียจากการทำศึกอันยาวนานที่ผ่านมา ที่ยอมเสียสละชีวิตเพื่อปกป้องแผ่นดินและผู้คนที่อยู่เบื้องหลัง”เมื่อผู้เป็นนายกล่าวจบทุกคนต่างพากันรินสุราตามหลัวหยางโหว และก้มหน้าเงียบอยู่ครู่หนึ่ง เพื่อไว้อาลัยให้ผู้ล่วงลับ ก่อนที่ท่านกุนซือจะเดินมายืนอยู่ด้านข้างหลัวหยางโหว และกล่าวกับทุกคนที่อยู่ในค่าย“เราระลึกถึงผู้ที่จากไปได้ แต่อย่าจมอยู่กับความเศร้าโศกนานนัก ไม่เช่นนั้นจะทำผิดต่อผู้ที่เสียสละชีวิตเพื่อปกป้องเรา ดังนั้นพวกเราควรใช้ชีวิตให้ดี มีความสุขให้มาก เพื่อทำให้ผู้ล่วงลับจากไปอย่างสงบสุข”ทุกคนที่ได้ยินต่างพยักหน้าเนิบนาบรับรู้ ท่านกุนซือจึงหันไปมองหลัวหยางโหว เพรา