เข้าสู่ระบบ“ค่ะ ได้เดี๋ยวไปตามนัดค่ะ ขอบคุณนะคะ”
เสียงหวานเจือสั่นเครือเล็กน้อยเพราะรู้สึกไม่ค่อยสบายตัวเท่าไหร่นักพูดจบก็วางสายลงทันที ดวงตาที่ฉายแววอ่อนล้ามีประกายเล็กน้อย แต่ก็หายไปอย่างรวดเร็ว ก่อนที่หล่อนลุกออกจากเตียงนอนโล่ง ๆ ตรงไปยังประตูห้องนอน ทันทีที่เปิดออกแสงแรกของยามเช้าก็ส่องเข้ามาเผยให้ดวงหน้าหวานที่ตอนนี้ดูซีดกว่าเมื่อคืนเสียอีก อัจฉราหายใจเข้าเบา ๆ รับเอาไอดินหลังจากฝนตกหนักเมื่อคืนเข้าปอดเบา ๆ แล้วจึงออกไปจากห้องคนใช้เงียบ ๆ ตอนนี้ยังเช้ามาก ยังไม่มีใครตื่น ตะวันพึ่งจะขึ้นพ้นฟ้าได้ไม่นานแต่ก็ใช่ว่าจะสดใสอย่างที่ควรจะเป็น แม้พายุจะผ่านไปแล้วแต่ท้องฟ้ายังคงอึมครึมด้วยเมฆสีเทา อัจฉรากับกระเป๋าเป้ใบเก่งสะพายไหล่ เดินตรงเข้าไปในห้องครัวก่อนที่จะออกไปอย่างที่ตั้งใจ หญิงสาวตรงไปยังอ่างล้างจาน เธอถอดปิ่นโตใบน้อยออกจากเถา เผยให้เห็นภาชนะที่เปื้อนคราบอาหาร ก่อนจะจัดการล้างน้ำยาเงียบ ๆ ตามด้วยน้ำเปล่าจนสะอาดเอี่ยม เสร็จแล้วก็เช็ดให้พอแห้งด้วยผ้าเช็ดจานผืนสะอาด ประกอบเข้ากลับทรงเหมือนเดิม เอาไปวางไว้บนเคาน์เตอร์หินอ่อนในจุดที่หล่อนคิดว่าน่าจะเด่นที่สุดแล้วหากเจ้าของมันมาเจอ... แม้ว่าจะไม่แน่ใจว่าเขาจะเห็นหรือเปล่าก็ตาม อัจฉราคิดแล้วก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาเบา ๆ เบื่อกับตัวเองเหมือนกันที่แม้แต่เรื่องเล็กน้อย ก็เก็บเอาไปคิด เอาไปหวังลม ๆ แล้ง ๆ เธอส่ายหัวไล่ความคิดไร้สาระออกไป ก่อนจะตัดสินใจใช้ประตูหลังครัวเป็นทางผ่านออกไปจากตัวบ้านเงียบ ๆ ในที่สุด ทว่าทันทีที่ได้สัมผัสกับอากาศเย็นเยือก กายสาวก็ขนลุกฮือไปทั้งตัว จนกลีบปากอิ่มต้องเม้มเข้าหากัน คิ้วขมวดแน่นจนแทบจะมัดกันเป็นปม ไหล่ห่อบางอย่างไม่รู้ตัว แต่ระหว่างทางเดินออกจากเขตของบ้านเลิศธารินทร์ ก็ไม่ลืมที่จะหยิบมือถือที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงชื้นออกมากพิมพ์ข้อความลางานส่งผู้เป็นนายหญิงของบ้านให้เรียบร้อย ก้มหน้าก้มตาพิมพ์โดยที่ไม่หันกลับไปมองข้างหลังเลยแม้แต่น้อย โดยที่ไม่รู้เลยว่าการกระทำของหล่อนได้ตกอยู่ในสายตานทีทั้งหมด ชายหนุ่มยืนกอดอกอยู่หลังหน้าต่างสูงจรดเพดานภายในห้องนอนที่ตกแต่งด้วยโทนสีเข้มและเนี้ยบแสดงออกถึงบุคลิกของผู้เป็นเจ้าของ ดวงตาคู่คมของเขาทอดมองออกไปผ่านรอยแยกของผ้าม่าน เขาเฝ้ามองการมีอยู่ของอัจฉราเงียบ ๆ ตลอดจนร่างของหล่อนหายลับไปจากสายตาหลังบานประตูเหล็กที่ปิดสนิทลง นทียืนอยู่ตรงนั้นเงียบ ๆ เขาตัดสินใจละสายตาไปมองทัศนียภาพที่มืดครึ้มของท้องฟ้าแทน ก่อนที่จะตัดสินใจออกจากห้องนอนไปเงียบ ๆ หลังจากใช้เวลาดื่มด่ำไปกับสิ่งต่าง ๆ เสียงฝีเท้าบนทางเดินหินอ่อนของเขาเบา แต่ทุกฝีก้าวล้วนหนักแน่นและทรงพลัง ชายหนุ่มเดินลงมาจากบันไดโดยที่ยังคงสวมชุดนอนจากเมื่อคืนวานอยู่ ทรงผมของเขาที่ปกติมักจะจัดทรงเนี้ยบตอนนี้ดูยุ่งนิด ๆ แต่ก็ยิ่งดึงเสน่ห์ดิบ ๆ ดูน่ามองยิ่งขึ้น ขณะที่เขาเดินตรงเข้าไปในส่วนของห้องครัวทันที เพราะรู้สึกว่าอยากดื่มกาแฟเสียหน่อย แต่เมื่อเขาเปิดไฟให้ทั้งห้องสว่าง ภาพที่เห็นก็ทำให้เผลอชะงักไปเล็กน้อย ริมฝีปากหยักได้รูปกระตุกยิ้มบางเบา พร้อมกันนั้นก็เดินเข้าไปหยุดยืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์กลางของครัว สายตาคู่เฉียบจ้องมองไปที่ปิ่นโตเถาน้อยไม่วางตา คราบน้ำที่ยังไม่แห้งสนิทดีบ่งบอกว่าพึ่งล้างเสร็จมาใหม่ ๆ อาหารจากอ้ายใจที่เขาต้องการจะกำจัดทิ้งเป็นปกติ เลยเลือกที่จะส่งต่อให้อัจฉรา... ดูเหมือนว่าเธอกินมันจนหมดไปแล้วจริง ๆ โดยที่ไม่รู้ตัวว่ามันไม่ใช่ของเขาสินะ นทียื่นมือออกไปคว้าปิ่นโตใบน้อยมาถือ สัมผัสของมันใต้ฝ่ามือส่งความรู้สึกเย็นเฉียบแต่ไม่ได้ทำให้เขาสะท้านแต่อย่างใด กลับกันแทนที่จะเอามาดูใกล้ ๆ หรือว่าเอาไปเก็บให้พ้น เขากลับเลือกที่จะโยนมันทิ้งลงไปในถังขยะใกล้ ๆ อย่างไม่ใส่ใจ เพราะสำหรับเขามันไม่ได้มีความหมายอะไรเลยแม้แต่น้อย... อาหารถูกจัดการไปแล้ว ภาชนะก็ไม่สำคัญอีกต่อไป “เมื่อคืนหายไปไหนมา” เสียงเย็นชาที่คุ้นหูเป็นอย่างดีดังขึ้นมาเงียบ ๆ ทำให้ร่างบางสะดุ้งสุดตัว อัจฉราหันหลังกลับไปมองอรไพลินผู้เป็นแม่ที่มายืนอยู่บนบันไดขึ้นสุดท้ายเมื่อไหร่ไม่รู้ การปรากฏตัวของอีกฝ่ายทำให้คนที่พึ่งจะกลับเข้าบ้านมาได้ไม่นาน และกำลังจะออกไปอีกรอบแล้วตกใจไม่น้อยเลย ถึงจะไม่ได้แสดงออกไปมากก็ตาม “เมื่อคืนลืมของที่บ้านใหญ่เลยแวะกลับไปเอาหลังเลิกพาร์ทไทม์ แล้วฝนมันดันตกหนักพอดี คุณนทีเขากลับมาเห็นเลยให้เนยนอนค้างห้องคนใช้ไปก่อน” อัจฉราตอบคำถาม หล่อนพูดยาวทีเดียวด้วยความจริงแทบจะไม่มี เธอไม่ได้ตั้งใจจะหลอก แต่เพราะเรื่องที่ว่าเข้าไปคุยกับเฮียโจ้... เจ้าหนี้ของพ่อ มันเป็นเรื่องที่หล่อนตัดสินใจเองโดยไม่ได้ปรึกษาก่อนเลยไม่ต้องให้อีกฝ่ายมารับรู้ อรไพลินขมวดคิ้ว แววตาฉายแววสงสัยระคนไม่เชื่อ แต่พอลูกสาวกล้าที่จะอ้างชื่อของ ‘นที’ สีหน้าที่คล้ายจะตำหนิเมื่อครู่ก็อ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังคงความหมางเมินเอาไว้ตามฉบับ แต่แล้วคิ้วโก่งดั่งคันศรก็ขมวดเข้าหากันอีกครั้งเมื่อสังเกตเห็นการแต่งกายของลูกสาวที่ผิดแปลกไปไม่เหมือนทุกวัน “แล้วนี่จะไปไหนอีก ไม่ไปทำงานหรือไงฮะ?” อัจฉราไม่แปลกใจเลยกับคำถามของอีกฝ่ายราวกับรู้อยู่แล้ว หล่อนเพียงแค่ก้มลงมองเสื้อผ้าของตัวเองที่ตอนนี้สวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนและกางเกงยีนเอวสูงสีฟ้าเข้ม ดวงหน้าสวยจัดที่บัดนี้แต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางอย่างประณีต ใช้กลบความล้าเอาไว้ได้มิดชิดเงยหน้ามองไปยังผู้เป็นแม่อีกครั้ง ทั้งยังแอบผ่อนลมหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนที่จะปริปากบอก “เนยลางานที่บ้านใหญ่แล้ว... เต็มวัน... ลาตรงกับคุณหญิงเลย เนยไปนะ” อัจฉราว่า หล่อนพูดจบก็ไม่รอคำตอบหรือคำตำหนิที่อาจจะได้ยินจากปากของผู้เป็นมารดาให้เสียฤกษ์แต่เช้าตรู่ ทิ้งอีกฝ่ายให้ยืนตาโตอย่างไม่พอใจที่อัจฉราตัดบทอย่างไม่ไว้หน้า มองดูลูกสาวแสนรักที่ตอนนี้เหมือนจะกลายเป็นลูกชังไปอีกคนหายไปจากสายตา ขณะที่อัจฉราสาวเท้าฉับ ๆ เดินออกไปตามทางในซอยอย่างรวดเร็ว อากาศชื้นและยังคงครึ้มเพราะพายุเข้าเมื่อคืนทำให้รู้สึกไม่สบายตัวนัก แต่อัจฉราไม่มีเวลามาสนใจอีกแล้ว หล่อนออกไปเรียกวินมอเตอร์ไซค์ที่เคยรังเกียจที่จะซ่อนนักหนาหน้าปากซอย แต่ตอนนี้ชินจนคล่องแคล่วเป็นขาประจำไปแล้ว คนขับวินเจ้าประจำที่คุ้นหน้ากันเป็นอย่างดีก็รีบขับออกจากท่า มาหยุดตรงหน้าพร้อมกับยื่นหมวกกันน็อกให้อย่างรู้งานทันที ไม่ลืมที่จะทักทายอย่างเป็นกันเอง “วันนี้ไปไหนแต่เช้าเลยเนี่ย? ไม่ไปพร้อมแม่เหรอ?” “มีงานด่วนค่ะ เลยออกมาก่อน เดี๋ยวพี่ไปส่งหนูสถานีรถไฟฟ้าหน่อยนะคะ ขอซิ่ง ๆ เลย เดี๋ยวคนเยอะหนูไปไม่อยากเบียด” อัจฉราตอบกลับพร้อมกับส่งยิ้มที่แทบจะกลืนไปกับสีหน้าเรียบเฉย พร้อมกับสวมหมวกกันน็อกไปด้วย เสร็จแล้วก็ขึ้นไปซ้อนท้ายพี่วินด้วยความคล่องแคล่วทันที “โอเคเลย! รีบแบบนี้พี่จัดซิ่ง ๆ ให้!” วินรับจ้างรับปาก รอจนกระทั่งผู้โดยสารขาประจำของตนนั่งจนมั่นคงดีแล้ว เขาก็ไม่รอช้าบิดรถออกไปจากหน้าปากซอยทันทีตามความประสงค์ของลูกค้าสาว สายลมชื้นหอบเอากลิ่นฝนจาง ๆ ตีเข้าใบหน้าจนเส้นผมสีแดงนอกหมวกบางส่วนพลิ้วไหวไปตามแรงลม แต่อัจฉราเป็นเรื่องปกติของผู้หญิงที่เคยรักสวยรักงามคนนี้ไปเสียแล้ว ระหว่างทางหล่อนนั่งได้มั่นคงแม้ว่าการจราจรจะแน่นหนาจนคนขับต้องขับซอกแซกไปมาแค่ไหนก็ตาม แต่หญิงสาวก็ทรงตัวได้อย่างดีเยี่ยม ต่างไปจากวันแรกของเธออย่างลิบลับที่แค่นั่งก็เกือบจะตกรถแล้ว ความต่างนี้เป็นเครื่องย้ำเตือนใจที่ชัดเจนที่สุดของอัจฉรา ตั้งแต่วันแรกจนวันนี้เธอไม่เคยลืมเลยว่าชีวิตตัวเองตกต่ำลงมาแค่ไหน ทำให้แม้แต่เรื่องง่าย ๆ มันก็ยังคอยย้ำเตือนใจกันเสมอมา ขณะที่กำลังปล่อยให้ความคิดล่องลอยไปกับภวังค์เพียงชั่วครู่ ด้วยการขับขี่ที่ชำนาญของวินมอเตอร์ไซค์ ในที่สุดล้อก็หยุดหมุนอยู่ใต้สถานีรถไฟฟ้าที่ตอนนี้กำลังเป็นชั่วโมงเร่งรีบของหลายชีวิตพอดี หล่อนลงจากรถพร้อมกับถอดหมวกส่งคืนไปให้พี่วินที่รอรับอย่างรู้ใจ โดยไม่ลืมที่จะจ่ายค่าโดยสารให้... นาทีที่เปิดกระเป๋ายอมรับว่าใจหายทุกที แต่ก็ได้แค่เก็บความรู้สึกนั้นเอาไว้ในใจ “ขอบคุณนะคะ พี่” อัจฉราจ่ายค่ารถเสร็จแล้ว ความเร่งรีบของผู้คนรอบข้างช่วยดึงเธอให้กลับคืนมาสู่ความเป็นจริงอีกครั้ง ไม่รอช้าที่จะเข้าไปรวมกับกลุ่มคนมากมายที่พบเห็นได้ในนาทีนี้ ทั้งวัยทำงาน เด็กนักเรียน หรือนักศึกษา ทุกคนต่างมีชีวิตที่ต้องดำเนินกันหมด เพียงแค่บทบาทอาจจะแตกต่างกันไปตามแต่ละตัวบุคคลเท่านั้น อัจฉราเร่งฝีเท้าจนมาถึงบันไดเลื่อน ทันทีที่หล่อนก้าวเท้าข้างหนึ่งขึ้นไปยืน ความรู้สึกวูบวาบประหลาดก็เข้ามาทักทายกันอย่างไม่ได้ตั้งใจ จนมือต้องรีบยื่นออกไปจับราวบันไดเลื่อนเอาไว้มั่น หมอกมืดเข้ามาบดบังการมองเห็นจนใจหายวาบ แต่โชคดีที่พาเท้าทั้งสองข้างขึ้นมาเหยียบขั้นบันไดได้ทัน หญิงสาวยืนนิ่ง ตอนนี้หล่อนไม่รู้ว่ากำลังลืมตาอยู่หรือว่าหลับตากันแน่ พยายามหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อกำหนดลมหายใจ ยืนนิ่ง ๆ จนในที่สุดการมองเห็นก็กลับมาเป็นปกติ อัจฉราถึงกับต้องถอนหายใจออกมาเบา ๆ อย่างช่วยไม่ได้ กะพริบตาถี่ ๆ ไล่ความรู้สึกพร่าเลือนออกไป แต่เหมือนจะรู้ตัวว่าการพักผ่อนน้อยติดต่อกันหลายวันและความเครียดสะสมจะออกอาการมาเล่นงานกันเสียแล้ว อัจฉรากลืนน้ำลายอึกใหญ่ ตั้งสติให้มั่น แม้ว่าจะเริ่มรู้สึกล้าชัดเจนขึ้นกว่าเก่ามากก็ตาม แต่ตอนนี้ยังไม่ได้... เธอมีงานที่ต้องไปทำต่อ เป็นงานที่คนรู้จักอุตส่าห์ช่วยหาให้อีกแรงด้วย หากหายไปเฉย ๆ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามมีหวังได้ถูกมองไม่ดีแน่ จนครั้งหน้าเขาไม่อยากจะช่วยขึ้นมาเธอจะซวยเอา หญิงสาวยึดความคิดนี้ มันอาจจะสุดโต่งไปบ้าง แต่ในโลกของเธอที่เงินมันเป็นแกนขับเคลื่อนชีวิต ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันเป็นเช่นนี้จริง ๆ โดยเฉพาะตอนนี้ ตอนที่เธอต้องมาเป็นคนที่แบกรับสภาพหนี้หลักแสน ทั้งยังมีเงื่อนไขแสนโหดที่เธอจะต้องหาไปคืนให้ทันภายในสามเดือน ไม่อย่างนั้นจะต้องกลายเป็นเด็กเลี้ยงของเจ้านี้ สถานการณ์มันจึงตกมาเป็นเรื่องบังคับอย่างช่วยไม่ได้ ที่ต่อให้จะลาป่วย หรือลาตายยังต้องคิดหนักเลยซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยเฉพาะงานนี้... งานที่ได้โอกาสไปโมเดลลิ่งนางแบบภาพนิ่งนำเสนอสินค้า... เงินค่าจ้างที่จะได้มันคุ้มกว่าการทำงานเป็นคนใช้เต็มวันจริง ๆ อัจฉราคิดมาดีแล้ว และจะปล่อยให้หลุดมือไปไม่ได้เด็ดขาด หล่อนถึงได้กล้าลางานหลักมาแบบนี้คำพูดรู้ทันของนทีตัดผ่านความเงียบขึ้นมา ทำให้อัจฉราใจหายวาบ สะดุ้งเล็กน้อยด้วยความตกใจผสมอาย เพราะลืมไปเสียสนิทว่าคนปากร้าย ตาดี หูไว สมกับที่ประกอบวิชาชีพทนายความอันลือชื่อของเขาจริง ๆกระนั้นอัจฉราก็ไม่ได้โต้ตอบอะไรอีกแล้ว เธอสะกดกลั้นความเจ็บใจเอาไว้ ความอดทนประเภทนั้นทำให้นทีต้องหัวเราะ ‘หึ’ ออกมา มองร่างเล็กกลับเข้าไปในครัว เทข้าวต้มที่เหลืออยู่แทบเต็มชามลงถังขยะตามคำสั่งอย่างน่าพึงพอใจคนร่างบางเดินวนรอบราวกับหนูติดจั่น แต่เป็นหนูที่ยังละทิ้งหน้าที่ของตนเองไปไม่ได้เสียที กลีบปากอวบอิ่มเม้มเข้าหากัน หัวใจเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ ทั้งยังปวดหัวตุบ ๆ อย่างไม่สบายตัวจนต้องสะบัดหัวเบา ๆ เดินไปที่อ่างล้างจานทุกอย่างอยู่ในสายตาของนที ซึ่งกำลังจิบน้ำเปล่าเงียบ ๆ อยู่ที่เดิม ความอ่อนแอของอัจฉราเริ่มชัดเจนมากขึ้น เธอฝืนร่างกายทำงานหนักตลอดทั้งวันและคืนจนเห็นผล ทว่านทีไม่ได้รู้สึกผิดเลยแม้แต่น้อยที่ใช้เธอขนาดนี้ ทั้งที่เห็นอยู่ว่าสภาพของหญิงสาวเกินจะรับไหวแล้วกระทั่งชามเซรามิกลื่นฟองสบู่ในมือของหล่อนร่วงลงพื้นเสียงดัง ‘เพล้ง!’ กระเบื้องสีขาวแตกเป็นชิ้นเ
อัจฉรายกหม้อข้าวต้มลงจากเตาด้วยมือที่สั่นนิด ๆ ผ่อนลมหายใจออกมา สุดท้ายก็ทำเสร็จเสียที เธอตักข้าวต้มใส่ชาม โรยต้นหอมและกระเทียมเจียว แล้วนำไปวางลงบนโต๊ะอาหาร ดวงตาที่อ่อนล้าอย่างชัดเจนกวาดมองห้องโล่งหรูที่เงียบผิดปกติ ทีวีจอใหญ่ยังคงเปิดค้างเอาไว้ ฉายรายการข่าวรอบดึก แต่คนที่เคยนั่งดูอยู่ตรงนั้น ตอนนี้ไร้วี่แววของตัวตน หญิงสาวไม่รู้ว่าเขาหายไปเมื่อไหร่ ทว่าการไม่เห็นก็ใช่ว่าความหนักอึ้งในอากาศจะหายไป อัจฉราเผลอเม้มปากเล็กน้อย ยังคงสัมผัสได้ถึงความรู้สึกร้อนผ่าวเหนือริมฝีปากจากเหตุการณ์ก่อนหน้า ตรึงตราอย่างยากที่จะลืมเลือน แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็พยายามปฏิเสธที่จะรู้สึกถึงมันอยู่ดี หล่อนส่ายหัวเบา ๆ สูดหายใจเข้าลึก เรียกสติให้หยุดเพ้อเสียที “ก็แค่จูบ... จะไปคิดมากทำไม ขนาดจูบกับหมายังไม่เห็นต้องคิดอะไรเลย” แม้ว่าความรู้สึกปวดหนึบผสมกับความขุ่นเคืองมันยังคงกัดเซาะหัวใจของเธออยู่ก็ตาม... “.....” ริมฝีปากหยักคลี่ยิ้มหยัน คำพูดของอัจฉรากระทบเข้าสู่โสตประสาทชัดเจนเลยทีเดียว นทียืนอยู่ที่ตีนบันไดทางลงจากช
แกร๊ก “เข้ามา” เจ้าของห้องออกคำสั่งอย่างราบเรียบ ร่างสูงเข้าไปในห้องขนาดกว้างครอบคลุมทั้งชั้นก่อน ประตูที่เปิดกว้างเผยให้เห็นด้านในที่ตกแต่งด้วยโทนสีดำ เทาเข้ม และสีขาว พื้นหินอ่อนวาววับสะท้อนแสงไฟสีนวลจากทั่วทุกมุมห้อง สอดคล้องกับตัวตนของผู้เป็นเจ้าของเพนท์เฮาส์แห่งนี้ได้เป็นอย่างดี ‘ทำไมต้องพามาที่นี่ด้วย... ในเมื่อทุกทีก็เห็นกลับบ้านตลอด’ อัจฉรามองเข้าไปข้างในห้องของนที ก็อดคิดคิดในใจไม่ได้ เธอไม่ได้ตื่นเต้นกับความหรูหราของสถานที่เลยแม้แต่น้อย ทั้งที่เป็นเมื่อก่อนคงจะดีใจมากที่ได้เข้ามาอยู่ในพื้นที่ที่เปรียบเสมือนโลกอีกใบของเขา แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนเดิม... ก็เหมือนที่เธอมองนทีไม่เหมือนก่อนเช่นกัน สายตาจ้องมองแผ่นหลังกว้างตรงหน้าด้วยความขุ่นเคืองผสมกับความหวาดหวั่นเล็กน้อย จนต้องสูดลมหายใจเข้าลึกอย่างแผ่วเบาเรียกสติ ทำใจดีสู้เสือ ก่อนจะยอมเดินตามหลังอีกฝ่ายเข้าไปในห้อง เสียงประตูปิดลงอย่างแผ่วเบาเบื้องหลัง แต่อัจฉราก็ยังยืนอยู่ที่เดิม ภาพสะท้อนของคนตัวเล็กที่ยืนนิ่งอยู่ข้างหลังบนกระจกหน้าต่างสูงจากพื้นจรดเพดาน ทำให้เผลอกระตุกยิ้มออกมาเล็กน้อย เพราะนทีคาดหวังว่าจะได้เห็นอ
“คุณนที... พูดบ้าอะไรออกมา... รู้ตัวบ้างไหม” น้ำเสียงของอัจฉราแผ่วเบา หัวของเธอรู้สึกตื้อไปหมดจนเกือบจะประมวลผลไม่ทัน แววตาที่สั่นระริกและชุ่มชื้นไปด้วยน้ำตา บัดนี้จ้องลึกลงไปที่ดวงตาคู่คม ราวกับจะหาคำตอบว่าใครกันที่พ่นข้อเสนออันแสนจะหยาบคายนั้นออกมา นทีหัวเราะ ‘หึ’ ในลำคอ เขาไม่ละสายตาไปจากแววตาฉ่ำน้ำที่มองมายังเขา เหมือนเป็นการตอบคำถามที่เธออยากรู้โดยที่ไม่ต้องอธิบาย ว่าคน ‘หยาบคาย’ คนนั้น มันก็คือตัวตนของเขาเอง... ด้านที่ไม่เคยเผยให้ใครได้รู้จักมาก่อน “รู้สิ... แต่ถ้าอยากได้ยินอีกครั้งก็จะย้ำให้... ฉันอยากให้เธอ ‘มอง’ แค่ฉัน ‘คนเดียว’ เท่านั้น... เหมือนที่เธอเป็นมาตลอด... อย่าลืมตัวสิ เนย” เสียงทุ้มพร่าว่าพลางเลื่อนมือที่กุมอยู่หลังคอที่ร้อนระอุของหญิงสาว เคลื่อนมาช้า ๆ จนถึงปลายคางเชิด แล้วเชยคางหล่อนให้สบตากับเขาชัด ๆ ก่อนจะไล่สายตามองริมฝีปากอิ่มที่ตอนนี้บวมเจ่ออย่างน่าพึงพอใจ “แต่นั่นมันไม่เกี่ยวกัน! นั่นมันเรื่องของเนย เนยรับผิดชอบเองได้ คุณนทีมีสิทธิ์อะไรมาสั่ง” น้ำเสียงของอัจฉราเจือไปด้วยความสั่นเครือ แม้ว่าจะพยายามเป็นเข้มแข็ง แต่หัวใจของเธอกลับเต้นไม่หยุด ยังคง
เสียงหัวเราะ ‘หึ’ ดังออกมาจากลำคอ ยอมรับว่าเขาถูกใจไม่น้อยเลยที่ทำให้อัจฉราหางโผล่จนได้ แววตาที่เยือกเย็นหันกลับมามองเธอช้า ๆ เป็นแววตาของนักล่าอย่างไม่ปิดบังเช่นกัน “บ้าเหรอ... หึ... กล้า... กล้าดีนักนะ เนย” สิ้นประโยคฝ่ามือใหญ่ก็กระแทกลงบนแผงควบคุมลิฟต์อย่างจัง เสียงดังจนคนร่างบางสะดุ้งโหยง ถอยหลังไปประชิดกับผนังที่เย็นเฉียบโดยสัญชาตญาณ พร้อมกันนั้นลิฟต์ก็ค้างทันที ชายหนุ่มกดปุ่มหยุดการทำงานเอาไว้ โดยที่สายตาไม่ละไปจากอัจฉราเลย รอยยิ้มร้ายกาจแบบที่น้อยคนจะได้เห็นนักปรากฏขึ้น ขณะที่ร่างสูงใหญ่ค่อย ๆ ก้าวเข้าไปใกล้คนตัวเล็กกว่าที่พยายามชูคอหวังจะฉก แต่มันไม่น่ากลัวเลยแม้แต่น้อยเหมือนลูกแมวที่พยายามข่วนกลับมากกว่า “คุณนที... จะทำอะไร... ถอยออกไปนะ!” อัจฉราส่งเสียงขู่อีกฝ่าย แต่กลับสั่นและไร้น้ำหนักอย่างน่าเจ็บใจ ผู้ชายที่รักและเทิดทูนในใจมาตลอดตอนนี้กลับแยกเขี้ยวใส่ น่ากลัวและพร้อมที่จะกัด หญิงสาวขยับหนีเขาไปเรื่อย ๆ ทั้งที่ไม่มีพื้นที่ให้ไป ก่อนจะต้องตกใจเมื่ออีกฝ่ายเข้ามาประชิดกะทันหัน ปึง! เสียงฝ่ามือหนากระแทกเข้ากับกำแพงข้างศีรษะ แรงพอที่จะทำให้หญิงสาวสะดุ้งสุดตัวและลิฟต
“คุณนที” “.....” “เจ็บไหม... เนยขอโทษนะ” น้ำเสียงหวานแผ่วดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงบของรถยนต์ที่ยังคงขับฝ่าฝนไปด้วยความเร็วคงที่ สายตาของหญิงสาวฉายแวววูบไหวเล็กน้อย เมื่อเอ่ยประโยคที่ทั้งถามและขอโทษ ทว่านทีกลับยังคงนิ่งเฉย เขาไม่ตอบคำถามของเธอหรือว่าแสดงปฏิกิริยาอะไรนอกเหนือไปจากความเงียบที่มีเท่านั้น ใบหน้าหล่อยังคงเรียบเฉย แววตาอ่านไม่ออกภายใต้แสงไฟที่สะท้อนผ่านมาเป็นระยะ เผยให้เห็นมุมปากที่มีรอยแผลสด อัจฉรามองเสี้ยวหน้านั้นด้วยความรู้สึกผิดที่ล้นหัวใจ แม้ว่าเมื่อกลางวันจะรู้สึกเคืองเขามากแค่ไหนก็ตาม ทว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ เธอไม่รู้ว่านทีเขาแค่ผ่านมาเพราะความบังเอิญหรือเปล่า แต่สิ่งที่ชัดเจนที่สุดคือเขาต้องมาเจ็บตัวเพราะเธอ ดวงตาสียางไม้สั่นไหวเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงไม่ยอมตอบคำถามของเธอ แทนที่จะเร่งเร้าเขาต่อไป หญิงสาวเลือกที่จะละสายตามองออกข้างทางแทน เธอไม่กล้าแล้ว... แม้จะทั้งความกังวลและห่วงแค่ไหน แต่ก็รู้ตัวดีว่าไม่ได้มีสิทธิ์ไปก้าวก







