จากที่คิดว่าปัญหาเล็กน้อยก็ตาลปัตรเป็นเรื่องราวใหญ่โต เฉินอิ้งถงนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ที่กลางห้องโถงท่ามกลางสายตาของผู้คนนับร้อย ฝานฟ่านกระฟัดกระเฟียดเพราะไม่พอใจที่บิดากล้าตบเขาต่อหน้าคนหมู่มาก
“ท่านพ่อ ท่านต้องจัดการนางให้ข้า”
“เจ้าทำผิดยังไม่รู้จักสำนึก หุบปากของเจ้าไปซะ หากวันนี้ข้ามาไม่ทันเจ้ารู้หรือไม่ผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร”
“ก็แค่ผู้หญิงชั้นต่ำ นางกล้ามาทำร้ายข้า ท่านยัดเงินให้เจ้าหน้าที่ไปก็จบ”
“หุบปากของเจ้าไปเสียเรื่องนี้ข้าจัดการเอง”
เฉินอิ้งถงมองสองพ่อลูกตาขวาง เพราะขนมที่กินเข้าไปไม่เพียงเพิ่มพละกำลังทั้งยังทำให้นางหูดีมากด้วย กระทั่งเสียงกระซิบของพวกเขานางยังได้ยินชัดเจน
“นายท่านพวกเขาคิดเล่นสกปรกเจ้าค่ะ” เสียงเล็กกระซิบจากเหนือศีรษะ
“ข้าได้ยินแล้ว”
เจ้าหน้าที่นายหนึ่งวิ่งไปยังเบื้องหลังของผู้ว่าความ เขากระซิบข้างหูเสียงเบาหวิว
“นายท่านฝานบอกว่าให้รีบจบเรื่องนี้โดยเร็วขอรับ”
เจ้าหน้าที่วัยกลางคนพยักหน้า เขาหลุบเปลือกตามองบางอย่างที่ถูกยัดใส่ฝ่ามือก็ยิ้มมุมปาก จากนั้นย้ายสายตาไปยังฝานหงจื้อ ทั้งสองสบตากันพร้อมกับพยักหน้าบางเบา
“แม่นางน้อย เจ้าบอกว่าคุณชายน้อยฝานข่มเหงเจ้า ไม่ทราบว่าเจ้ามีหลักฐานหรือไม่”
เฉินอิ้งถงแค่นยิ้ม ไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยใดก็ล้วนมีพวกปลิงดูดเลือดมักใช้อำนาจข่มเหงในทางมิชอบเช่นนี้เสมอ หนำซ้ำยังคิดเล่นสกปรกหวังโยนความผิดให้ผู้ถูกกระทำเป็นแพะรับบาปไม่ละอายฟ้าดิน
“มีแน่นอน ทุกคนที่นี่เห็นกันหมดว่าข้าถูกเขารังแกอย่างไร” เฉินอิ้งถงกวาดตามองชาวบ้านโดยรอบ ทว่าทุกคนกลับเลือกหลบตานางไปเสียอย่างนั้น
คิ้วสวยขมวดแน่น
“ไหนหลักฐานของเจ้า ข้าไม่เห็นจะมีผู้ใดออกมาเป็นพยานให้สักคน” ฝานฟ่านยิ้มเยาะ เขาเอ่ยต่อ “เจ้าเป็นหญิงต้มตุ๋นคงคิดรีดไถเอาเงินจากข้ากระมัง เพราะเห็นว่าข้าหล่อเหลาแต่งกายดูดีใช่หรือไม่”
เฉินอิ้งถงกัดฟันกรอด ในเมื่อไม่อาจพึ่งพาผู้อื่นได้ เช่นนั้นนางก็ต้องเอาตัวรอดด้วยสมองและสองมือของตนเอง “คุณชายฝานช่างพูดให้ตนเองสูงส่งเสียจริง หากข้าคิดทำเช่นนั้นก็คงไปเป็นฮูหยินของท่านตั้งแต่ท่านออกปากเชื้อเชิญไม่ดีกว่าหรือ”
ฝานฟ่านหน้าเสีย เอ่ยเสียงกระท่อนกระแท่น “ขะ…ข้าไม่ได้พูดเสียหน่อย เป็นเจ้าที่อยากเสนอตัวมาให้ข้าเอง ใช่หรือไม่” ประโยคสุดท้ายยังไม่ลืมเหลียวไปหาแนวร่วมจากบ่าวรับใช้ของตน
“ใช่ขอรับ” ชายหนุ่มทั้งสองพยักหน้าผสมโรงอย่างสุดกำลัง
เฉินอิ้งถงอยากถ่มน้ำลายรดหน้าพวกเดนนรกนี่นัก กระทั่งวาจาสุนัขที่พ่นออกมาเองยังไม่กล้ายอมรับ “พวกเดียวกันก็ต้องเห็นพ้องอยู่แล้ว คนเราสามารถโกหกได้เสมอเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตนต้องการมิใช่หรือ”
“แม่นางใจเย็นก่อนเถิด เดิมทีเรื่องนี้ก็ไร้หลักฐาน เกรงว่าคงเป็นการเข้าใจผิด เพราะคำพูดของเจ้าผู้เดียวก็ไร้น้ำหนัก อย่างไรเสียล้วนเป็นคนอำเภอเดียวกันให้ถือว่าเป็นการทะเลาะวิวาท แต่ว่าเจ้าเป็นฝ่ายทำร้ายคุณชายน้อยฝานจนได้รับบาดเจ็บ อย่างไรข้าคงต้องตัดสินไปตามที่มีหลักฐานชี้ชัด”
เฉินอิ้งถงหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ตาเฒ่านี่เอาตาล่างมองหรือว่านางเป็นฝ่ายทำร้ายหมอนั่นฝ่ายเดียว “ท่านอายุมากจนตาฝ้าฟางแล้วกระมัง จึงเห็นถูกเป็นผิดเห็นกงจักรเป็นดอกบัว”
ปัง!
เสียงค้อนไม้เคาะลงโต๊ะพิพากษาอย่างเดือดดาล “แม่นางน้อยผู้นี้มาจากหมู่บ้านใดกันเล่า ไยจึงปากกล้าเช่นนี้ เจ้าไม่รู้หรือว่ายามอยู่ต่อหน้าศาลและการไต่สวนต้องทำตัวเช่นไร อย่างนั้นเจ้าก็ต้องรับโทษที่ทำร้ายผู้อื่นจนได้รับบาดเจ็บ อีกทั้งยังดูหมิ่นเจ้าหน้าที่ว่าความ ลงทัณฑ์นางโดยการหนีบนิ้ว!”
บรรดาคนมุงประสานเสียงฮือฮา บางคนไม่รู้ต้นสายปลายเหตุทว่าเห็นสภาพฝานฟ่านที่ดูไม่จืดก็ตาลปัตรเห็นดำเป็นขาว โดยเฉพาะเหล่าบุรุษที่คิดว่าตนเองยิ่งใหญ่คับฟ้าอยู่เหนือกว่าสตรีทั้งปวง
มิหนำซ้ำคนที่เห็นเหตุการณ์ไม่มีใครกล้ายื่นมือเข้าสอด เพราะถึงอย่างไรสกุลฝานก็มีอิทธิพลอย่างมากในอำเภอฉีหลิน หากเผลอไปกระตุกหนวดเสือเข้า เกรงว่าครอบครัวของตนอาจเดือดร้อนไปด้วย
“นี่หรือศาลผู้ชอบธรรม ใช้อารมณ์ในการตัดสินอย่างเห็นได้ชัด ทำเช่นนี้ไม่ตัดนิ้วข้าไปด้วยเสียเลย ข้าจะได้ส่งนิ้วไปที่วังหลวง หลังจากนั้นข้าจะไปตีกลองที่นั่นดูสิพวกท่านจะทำเช่นไร เดิมทีคนที่นี่ความเป็นอยู่เหลื่อมล้ำก็ช่างมันเถิด ทว่าเรื่องของความยุติธรรมกลับไม่มีสักกระผีกริ้น”
ฝานฟ่านชี้นิ้วสั่น ๆ “ทุกคนเห็นหรือไม่ สตรีนางนี้ปากคอเราะรายนัก นางทำร้ายข้าจนได้รับบาดเจ็บหลักฐานก็เห็นกันคาตา ตอนที่ขวางขบวนเสด็จเหยียนอ๋องก็เป็นนางที่จงใจลงไปนอนตรงนั้นเอง ข้ามิได้เป็นคนทำ นางเจ้าเล่ห์ยิ่งกว่าปีศาจจิ้งจอก”
เฉินอิ้งถงถอนหายใจ เป้าหมายวันนี้คือการหาเงิน แต่กลับต้องมาเสียเวลากับเรื่องไม่เป็นเรื่อง เจ้าหน้าที่สามนายดาหน้าใกล้เข้ามาพร้อมไม้ไผ่ที่สานเรียงกันเป็นร่อง ไม่ต้องอธิบายก็รู้ได้ว่ามันเป็นเครื่องทรมานที่ใช้สำหรับหนีบนิ้วทั้งสิบ
“นายท่าน ข้าจัดการเจ้าคนปากดีนี้เองเจ้าค่ะ”
พริบตาเสี่ยวฮวาก็ไปโผล่ที่ด้านหลังของฝานฟ่านเท้าน้อย ๆ ถีบไปยังท้ายถอยชายหนุ่มสุดแรง ไม่มีใครสังเกตเห็น ฝานฟ่านกระเด็นออกมานอนพังพาบหน้าติดพื้น
“โอ๊ย!”
ฝานฟ่านเงยหน้าขึ้นก็ต้องผงะ เมื่อเฉินอิ้งถงเขม้นสายตาขึงตึงแผ่ไอสังหารสะท้อนตอบมาที่ตน
“นายน้อย!”
บ่าวรับใช้ทั้งสองถลันเข้ามามาช่วยประคองร่างฝานฟ่าน
ชายหนุ่มเข่าอ่อนยวบถูกหิ้วปีกจนน่าสังเวช จะก้าวแต่ละทีล้วนลำบากดั่งถูกก้อนศิลาทับเท้า ฝานฟ่านตระหนกสุดขีดเขาพูดจาละล้าละลังดั่งพบเจอผีสาง “หะ หะ… เห็นหรือไม่ ทุกคนเห็นหรือไม่ นางเป็นปีศาจ เมื่อครู่นางทำร้ายข้า”
ท่าทางประหนึ่งเสียสติของฝานฟ่านทำให้คนที่เห็นด้วยเมื่อครู่เริ่มเขว ส่วนฝานหงจื้อถึงขั้นยกมือกุมขมับเพราะอับอาย “รีบลากเจ้าลูกเวรนั่นออกมา!”
“ขอรับ”
ฝานฟ่านเจ็บท้ายทอยจนหน้าเหยเก เขายังพ่นวาจาต่อว่าเฉินอิ้งถงเฉกเช่นคนสติฟั่นเฟือน
“นางเป็นปีศาจ ปีศาจ”
เฉินอิ้งถงจิ๊ปากส่ายหน้าระอิดระอา
เสียงเล็กหัวเราะคิกคักดังขึ้นเหนือศีรษะ “เป็นอย่างไรเจ้าคะนายท่านพอใจหรือไม่”
“เจ้าทำถึงมาก”
เฉินอิ้งถงผินหน้าไปยังเจ้าหน้าที่ที่เตรียมเข้ารวบตัวนาง เสียงใสตะเบ็งดังก้องไม่คิดยอมแพ้ “เมื่อครู่เขาใส่ร้ายข้า ข้าขอร้องเรียนต่อเจ้าหน้าที่ศาล อยู่ ๆ คุณชายฝานผู้นี้ก็ใส่ความว่าข้าเป็นปีศาจ คำกล่าวหาเช่นนี้ข้ารับไม่ได้ ทุกคนก็เห็นกับตาว่าเขาล้มลงมาเอง หนนี้ทุกคนกระจ่างแล้วหรือไม่ว่าวาจาของเขาเชื่อถือมิได้ หากจะหนีบนิ้วของข้า เช่นนั้นก็หนีบปากของคุณชายฝานไปด้วยถึงจะยุติธรรม!”
คราวนี้ชาวบ้านเริ่มเอนเอียงไปทางเฉินอิ้งถงแล้ว สถานการณ์เมื่อครู่ชี้ชัดว่านางไม่ผิด คนก็นั่งอยู่ตั้งไกล จู่ ๆ ก็ถูกใส่ร้ายว่าเป็นปีศาจ นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่แล้วหรือ หากว่ามีคนเข้าใจผิดจริงนั่นหมายถึงชีวิตของผู้หญิงตัวเล็ก ๆ เชียว
“ไม่จริง ข้ามิได้ใส่ร้ายนาง เป็นฝีมือนาง นางนั่นแหละที่ทำข้า ตอนที่ข้าประมือกับนาง พละกำลังของนางอย่างกับกินช้างไปทั้งตัว” ฝานฟ่านเอ่ยไปก็ลูบแขนของตนไปเพราะขนอ่อนมันกำลังตั้งชันไปทั้งร่าง เกิดมายังไม่เคยพบเห็นหญิงสาวที่มีใบหน้าอ่อนหวานทว่าแรงกลับมหาศาลดุจดั่งม้าศึก
เฉินอิ้งถงกดยิ้มมุมปาก ในที่สุดคนเลวก็เผยธาตุแท้ของตนออกมาจนได้ ไม่เสียแรงที่ตีฝีปากกับเขาอยู่นาน ชาวบ้านโพล่งเสียงอึงอลอีกระลอก และแล้วก็มีผู้ใจกล้าเอ่ยออกมา
“นี่คุณชายน้อยฝานใส่ร้ายสตรีตัวเล็ก ๆ จริงหรือ เมื่อครู่เขายอมรับแล้วว่าตนเองวิวาทกับนางและลงไม้ลงมือจริง เขาเป็นบุรุษแต่อ่อนแอไร้ความสามารถเองจึงโยนความผิดให้นางหรอกรึ” ชาวบ้านเริ่มตะเบ็งเสียงเห็นด้วยจนเกิดจลาจล อย่างน้อย ๆ หากสามารถกำจัดเศษสวะอย่างฝานฟ่านได้ผืนแผ่นดินของอำเภอฉีหลินคงดูสูงขึ้น
เจ้าหน้าที่ว่าความหน้าเปลี่ยนสี เขาเหลียวมองไปยังฝานหงจื้ออย่างเป็นกังวล นึกไม่ถึงว่าฝานฟ่านจะหลุดพูดมาเอง เกรงว่ากระดานหมากอาจพลิกคว่ำไม่เป็นท่า
ฝานหงจื้อโพล่ง “เงียบ!...ถึงอย่างไรเรื่องที่นางทำร้ายลูกชายข้าก็เป็นความจริง เช่นนั้นย่อมต้องลงโทษนางไปตามเหตุและหลักฐาน นางไม่มีร่องรอยบาดเจ็บแม้แต่ปลายเส้นผม แล้วดูลูกชายของข้ายามนี้แรงมัดไก่ก็แทบไม่เหลือ ทำร้ายคนไม่สนกฎหมายบ้านเมืองจะไม่เข้าสู่ยุคคนเถื่อนรึ”
เสียงอึงอลกริบลงทันควัน หลายคนก้มหน้างุดพลางเบ้ปาก ฝานหงจื้อพ่นคำพูดเสียจนสวยหรูทว่ากลับไม่ดูกมลสันดานของบุตรชายตนเอง
เจ้าหน้าที่สามนายเดินหน้าต่อหมายควบคุมตัวเฉินอิ้งถง ไม่ทันประชิดร่างหญิงสาวก็มีเสียงทุ้มแว่วมาจากธรณีทางเข้า
“ข้าเป็นพยานให้แม่นางน้อยผู้นี้ได้”
กงกงใช้เข็มเงินที่พกติดกายอยู่เสมอจิ้มลงไปในขนม แม้เข็มเงินไร้ปฏิกิริยาทว่าเขากลับยังไม่วางใจ มือเหี่ยวย่นหยิบขนมขึ้นมาหนึ่งชิ้นจากนั้นลองชิมเข้าปากหนึ่งคำก็ถึงกับสติล่องลอย ความหวานละมุนเป็นเหตุให้กงกงต้องกัดเพิ่มอย่างนึกลืมตัว“กงกง มีพิษหรือไม่เจ้าคะ”“…”“กงกง”กงกงสะดุ้งโหยง ส่งสายตาเชิงตำหนิให้กับเฉินอิ้งถง จากนั้นจึงหันมองจินชางหลงพลางยิ้มแหย “องค์ชาย ขนมนี่ปลอดภัยพ่ะย่ะค่ะ”ครั้นวางใจแล้วชายหนุ่มจึงหยิบขนมสีเขียวอื้อขึ้นมา กัดเข้าไปคำแรกความนุ่มละมุนและรสชาติอันหอมหวานเป็นเหตุให้เขาติดอยู่ในภวังค์คล้ายกับว่าตนกำลังเที่ยวชมมวลบุปผา ไม่น่าเชื่อว่าพื้นที่แห้งแล้งกันดารจะมีหญิงสาวมากฝีมือในการปรุงอาหารได้นางช่างประหนึ่งห่านฟ้าหลงทางอยู่กลางป่าเฉินอิ้งถงยืนลุ้นจนตัวโก่ง นัยน์ตาดอกท้อจดจ้องริมฝีปากชายหนุ่มที่ขยับเบา ๆ ด้วยความลืมตัวเดิมทีจินชางหลงชินกับการทานอาหารแล้วมีกงกงหรือนางกำนัลยืนรอปรนนิบัติใกล้ ๆ อยู่แล้ว ทว่าหนนี้กลับไม่เหมือนกัน ชายหนุ่มรู้สึกว่าตนเกิดอาการประหม่าจินชางหลงช้อนเปลือกตาขึ้นทำให้ปะทะเข้ากับ
เสียงฝีเท้าตรงเข้ามาเรื่อย ๆ เฉินอิ้งถงที่นั่งกระดิกเท้าสบายใจแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน“แม่นางเฉิน องค์ชายและท่านอ๋องอยากพบเจ้า”เฉินอิ้งถงผินหน้ามองผู้มาเยือน น้ำเสียงเนิบนาบเช่นนี้ไม่ต้องเอ่ยให้มากความก็รู้ว่าเป็นผู้ใด“กงกง เมื่อครู่ท่านยังบอกข้าเองว่าไม่ให้โผล่หน้าไปให้ท่านอ๋องอารมณ์เสีย แล้วเหตุใดยามนี้จึงอยากพบข้าหรือ”กงกงกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “องค์ชายชื่นชอบฝีมือการทำอาหารของเจ้า”เฉินอิ้งถงแสร้งตาโต “ท่านบอกองค์ชายงั้นหรือว่านี่คือฝีมือของข้า เดิมทีข้าไม่อยากโฉ่งฉ่างให้มากความ”“หึ เจ้าอย่าพล่ามให้มากหน่อยเลย องค์ชายรออยู่ หากไม่รีบไประวังจะถูกลงอาญา”“เจ้าค่ะ เดิมทีคนจากวังหลวงลงอาญาผู้อื่นสุ่มสี่สุ่มห้าเช่นนี้หรือ”กงกงพูดไม่ออก เฉินอิ้งถงยิ้มตาปิด เดินผ่านร่างชายมีอายุไปด้วยสีหน้าอารมณ์ดี“องค์ชาย ท่านอ๋อง” ร่างระหงยอบกายลงด้วยท่าทีพินอบพิเทาจินชางหลง “แม่นางเฉิน ตามสบายเถิด”“ขอบพระทัยองค์ชาย”“เห็นกงกงบอกว่าอาหารพวกนี้เจ้าเป็นคนทำทั้งหมด”“เพคะ หม่อมฉันทำเอง รสชาติไม่ถูกปากองค์ชายหรื
เฉินอิ้งถงตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง เมื่อคืนนางคิดเรื่องดี ๆ ได้จึงไปพูดคุยกับเถ้าแก่โรงเตี๊ยมเอาไว้ เพราะวันนี้นางต้องการเข้าครัวด้วยตนเอง นับว่าโชคดีที่ในโรงเตี๊ยมมีเพียงขบวนเดินทางของเหยียนอ๋องเท่านั้นที่เป็นแขก“นายท่าน นี่ท่านกำลังทำอะไรหรือเจ้าคะ เหตุใดจึงดูยุ่งยากวุ่นวายนัก ส่วนผสมเยอะแยะเต็มไปหมด”เฉินอิ้งถงตอบ “นี่น่ะหรือ เขาเรียกเมนูพระกระโดดกำแพง”เสี่ยวฮวากะพริบตาปริบ ๆ “หา…ไหนพระเจ้าคะ พระมิใช่ผู้ถือศีลหรือเจ้าคะ หากกระโดดกำแพงลงมาก็เท่ากับฆ่าตัวตายแบบนี้เรียกบาปนะเจ้าคะ”เฉินอิ้งถงหัวเราะครืน “เจ้ารู้จักบาปบุญด้วยหรือนี่ แต่ว่านะเสี่ยวฮวา เจ้าจะบ้ารึ ที่ข้าบอกไม่ใช่พระจริง ๆ เสียหน่อย เป็นชื่อเมนูอาหารน่ะ”เสี่ยวฮวางงงวย ร่างเล็กที่ลอยอยู่กลางอากาศโฉบเข้าไปใกล้หม้อดินเผาที่เฉินอิ้งถงจัดเรียงส่วนผสมอย่างเป็นระเบียบ ดวงตาสีมรกตพลันเบิกกว้าง “โอ้โห กลิ่นหอมมากเจ้าค่ะ เจ้านี่มีอะไรบ้างหรือเจ้าคะ”มือเล็กป้อมชี้ไปยังด้านในของหม้อด้วยความสนใจใคร่รู้เฉินอิ้งถงจัดแจงส่วนผสมลงหม้ออย่างประณีต ริมฝีปากขยับเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “หากให้ข้า
หลังสอบถามเรื่องราวทุกอย่างจนเป็นที่พอใจองครักษ์เผิงจิ้นเสียนและเฉินอิ้งถงก็ออกเดินทางกลับในทันที“แม่นางเฉิน เจ้าแน่ใจหรือว่าจะกลับไปยามนี้เลย เดิมทีองค์ชายให้เจ้าพักที่บ้านได้หนึ่งคืน เพราะถึงอย่างไรองค์ชายและท่านอ๋องก็พักอยู่โรงเตี๊ยมแล้ว เกรงว่าเจ้าเป็นสตรีอาจไม่สะดวก” เผิงจิ้นเสียนสังเกตเห็นเส้นขอบฟ้ากลายเป็นสีน้ำเงินเหลือบทองแล้วเฉินอิ้งถงยิ้มตาปิด โอกาสมาถึงทั้งทีนางจะปล่อยให้หลุดลอยไปได้อย่างไร หากอยู่ ๆ จินเหยียนคิดเปลี่ยนใจหอบน้องชายของเขาหนี เช่นนั้นก็เท่ากับนางลงแรงเสียเปล่า“ข้านอนกลางดินกินกลางทรายจนชิน เรื่องนี้ข้าไม่ถือ หากโรงเตี๊ยมเต็มข้ายินดีพักในห้องเก็บฟืน” เอ่ยจบร่างระหงก็ควบม้าห่างออกไปเสียงเล็กดังสะท้อนเหนือศีรษะ “นายท่าน สามีที่ท่านหมายตาคือองค์ชายผู้อ่อนแอนั่นรึ เหตุใดท่านจึงไม่ชอบท่านอ๋องเล่า ข้าดูแล้วท่านอ๋องหล่อเหลากว่าน้องชายตั้งมาก ซ้ำยังองอาจมากบารมี”เฉินอิ้งถงแค่นยิ้ม “เจ้าจะไปรู้อะไร ข้าเพียงต้องการชีวิตสุขสงบ ไยข้าต้องไปตบตีแย่งผู้ชายที่มีเจ้าของด้วยเล่า”“เอ๋…ท่านกล่าวเช่นนี้ก็ไม่ถูกนะเจ้าคะ
เฉินอิ้งถงควบม้าตรงเข้ามาในหมู่บ้าน ชาวบ้านที่เห็นล้วนมองตามตาไม่กะพริบ ทุกครั้งที่หญิงสาวเดินสวนทางไปมาพวกเขาต้องทักทายพร้อมรอยยิ้มเต็มใบหน้า ทว่าหนนี้หญิงสาวมาไวไปไวจนเห็นเพียงฝุ่นลอยฟุ้ง“นั่น ๆ ถงเอ๋อร์มิใช่รึ นางขี่ม้าผู้ใดมากันเล่า” ชายชราเอ่ยกับภรรยาที่กำลังจับจูงกันไปตามเส้นทาง พลางปัดฝุ่นผงพัลวัน“ตาเฒ่าเจ้าตาฝาดแล้วหรือไม่ ตอนนี้ทุกคนต่างแร้นแค้นจะไปเอาม้าจากที่ใดมาวิ่ง อาจเป็นคนต่างถิ่นก็ได้”บทสนทนาไม่ทันได้รับคำตอบ ม้าตัวถัดไปก็ทะยานตรงเข้ามาประหนึ่งสายฟ้า สองสามีภรรยาเร่งประคองกันหลบไปข้างทางจ้าละหวั่นหญิงชราเอ่ยเสียงสั่น “นี่มันเกิดเรื่องใดขึ้นกันเล่า”“ไป ๆ ยายเฒ่า รีบกลับบ้าน นี่คงไม่ใช่พวกทางการมาไล่ที่ชาวบ้านอีกแล้วรึ”หญิงสูงวัยได้ฟังก็ตกใจ เพราะเมื่อก่อนก็เคยเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น หากชาวบ้านไม่รวมตัวกันปกป้องบ้านเกิด ป่านนี้คงได้กลายเป็นพวกไร้บ้านเร่ร่อนกันอยู่ข้างถนนแล้วหรอกหรือเฉินอิ้งถงที่ควบม้าอย่างรีบเร่งไม่ทันสังเกตครั้นเหลียวหลังเห็นสองตายายก็รู้สึกผิดที่ตนเล่นตะบึงจนสาดฝุ่นเข้าหน้าผู้อาวุโสทั้งสอง
ท้ายที่สุดเฉินอิ้งถงก็ได้พบกับจินชางหลงสมปรารถนา แม้สีหน้าเขาขาวซีด ทว่าดวงกลับกระจ่างใส่ประหนึ่งดวงดาวยามราตรีข้าคิดว่าหน้าตาเขาจะเหมือนคนอมโรคมากกว่านี้ซะอีก!เฉินอิ้งถงจดจ้องจินชางหลงแทบลืมกะพริบตา ชายหนุ่มที่ไม่เคยใกล้ชิดสตรีเช่นนี้มาก่อนจึงบังเกิดความประหม่า ส่วนจินเหยียนก็จับจ้องเฉินอิ้งถงด้วยแววตาไม่เป็นมิตรกงกงรู้สึกได้ถึงบรรยากาศไม่สู้ดี จึงเอ่ยทำลายความประดักประเดิด “บังอาจ เจ้าใช้สายตาน่ารังเกียจจาบจ้วงองค์ชายเช่นนี้ได้อย่างไร”เฉินอิ้งถงได้สติ “ขออภัยกงกง ข้าน้อยเพียงแค่ทราบซึ้งในน้ำพระทัยขององค์ชายห้าก็เท่านั้น”จินเหยียนแค่นยิ้ม “เจ้าช่างเป็นสตรีใจกล้าบ้าบิ่นยิ่งนัก มิเคยมีผู้ใดกล้าขวางข้ามาก่อน เช่นนั้นก็ว่าเรื่องของเจ้ามา”เฉินอิ้งถงนิ่งเงียบ อันที่จริงนางรู้เพียงว่ามีบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถรักษาโรคร้ายอยู่ในเนื้อเรื่องจริง ทว่าหญิงสาวไม่เคยเดินทางไปที่นั่นสักครั้งแล้วจะทราบเส้นทางได้อย่างไร‘นายท่าน ท่านกำลังอยากพาพวกเขาไปที่บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ใช่หรือไม่’เฉินอิ้งถงตกใจจนหน้