บทที่ 2
หลังจากไหลตามน้ำจนได้กลับมาถึงเรือนนอนของตัวเอง เว่ยเว่ยก็เริ่มรู้สึกว่าฝันนี้มันช่างยาว...และนาน...ยิ่งนัก จะบอกว่าเธอหลับข้ามวันข้ามคืนปกติก็ต้องมีตื่นบ้าง
“หรือนี่ไม่ใช่ความฝันกัน” เว่ยเว่ยบ่นกับตัวเองแต่สาวใช้คนสนิทที่หญิงสาวเพิ่งรู้ว่าอีกฝ่ายชื่อชิงเอ๋อร์เพราะคนที่เป็นมารดาของนางเรียกก็ตอบให้ในทันที “ตื่นแล้วเจ้าค่ะ ตื่นมาหลายชั่วยามแล้วด้วย”
เว่ยเว่ยที่ได้ฟังคำของอีกฝ่ายก็พอจะเดาได้ว่าความสนิทสนมของสองนายบ่าวคงมีไม่น้อยจึงแกล้งถามออกไปเพื่อที่จะสอบถามข้อมูล
“เช่นนั้นหรือ ถ้าอย่างนั้นเจ้าบอกได้ไหมว่าที่นี่ที่ไหน หรือข้าเป็นใครกัน บางทีเจ้าอาจจะเป็นมารแห่งความฝันก็ได้นะ” เพราะอ่านนิยายจีนโบราณมามากกว่าร้อยเล่มจึงไม่แปลกที่จะพูดจาสมัยนี้ได้อย่างคล่องปาก
“โธ่...คุณหนูท่านน่ะชอบแกล้งข้าเสียจริง”
เว่ยเว่ยเห็นอีกฝ่ายทำหน้ายู่ก็รู้สึกชอบใจ ยังทำท่านอนรอฟังและยิ้มขำสาวใช้ของตนอีกด้วย
“ที่นี่เป็นแคว้นฉู่เจ้าค่ะ และคุณหนูก็อยู่ในจวนของเจ้ากรมการคลังเจียงเฉินผู้ยิ่งใหญ่เพราะคุณหนูซีเว่ยเป็นบุตรสาวคนเดียวของนายท่านจ้าค่ะ ให้ข้าบอกมากกว่านี้อีกไหมเจ้าคะ” เว่ยเว่ยทำหน้านึกก่อนจะตกใจเมื่อคิดได้ว่าเรื่องราวต่าง ๆ มันดูคุ้น ๆ
“มารดาของข้าชื่อจางฉี่หลันด้วย” หญิงสาวใช้ไหวพริบของตัวเองเติมเนื้อเรื่องที่สงสัยว่าจะใช่เข้าไป แล้วก็ได้คำตอบที่ทำให้ต้องตกตะลึง
“คุณหนูนี่ขี้แกล้งจริง ๆ ข้าจะฟ้องนายท่านกับฮูหยิน” ยิ่งได้ฟังคำของสาวใช้ก็ยิ่งมั่นใจ แม้ว่าชื่อจางฉี่หลันจะโผล่มาแค่ไม่กี่ครั้งแต่เว่ยเว่ยก็จำได้ว่ามันเป็นชื่อมารดาของตัวร้าย
บ้าจริงจะฝันทั้งทีก็ดันฝันเป็นตัวร้ายซะได้ ว่าแต่นี่จะฝันอีกนานไหมนะ ต่อให้เป็นตัวร้ายก็อยากเห็นหน้าของพระเอกสักครั้งก่อนตื่นนี่นะ ว่าจะหล่อบาดหัวจิตหัวใจมัมมี่คนนี้หรือเปล่า
“นี่ท่านแม่ทัพอี้กลับมาหรือยัง” เว่ยเว่ยกระซิบถามสาวใช้ แต่สีหน้าที่ดูจะมึนงงทำให้นางเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวได้
“แม่ทัพอี้หรือเจ้าคะ...มิใช่ว่าท่านแม่ทัพที่คุณหนูว่ายังรบอยู่ที่ชายแดน” เว่ยเว่ยได้ฟังอย่างนั้นก็ยิ้มกริ่ม
“วันนี้ข้าว่าจะนอนเร็วหน่อยเจ้าช่วยจัดการหน่อยนะ” เมื่อมั่นใจว่านี่อาจจะเป็นฝันของนิยายที่กำลังอ่าน เว่ยเว่ยก็คิดจะนอนหลับเพื่อเร่งวันเร่งคืน ในใจก็นึกว่าจะเร่งได้จริง ๆ ไหมนะ คงไม่ตื่นขึ้นมาก่อนจะได้เจอกับพระเอกใช่ไหม...อยากเจอ อยากเจอสักครั้ง
หญิงสาวที่ลงนอนบนฝูกที่สาวใช้เตรียมให้ หลับไปพร้อมกับความคิดเหล่านั้น แต่เมื่อยามค่ำคืนผ่านไปแล้วเช้าเวียนมาบรรจบอีกครั้ง ความสงสัยของเว่ยเว่ยก็เกิดขึ้น
นิ้วทั้งสองบิดเนื้อตัวเองอย่างแรงจนต้องร้องออกมา ชิงเอ๋อร์ที่กำลังเตรียมน้ำล้างหน้าและเสื้อผ้าใหม่ให้หันมองอย่างสงสัย “คุณหนูเป็นอะไรอีกแล้วเจ้าคะ”
เว่ยเว่ยมองไปที่ทุกอย่างที่ยังคงเหมือนเดิม
ห้องยังคงเป็นห้องนอนในแบบโบราณ และชิงเอ๋อร์ก็ยังเตรียมนู่นนี่อยู่ตรงหน้า “ไม่จริงน่า” เสียงอุทานเบา ๆ ทำให้สาวใช้หันมองคุณหนูของตัวเองเป็นรอบที่สอง แต่พอเสียงหัวเราะดังตามมาชิงเอ๋อร์ก็ละสายตาไปทำอย่างอื่นแทน
เว่ยเว่ยหัวเราะเบา ๆ กับตัวเอง หรือว่านี่จะเป็นอย่างที่คิด หญิงสาวคิดในใจแล้วอยากกรีดร้องออกมาดัง ๆ ด้วยความดีใจไม่ใช่ตกใจอย่างหลาย ๆ ตัวละครในนิยายที่เคยได้อ่าน
“รีบแต่งตัวเข้าข้าจะไปตลาด” เว่ยเว่ยไม่รอช้า หญิงสาวรีบสั่งสาวใช้ของตัวเองก่อนจะออกไปดูทุกอย่างให้เห็นกับตา เพราะถ้าเมืองเป็นยุคโบราณและมีทุกอย่างอย่างที่ในนิยายว่าจริง ก็เป็นไปได้ว่าตอนนี้หญิงสาวได้หลุดเข้ามาอยู่ในนิยาย และถ้าเป็นอย่างนั้น...
เว่ยเว่ยหุบยิ้มไม่ได้แม้แต่น้อย เพราะหากจะบอกเหตุผลในการชอบนิยายเรื่องนี้ ก็เป็นเพราะพระเอกเพียงคนเดียวเท่านั้น ผู้ชายที่รักเดียวใจเดียวและหล่อขนาดนั้น ถ้าได้เห็นสักครั้งคงเป็นบุญตา เว่ยเว่ยคิดไปก็ยิ้มไปก่อนดวงตาจะเบิกโตขึ้น
“ไม่ใช่สิ พวกเขายังไม่ได้เจอกัน” หญิงสาวโพล่งออกมาจนชิงเอ๋อร์ที่เดินเข้าไปเอาชุดให้กับนายของตนต้องเร่งออกมาดู
“คุณหนูมีอะไรหรือเปล่าเจ้าคะ”
เว่ยเว่ยส่ายหน้า “จะบอกว่าไม่มีก็ไม่ได้” หญิงสาวบอกกับสาวใช้ที่ทำหน้างุนงงและเดินไปยังอ่างล้างหน้าและเริ่มจัดการตัวเองได้แนบเนียนไม่ผิดกับหญิงสาวในยุคนี้แม้แต่น้อย
แต่งตัวไปใจก็อดคิดไปถึงเนื้อเรื่องไม่ได้ ในนิยายเจียงซีเว่ยเป็นนางร้ายเพราะเจอพระเอกทีหลัง แต่ตอนนี้พระเอกกับนางเอกยังไม่ได้เจอกันสักหน่อย
หากเป็นคนทั่ว ๆ ไปทะลุมิติมาคงไม่คิดหาเรื่องใส่ตัวโดยการยุ่งเกี่ยวกับพระเอกและนางเอก แต่คนอย่างเว่ยเว่ยไม่ใช่
ไหน ๆ ก็มีโอกาส และท่านแม่ทัพอี้ก็หน้าตาและนิสัยดีขนาดนั้น หากนางจะลองจีบอีกฝ่ายก่อนที่เจ้าตัวจะเจอกับนางเองก็คงไม่ถือว่าผิดกระมัง ในเมื่อทั้งสองยังไม่ได้เจอและเป็นคนรักกันเลย
คนที่รักเดียวใจเดียวทั้งยังหล่อและเก่งขนาดนี้จะปล่อยไปง่าย ๆ ได้อย่างไร
หากหลุดเข้ามาเป็นนางเอกของเรื่องคงดีไม่น้อย แต่เว่ยเว่ยเลือกได้ไหม เลือกได้หรือเปล่า
ก็ไม่
เอาน่า นางร้ายก็นางร้าย หญิงสาวปลอบใจตนเอง อย่างน้อย ๆ ก็อ่านจนเกือบจบแล้ว พอจะรู้เรื่องราวว่าพระเอกและนางเอกพบเจอกันได้อย่างไร
อย่างน้อย ๆ สวรรค์ก็ให้นางมาในช่วงเวลาที่ทั้งสองยังไม่ได้รักกัน ก็ถือว่ามีเมตตามิน้อย
บทที่ 15ค่ำคืนยังไม่ทันจะผ่านพ้นอี้หยางเฉิงก็ต้องสะดุ้งตื่นเมื่อคนรับใช้ของเขามาเคาะประตูแจ้งว่า จางกุนเหยาสหายสนิทของเขามาเยือนโดยไม่ได้นัดหมาย"ทำไมเจ้ามาดึกดื่นถึงเพียงนี้" อี้หยางเฉิงที่อยู่ในชุดนอนมีเพียงเสื้อคลุมเอาไว้หลวม ๆ เอ่ยถามสหายสนิทของตน จางกุนเหยาที่ยังแต่งกายในชุดเต็มยศราวกับเพิ่งกลับจากการประชุมสำคัญถอนหายใจออกมา"ข้าเพิ่งเสร็จจากงานจึงเพิ่งมา ขอโทษที่รบกวนเจ้ายามดึกเช่นนี้” จางกุนเหยาตอบ น้ำเสียงเขาดูไม่สบายใจจนอี้หยางเฉิงไม่ได้ว่าอะไรที่อีกฝ่ายปรากฏตัวขึ้นในยามค่ำ “แล้วมีอะไรหรือ” ชายหนุ่มถามอีกฝ่ายที่ยังคงนั่งนิ่ง “วันนี้...ข้าได้ยินว่าเจ้าไปจวนของท่านเจ้ากรมคลัง”“เป็นเช่นนั้น” อี้หยางเฉิงตอบพลางเทชาใส่ถ้วยแล้วยกดื่ม“เรื่องหยางมี่” จางกุนเหยาดูอึกอักไม่กล้าพูด อี้หยางเฉิงเห็นจึงเป็นฝ่ายเริ่มพูดเสียเอง“เจ้าจะมาตำหนิข้าที่ทิ้งนางหรือทั้ง ๆ ที่เจ้าฝากฝังเอาไว้แล้วแท้ ๆ ““ข้าพูดเช่นนั้นไม่ได้หรอก แต่หากเจ้าลำบากใจ”“ที่จริงข้าก็ลำบากใจ จริงอย่างที่ว่า... แต่เพราะรู้ว่าเจ้าเป็นห่วงนางข้าจึงยอมอยู่เป็นเพื่อนนาง” "เจ้าก็รู้ดีว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่ข้าหมายถึง ข้าคงไม่
บทที่ 14เว่ยเว่ยนอนพลิกตัวไปมาบนเตียง ดวงตากลมโตจ้องมองเพดานด้วยความรู้สึกสับสน“นี่ตกลงเขาชอบข้าจริง ๆ อย่างนั้นหรือ...” หญิงสาวพึมพำเบา ๆ คำพูดของอี้หยางเฉิงในวันนี้ยังคงดังก้องอยู่ในหัวของนาง เว่ยเว่ยหยิกตัวเองอีกครั้งแล้วก็ต้องร้องโอดโอยแค่ประโยคเดียวของอีกฝ่ายก็ทำให้หัวใจของหญิงสาวปั่นป่วนไปหมด เว่ยเว่ยไม่รู้ว่าต้องวางตัวอย่างไร ตอนแรกนางก็แค่อยากเจอกับอี้หยางเฉิงก่อนหน้านางเอก และตั้งใจว่าจะจีบอีกฝ่าย แต่ตอนนี้เรื่องทั้งหมดมันผิดไปจากนิยายต้นฉบับที่นางรู้จนหมดสิ้น เดิมทีอี้หยางเฉิงควรจะชอบหยางมี่ตั้งแต่งานเลี้ยงต้อนรับไม่ใช่หรืออย่างไร เหตุใดถึงกลายเป็นนางไปได้ แม้จะยินดีแต่ก็แอบสงสัยหรือนางทำอะไรผิดไปในฐานะนักอ่านที่หลุดเข้ามาในนิยาย แล้วมันจะทำให้นิยายเรื่องนี้วุ่นวายไหมนะ คิดแล้วก็แอบวิตกนิดหน่อย ตอนที่อ่านนิยายแล้วตัวเอกของเรื่องเข้าไปเปลี่ยนนั่นนี่ในโลกของนิยายหรือโลกอดีต เว่ยเว่ยไม่เคยนึกเลยว่ามันจะง่ายดายขนาดนี้ ทุกเรื่องที่อ่าน ตัวเอกมักจะยากลำบากหรือต้องพยายาม แต่ที่นางทำตั้งแต่มายังไม่ถือว่าพยายามเลยกระมัง เดิมแค่คิดจะใช้เสน่ห์เล็กน้อยเพื่อดึงความสนใจของพระเอก แต่
บทที่ 13หลังมื้ออาหารจบลง เว่ยเว่ยกับอี้หยางเฉิงก็ถูกส่งออกไปเดินเล่นในสวนดอกไม้กลางจวนโดยมารดาของหญิงสาวที่หาข้ออ้างว่าจะจัดเตรียมผลไม้มาให้ทานอีก “พวกเจ้าก็ไปเดินเล่นย่อยอาหารก่อน อากาศในสวนยามค่ำคืนนี้ช่างสดชื่นนัก” แม้ใต้เท้าเจียงจะไม่ยอม แต่ก็ถูกภรรยาของตนดึงให้ติดตามนางเข้าไปด้านในอี้หยางเฉิงพยักหน้ารับและหันไปยิ้มให้กับเจียงซีเว่ยที่ยังคงมองบิดาของนางด้วยสายตากังวลเล็กน้อย“เว่ยเอ๋อร์ ดูแลแขกให้ดีด้วยนะลูก” พอย้ำกับบุตรสาวแล้ว ฮูหยินของจวนก็ไม่พลาดที่จะหันมาหาสามีของนางด้วยรอยยิ้มก่อนจะดึงเขาออกไปอีกทางเมื่อทั้งสองเดินจากไป ใต้เท้าเจียงก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “เจ้าทำอะไรของเจ้ากันแน่ เจ้าให้ลูกเราอยู่กับเขาแบบนั้นไม่มากเกินไปหรือ”คำของใต้เท้าเจียงทำให้ภรรยาหลุดหัวเราะออกมา “ไม่มากเกินไปหรอกเจ้าคะ ก่อนหน้าข้าไม่รู้ว่าเขาเป็นคนเช่นไรจึงไม่อยากให้อยู่ใกล้ชิด แต่ยามนี้ท่านพี่ไม่เห็นสายตาของเขาที่มองลูกของเราหรือ ราวกับจะกลืนกินเช่นนั้น หากท่านยินยอม ข้าคิดว่าเขาคงจะส่งแม่สื่อมาในวันพรุ่ง ดีไม่ดีสินสอดมากแค่ไหนเขาก็หามาให้ได้ ฉะนั้นข้าจะเปิดโอกาสให้พวกเขาได้พูดคุยเพื่อ
บทที่ 12 บรรยากาศในห้องโถงของตระกูลเจียงเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยด้วยความยินดี ใบหน้าของฮูหยินเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ต่างกับใต้เท้าเจียงเจ้าของจวนที่ดูจะไม่ปลื้มกับอาหารมื้อนี้สักเท่าไร แม้ว่าบนโต๊ะจะเต็มไปด้วยอาหารที่ถูกจัดเตรียมอย่างพิถีพิถัน แต่คงเป็นเพราะแขกที่ร่วมโต๊ะที่ทำให้ใต้เท้าเจียงนั่งหน้านิ่ง และสายตาของเขาก็คอยจับจ้องไปยังแม่ทัพอี้หยางเฉิงที่นั่งฝั่งตรงข้ามกับบุตรสาวของเขาแทบจะตลอดเวลาเว่ยเว่ยที่นั่งอยู่ข้างบิดารู้สึกได้ถึงแรงกดดัน หญิงสาวหันมองบิดาของตนพร้อมทั้งส่งสายตาอ้อนวอนเล็ก ๆ ไปให้ แต่ดูเหมือนแค่นี้จะไม่เพียงพอหญิงสาวตักอาหารโปรดให้กับบิดาก่อนจะตักอาหารอย่างเดียวกันนั้นให้กับแม่ทัพอี้ “ท่านแม่ทัพลองทานจานนี้ดูสิเจ้าคะ เป็นเมนูโปรดของพวกเรา”อี้หยางเฉิงยิ้มก่อนจะคีบอาหารที่หญิงสาววางไว้บนถ้วยข้าวเขาเข้าปาก “หากเป็นสิ่งที่เจ้าชอบ ย่อมต้องเป็นของดี เพราะเจ้าชอบแต่ของดี ๆ” สายตาของชายหนุ่มส่งให้หญิงสาวราวกับบอกว่าของดีที่หญิงสาวชอบอีกอย่างก็คือเขามารดาของเจียงซีเว่ยนั่งสังเกตทุกอย่าง นางเห็นทั้งท่าทางไม่พอใจของสามี และใบหน้าของบุตรสาวที่เดี๋ยวก็แดงเดี๋ยวก็ยิ้มอย่างยินดี
บทที่ 11 เว่ยเว่ยยืนอึ้งไปสักพักหลังจากประมวลคำพูดของแม่ทัพอี้หยางเฉิงแล้วเข้าใจความหมาย ทั้งความคิดและความรู้สึกของหญิงสาวในตอนนี้เหมือนจะรวนไปหมด ดวงตากลมโตมองอีกฝ่ายอย่างไม่เชื่อ“ข้าชอบเจ้า” อี้หยางเฉิงพูดย้ำเพราะกลัวว่าหญิงสาวจะยังไม่เข้าใจ “หากเร็วไปพวกเราใช้เวลาเรียนรู้กันอีกสักหน่อยก็ได้” เว่ยเว่ยแทบจะหงายหลังจากความตกใจ นางไม่เคยคิดมาก่อนว่าอี้หยางเฉิงจะคิดเช่นนี้กับนาง แม้ว่าเขาจำนางได้บ้างก็ดีใจมากแล้วแต่นี่...มิใช่ว่ารักแรกของเขาคือหยางมี่หรอกหรือ “ท่าน... ท่านแม่ทัพหมายความว่าอย่างไร” เว่ยเว่ยถามออกไปน้ำเสียงของนางสั่นเล็กน้อย แต่เพื่อไม่ให้เข้าใจผิด หรือนึกฝันไปเองจึงต้องเอ่ยถามให้มั่นใจ “ต้องให้ข้าส่งหนังสือหมั้นหมายไปที่จวนของเจ้าหรือถึงจะเข้าใจ” “แต่ว่า...” อี้หยางเฉิงมองหญิงสาวด้วยสายตาจริงจัง “มิใช่ว่าเจ้าเองก็ต้องการอย่างนี้หรือ...เรื่องวันนั้นที่โรงน้ำชานั่น” ชายหนุ่มพูดอย่างตรงไปตรงมา“แต่... ข้าคิดว่า... ท่านกับแม่นางหยาง... ท่านยัง...” เว่ยเว่ยพูดติดขัด นี่มันไม่เหมือนกับนิยายต้นฉบับที่นางได้อ่านแม้แต่น้อย อี้หยางเฉิงยิ้มอย่างอ่อนโยนและเดินเข้าไปใกล้หญิง
บทที่ 10“ท่านแม่ทัพ” อี้หยางเฉิงหายใจเขาลึก เขากำลังจะ เดินตามเจียงซีเว่ยไปแต่กลับถูกน้องสาวข้างบ้านของสหายสนิทเรียกเอาไว้ชายหนุ่มเหลือบมองคนที่สหายของเขาฝากเอาไว้เมื่อสองเค่อที่แล้วก่อนจะยิ้มจาง ๆ ให้นาง “เจ้าคงต้องอยู่รออาเหยาคนเดียวแล้ว ข้าขออภัย พอดีข้ามีธุระด่วนที่ต้องไปจัดการ" อี้หยางเฉิงไม่แม้แต่จะรอฟังคำตอบจากหญิงสาว แต่มือเรียวที่ดึงแขนของเขาเอาไว้ก็ทำให้เขาต้องหันไปหานางอีกครั้ง“ธุระ ท่านจะไปที่ใดหรือเจ้าคะ” หยางมี่ปล่อยมือที่เผลอเอื้อมไปจับแขนของชายหนุ่ม ดวงตาของนางฉายแววสับสนอย่างเห็นได้ชัด เพราะก่อนหน้านี้ตอนที่พี่ชายข้างบ้านของนางฝากนางเอาไว้กับอีกฝ่าย เจ้าตัวดูไม่มีท่าทางปฏิเสธอะไร แต่เมื่อบุตรสาวของเจ้ากรมคลังปรากฏตัว อี้หยางเฉิงก็ดูเปลี่ยนไปอี้หยางเฉิงดึงแขนเสื้อตรงที่โดนดึงให้ตึงเหมือนเดิมก่อนจะคลี่ยิ้มที่ดูไม่มีอะไร แต่กลับมองแล้วไม่กล้าเอ่ยถามอะไรต่อ “ธุระส่วนตัว” เขาตอบอย่างสุภาพ ก่อนจะก้าวออกไปทางเดียวกับเจียงซีเว่ยด้วยท่าทางเร่งรีบ ทิ้งให้หญิงสาวที่มาด้วยกันก่อนหน้ายืนงงอยู่กลางตลาดเพียงลำพัง อี้หยางเฉิงเร่งก้าวเท้าไล่ตามร่างบางของหญิงสาวที่เขาเห็นหลังอย
บทที่ 9เว่ยเว่ยตัดสินใจไปเดินซื้อของเล่นในตลาดตามแบบฉบับคุณหนูบ้านร่ำรวย หญิงสาวเลยใช้เวลาเดินดูของไปเรื่อย ๆ เปื่อย ๆ เมื่อคิดอะไรไม่ออกในโลกเก่าตอนนั้น เว่ยเว่ยอยากจะมีเงินในกระเป๋ามาก ๆ จะได้ซื้อของแก้เครียด และทำให้หัวของนางปลอดโปร่งมากกว่าเดิม ตอนนี้สิ่งเหล่านั้นไม่ได้เป็นเพียงแค่ความคิดแล้ว“เอาอันนี้ อันนี้ แล้วก็อันที่เพิ่งดูไปก่อนหน้าด้วย” ชิงเอ๋อร์รับคำของคุณหนูของตนและเร่งบอกกับเถ้าแก่ของร้าน นี่เป็นร้านที่สี่แล้วที่หญิงสาวเดินเข้าไปเลือกซื้อสิ่งของราวกับต้องการระบายอารมณ์อะไรสักอย่าง"คุณหนูเจ้าคะ…" ชิงเอ๋อร์สาวใช้ที่เดินตามมาติด ๆ เอ่ยเรียกหญิงสาวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความกังวล จู่ ๆ วันนี้คุณหนูของนางก็บอกว่าอยากออกมาเดินเล่นที่ตลาด หลังจากนางเก็บตัวอยู่หลายวัน ตอนแรกชิงเอ๋อร์รู้สึกสบายใจที่คุณหนูเลิกเก็บตัว แต่หลังจากเห็นคุณหนูของตนแวะซื้อทุกอย่างอย่างไม่บันยะบันยังตั้งแต่ร้านแรกจนถึงร้านที่สี่ ชิงเอ๋อร์ก็เริ่มกลับมากังวลอีกครั้ง เว่ยเว่ยที่กำลังเอื้อมมือออกไปหยิบพัดที่หุ้มด้วยแพรไหมชั้นดีที่วาดลวดลายดอกเหมยอย่างงดงามขึ้นจากแผงร้านตรงหน้า หันกลับมามองสาวใช้ของตน ค
บทที่ 8ทั้งสามนั่งกินข้าวกันไปคุยกันไป บทสนทนาล้วนมีแค่เรื่องทั่ว ๆ ไป แม้ว่าเว่ยเว่ยจะพยายามลากเข้ามาเรื่องส่วนตัว แต่คำตอบที่ฟังดูอย่างไรก็เป็นเพียงแค่การตอบไปตามมารยาท ทำให้หญิงสาวรู้สึกเหนื่อยใจเล็กน้อยจนบางครั้งอดที่จะถอนหายใจออกมาไม่ได้“อาหารถูกปากหรือไม่เจ้าคะ หากท่านแม่ทัพชอบ ข้าให้คนนำไปส่งให้ได้นะเจ้าคะ ข้าได้ยินมาว่าท่านแม่ทัพยังมิมีฮูหยิน เรื่องเช่นนี้คงจะลำบากมิใช่น้อย”“ไม่ต้องรบกวนแม่นางเจียงหรอกถึงแม้มารดาข้าจะจากไปแล้ว แต่ข้ายังมีแม่นมคอยดูแล จวนข้ามิได้ลำบากขนาดนั้น” เว่ยเว่ยหายใจเข้าลึก ขออภัยที่ข้าก้าวก่ายนะเจ้าคะ ข้าก็แค่...”“ข้าไม่ตำหนิเจ้าหรอก ข้าได้ยินมาว่าท่านเจ้ากรมดูแลบุตรสาวเป็นอย่างดี เจ้าก็คงจะติดความเคยชินจากเรื่องนั้นมา” จางกุนเหยามองทั้งสองที่พูดคุยกันด้วยสายตาแปลก ๆ เขาถูกสหายสนิทลากมาที่นี่อย่างไม่ได้เต็มใจนัก หากไม่เพราะเขาเองก็อยากจะรู้เรื่องราวของทั้งสองก็คงไม่ติดตามมาอี้หยางเฉิงไม่ใช่คนที่จะตอบรับคำเชิญอย่างนี้ง่าย ๆ มันทำให้เขายิ่งแปลกใจไม่ใช่น้อย แต่ที่แปลกใจยิ่งกว่าคือสถานการณ์ตอนนี้ แม้ว่าคำพูดของสหายเขาจะดูเหมือนไม่ใส่ใจและตอบไปเรื่อย
บทที่ 7“ทำไมวันนี้คุณหนูสีหน้าไม่ดีเลยเจ้าคะ” ชิงเอ๋อร์อดสงสัยไม่ได้ตั้งแต่คุณหนูของนางกลับมาจากงานเลี้ยง แทนที่จะดูมีความสุขแต่นี่ข้ามวันมาแล้วก็ยังดูเหมือนในใจมีอะไรบางอย่าง“ไม่มีอะไรหรอก...” แม้จะโกหกสาวใช้ของตนเองได้ แต่เว่ยเว่ยรู้ว่านางโกหกตัวเองไม่ได้ นี่คงไม่ใช่ว่านางมีนิสัยของตัวร้ายไปแล้วกระมัง ถึงได้เอาแต่คิดอิจฉานางเอกที่พระเอกใส่ในนางมากกว่า คิดแล้วก็ถอนหายใจเพราะไม่อยากจะแย่งชิงแต่เพราะนางชอบพระเอกของเรื่องนี้มากจริง ๆ ตั้งแต่เห็นรูปเขาในแจ้งเตือนนิยายใหม่ของนักเขียนคนโปรด หญิงสาวก็รู้สึกใจเต้นแปลก ๆ แม้ว่าจะเป็นเพียงลายเส้นของรูปวาดมิใช่รูปถ่าย แต่กลับรู้สึกราวกับดวงตานั้นจ้องมองนาง “หรือดวงตาคู่นั้นจะไม่มีไว้จ้องมองข้า” เว่ยเว่ยบ่นออกมาพลางคิดถึงสายตาของแม่ทัพอี้ที่มีให้กับนางเอกของเรื่องอย่างหยางมี่ ในใจก็คิดวนเวียนว่านางอุตส่าห์ได้ทะลุมิติมาแล้วแท้ ๆ ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงก็ไม่เห็นจำเป็นจะต้องให้นางมาเกิดใหม่ที่นี่นี่นาแต่นิยายแต่ละเรื่องที่มีการเกิดใหม่ล้วนมีสาเหตุ จะบอกว่าให้นางมาเกิดใหม่เพื่อแค่ให้บิดามารดาคอยเอาอกเอาใจหรืออย่างไร เพราะดูเหมือนเรื่องนั้นจะเป็