เข้าสู่ระบบ
บทนำ
พินัยกรรมของคุณย่า
สายลมฤดูใบไม้ร่วงที่แสนเอื่อยเฉื่อยพัดผ่านยอดสนโบราณที่ยืนเรียงรายสองข้างทางเดินหินเก่า ๆ บ้านไม้สไตล์จีนโบราณตั้งตระหง่านท่ามกลางความเงียบงันของเมืองชนบทที่แสนห่างไกลจากความเจริญ ดูราวกับหลุดออกมาจากภาพเขียนหมึกของจิตรกรโบราณ
เฟิงเหม่ยหลินสาวสวยจากเมืองหลวง เธอก้าวลงจากรถหรู พร้อมเสื้อคลุมยาวสะบัดตามแรงลมที่พักมาเบา ๆ เธอยืนทอดสายตามองตัวบ้านตรงหน้า บ้านไม้หลังเก่าที่เธอไม่ได้กลับมาเยือนนานนับสิบปี นานจนแทบลืมว่าเคยมีบ้านหลังนี้อยู่
“ย่ายกบ้านหลังนี้ให้ฉันจริง ๆ น่ะเหรอ”
หญิงสาวกระซิบกับตัวเองเบา ๆ ขณะยกมือขึ้นลูบลูกบิดประตูไม้ที่เย็นเฉียบ ก่อนจะเปิดมันเข้าไปอย่างช้า ๆ
ย่าของเธอเสียไปสิบกว่าปีแล้ว แต่พินัยกรรมของท่านเพิ่งจะถูกเปิด ในวันที่เธอเรียนจบปริญญาตามคำสั่งของท่าน และตามพินัยกรรม ย่ายกบ้านหลังนี้และของทั้งหมดที่อยู่ในบ้านให้กับเธอ
บ้านหลังนี้ไม่ใช่บ้านหรู ไม่ใช่ตึกระฟ้าใจกลางเมือง เป็นเพียงแค่บ้านไม้หลังเก่า ๆ แต่กลับทำให้หัวใจของเธอเต้นแผ่วอย่างแปลกประหลาด มันคือบ้านเก่าที่เธอเคยมาวิ่งเล่นตอนยังเด็ก เมื่อตอนที่พ่อแม่ของเธอยังมีชีวิตอยู่
ภายในบ้านมีฝุ่นจับแน่นทุกมุม โต๊ะเตี้ย ชุดน้ำชาเก่ากระจัดกระจาย และกลิ่นไม้แห้งผสมกลิ่นเย็น ๆ จาก เฟอร์นิเจอร์ไม้เก่า ๆ เธอเดินสำรวจบ้านเก่าทีละห้อง จนกระทั่งมาถึงห้อง ๆ หนึ่ง ห้องที่เธอจำได้ลาง ๆ ว่าย่าหวงมาก
“นี่สินะห้องที่ย่าเคยห้ามฉันเข้า” เธอมองประตุนั่นสักพัก ก่อนจะเอื้อมมือไปบิดที่ลูกบิดประตู แต่มันก็ไม่สามารถเปิดออก
ประตูห้องนั้นยังคงปิดสนิทและล็อกจากด้านใน แต่กุญแจดอกเก่าในซองจดหมายที่ย่าให้เธอไว้ ยังคงใช้งานได้เธอไม่ลังเลที่จะไขมันออก เสียงลั่นของประตูดังขึ้น
ก่อนที่บานประตูจะเปิดออก พร้อมกับสายลมแปลกประหลาดที่พัดสวนออกมาปะทะใบหน้าของเธอ ฝุ่นยังคงหนาเพราะขาดการทำความสะอาจมานาน แต่มีบางสิ่งกลับดูสะอาดจนน่าประหลาดใจ
ภายในห้องมีชั้นหนังสือไม้โบราณ ที่เต็มไปด้วยตำราเล่มหนา บันทึกเก่า ภาพถ่ายเก่า และหนังสือเพียงเล่มเดียวที่โดดเด่นที่สุด ปกดำด้าน ตัวหนังสือสีทองที่จางหายจนแทบมองไม่เห็น
“รักใต้จันทรา ทำไมมันถึงมาอยู่ที่นี่” เธอหยิบหนังสือเล่มนั้นขึ้นมา แล้วอ่านชื่อของมันด้วยเสียงเบา ๆ
ถ้าเธอจำมันไม่ผิด เธอเคยเห็นย่าของเธออ่านหนังสือเล่มนี้และท่านรักหนังสือเล่มนี้มาก ท่านเคยบอกว่าชื่อของเธอเหมือนกับหนึ่งในตัวละครของเรื่องนี้
เธอถือหนังสือเล่มนั้นติดมือออกมาโดยไม่รู้ตัว เหมือนแรงดึงดูดบางอย่างบอกกับเธอว่าให้ “เอาไป” แล้วเธอก็ทำตาม
ที่เบาะหลังของรถ กลายเป็นมุมสงบของเฟิงเหม่ยหลิน หญิงสาวนั่งไขว่ห้าง มือข้างหนึ่งกอดเสื้อคลุมไว้หลวม ๆ ขณะที่มืออีกข้างลูบหนังสือเล่มเก่าปกดำที่เธอเพิ่งได้มาจากบ้านของย่าอย่างเบามือ
“รักใต้จันทรา” ชื่อที่ดูเรียบง่าย แต่ชวนให้รู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่ลึกซึ้ง
กลิ่นของกระดาษเก่าและหมึกพิมพ์แบบโบราณลอยขึ้นมาจาง ๆ เมื่อเธอเปิดหน้าแรก
“ในคืนพระจันทร์เต็มดวง ดอกเหมยแรกแย้มในจวนแม่ทัพใหญ่”
เสียงบรรยายในใจเริ่มดังก้อง พร้อมภาพในหัวของเธอที่คิดภาพหญิงสาวที่นั่งปักผ้าอยู่กลางสวน
ตัวละครเอก ซูเยี่ยน บุตรสาวบุญธรรมของอดีตท่านแม่ทัพที่มีหัวใจบริสุทธิ์และใบหน้าอ่อนโยน ราวกับเทพธิดาในภาพวาด
เฟิงเหม่ยหลินเลิกคิ้ว “แน่นอนตัวนี้ต้องเป็นนางเอกที่แสนดีตามพล๊อตเรื่องทั้วไปแน่ๆ” เธอพึมพำเบา ๆ ก่อนจะเปิดอ่านหน้าต่อ ๆ ไป
ถัดจากนั้นไม่กี่หน้า ตัวละครชายคนแรกก็ปรากฏ องค์ชายสาม หลี่อวี้เหิง เย็นชา ฉลาด หยิ่งทระนง และ หล่อบัดซบ
“นางผู้นี้ เจ้าคิดว่าเหมาะกับตำแหน่งชายาของข้าหรือไม่”
เขาพูดกับขันทีในขบวนรถม้า ขณะมองซูเยี่ยนจากเงาผ้าม่าน แน่นอน นางไม่รู้ตัวว่ากำลังถูกจับตามอง เธอก็แค่ช่วยชาวบ้านเก็บตะกร้าผลไม้ที่หล่นพื้น
“แหม พระเอกแบบเดิม ๆ เลยสินะ ทำหน้าขรึมแต่แอบตกหลุมรักตั้งแต่เห็นหน้ากันครั้งแรก”
เฟิงเหม่ยหลินกลอกตาบ่นออกมาเบา ๆ แต่ก็ยังคงอ่านต่อ
จากนั้นอีกไม่กี่หน้า ก็ถึงฉากแรกของ “นางร้าย” ที่โผล่มาอย่างอลังการในงานเลี้ยงของจวนแม่ทัพ
เฟิงเหม่ยหลิน บุตรสาวตระกูลใหญ่ ผู้มากด้วยยศศักดิ์ งามหยดย้อย แต่นิสัยแสนร้ายกาจ
“หญิงต่ำต้อยเช่นนั้นน่ะหรือ สมควรยืนข้างองค์ชาย”
เธอกล่าวพลางยกพัดขึ้นปิดครึ่งใบหน้า รอยยิ้มเยาะในดวงตาเด่นชัดยิ่งกว่าบนริมฝีปาก แม้จะไม่มีคำพูดหยาบคาย แต่สายตาก็แทงใจจนซูเยี่ยนสะอึกไป
เฟิงเหม่ยหลิน (ตัวจริง) หลุดหัวเราะพรืด
“โอ๊ย นี่มันฉันเหรอ ร้ายจัด นี่มันนางร้ายสูตรสำเร็จชัด ๆ” เธออดหัวเราะออกมาเบา ๆ กับความร้ายของตัวร้ายไม่ได้
แต่ความรู้สึกสนุกเริ่มถูกแทนที่ด้วยความไม่พอใจ เมื่ออ่านต่อไปเรื่อย ๆ
ไม่ว่าจะกี่บท “เฟิงเหม่ยหลิน” ในนิยายก็ไม่เคยชนะซูเยี่ยนได้เลย เธอพ่ายแพ้ทั้งในสนามสังคม และหัวใจขององค์ชาย
ยิ่งไปกว่านั้น ทุกครั้งที่เธอคิดแผนแกล้งนางเอก ก็จะมีคนคอยขัดขวางเสมอ ไม่ใช่องค์ชายแต่เป็น แม่ทัพหนุ่ม ผู้อบอุ่น เยือกเย็น และเที่ยงธรรม
แม่ทัพซูหมิงเฉิน พระรองผู้น่าหลงใหล ทั้งแข็งแกร่ง ทั้งอ่อนโยน ฉลาด รักความถูกต้อง และปกป้องนางเอกแบบสุดตัว
เขากระชากข้อมือเฟิงเหม่ยหลินก่อนจะบีบแน่นไว้ในบทหนึ่ง “หากยังกลั่นแกล้งซูเยี่ยนอีก ข้าจะไม่ไว้หน้าแม้เจ้าจะเป็นธิดาเสนาบดี”
เฟิงเหม่ยหลินคนอ่าน กำหมัดแน่น
“หา แบบนี้มันเกินไปไหมวะ นางร้ายผิดก็จริง แต่ทำแบบนี้รุนแรงไปไหมแม่ทัพ” เธอบ่นออกมาอย่างรู้อินในตัวละคร
“แล้วดูซูเยี่ยนสิยืนน้ำตาคลอ เหมือนจะเป็นลมตลอดเวลา ตามบทนางเอกผู้อ่อนแอจริง ๆ” เธอบ่นแต่ก็ยังคงอ่านต่อ
“พระเอกก็รักนางเอก พระรองก็รักนางเอก แล้วนางร้ายละจะมีใคร แต่ก้ร้ายซะขนาดนั้นจะมีใครสนใจละ” เธอพลิกหน้ากระดาษแรงขึ้นเรื่อย ๆ ตามอารมณ์ความอิน
และพบบทสรุปของเฟิงเหม่ยหลินว่าเธอจบชีวิตด้วยการตกน้ำตาย ระหว่างแผนลักพาตัวนางเอก รถม้าที่เธอใช้เกิดอุบัติเหตุ ตัวเธอเองพลัดตกจากรถม้า จมหายไปในแม่น้ำที่ไหลเชี่ยวและเย็นยะเยือก โดยไม่มีใครคิดจะช่วย
หลังอ่านมาถึงตรงนี้ ความเงียบในรถแน่นิ่งลงไปชั่วขณะ เฟิงเหม่ยหลินปิดหนังสือลง เสียงฝนตกปรอย ๆ กระทบกระจกรถดังเปาะแปะ
“โห ตายแบบไม่มีใครคิดไปช่วยสักคนเหรอ” เธอบ่นออกมาเบา ๆ “โดนเขียนบทให้เป็นตัวร้ายขนาดนี้เลยสินะ”
เธอพิงเบาะรถ ถอนหายใจ แล้วสบตาเงาของตัวเองที่สะท้อนในกระจกหน้าต่างรถ
“แต่ถ้าเป็นฉันนะ ฉันจะไม่แย่งพระเอกหรอก จะปล่อยให้พวกนางรักกันไปให้พอใจเลย” เธอพูดกับตัวเองเบาๆ
“ฉันจะไปจีบพระรอง ผู้ชายดี ๆ แบบนั้น สมควรได้รับความรักคืนบ้างเหมือนกันหรือไม่ก็อยู่เงียบ ๆ ในจวนของตัวเอง แล้วทำตัวเป็นคุณหนูผู้เย่อหยิ่งดีกว่า”
เธอบ่นพร้อมกับมองไปที่ข้างนอก ตอนนี้รถกำลังวิ่งข้ามสะพานวันนี้พระจันทร์เต็มดวง ภาพของพระจันทร์ดวงโตที่สะท้อนบนพื้นน้ำทำเอาเธอละสายตาไม่ได้
“คุณหนูระวัง”
แต่แล้วก็มีเสียงเบรกรถกะทันหันดังขึ้น รถไถล เสียงคนขับร้องตะโกน เฟิงเหม่ยหลินถูกเหวี่ยงไปข้างหน้า
โลกหมุนคว้าง รถไถลอย่างรุนแรง ล้อหน้าทิ้งรอยยาวบนพื้นถนนที่เปียกชื้น ก่อนจะพุ่งชนราวสะพานอย่างแรง โครม
ร่างของเฟิงเหม่ยหลินปลิวขึ้นจากเบาะ คนทั้งคนกระเด็นออกนอกตัวรถในวินาทีที่กระจกด้านข้างแตกกระจาย ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วเกินกว่าจะตั้งสติได้ เธอรู้เพียงว่าเธอกำลังร่วงลงมา
ลมหายใจถูกดึงออกจากปอด ร่างทั้งร่างลอยคว้างกลางอากาศ เสียงของโลกภายนอกเงียบงัน มีเพียงเสียงหัวใจของเธอเองที่เต้นรัวอย่างหนักหน่วง
สายฝนเย็นเฉียบฟาดหน้า ภาพเบื้องล่างคือสายน้ำกว้างใหญ่สีคล้ำดำที่ขยายใหญ่ขึ้นทุกวินาที
“นี่ฉันกำลังจะตกน้ำเหรอ”
มันคือความจริงที่สมองยังไม่ทันประมวลผล แต่ร่างกายกลับรับรู้ก่อนแล้ว ปลายนิ้วเธอสั่น หน้าท้องหดเกร็ง ดวงตาเบิกโพลง
“เหมือนฉากนั้นเลย” เธอคิดในใจ “เฟิงเหม่ยหลิน ในนิยายก็ตกน้ำตายเหมือนกัน”
หัวใจของเธอเจ็บแปลบขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล ราวกับลางบอกเหตุ เสียงสุดท้ายที่แว่วอยู่ในหัวไม่ใช่เสียงคนขับรถที่ตะโกนเรียกเธอ ไม่ใช่เสียงลม แต่เป็นประโยคในหนังสือที่เธอเพิ่งอ่านไปไม่กี่นาทีก่อน
“เฟิงเหม่ยหลิน กระเด็นตกจากรถม้า พลัดจมหายไปในแม่น้ำ และไม่มีใครตามไปช่วย” เพราะไม่มีใครรักนางเลยแม้แต่คนเดียว
ทันใดนั้น ตูม!!
ร่างของเธอกระแทกผิวน้ำ เสียงดังปานสายฟ้าฟาด แล้วทุกอย่างก็กลายเป็นความเย็นเยียบ น้ำทะลักเข้าสู่รูจมูก ปาก และหู เธอตะเกียกตะกายพยายามลอยขึ้น แต่ขาทั้งสองข้างกลับเหมือนถูกพันธนาการด้วยอะไรบางอย่าง
ความกลัวแผ่ซ่านไปทั่วร่าง ความเย็นกัดกินเนื้อหนัง ความมืดโอบล้อม เธอมองไม่เห็นสิ่งใด แขนเหวี่ยงไปมาในน้ำโดยไร้ทิศทาง เธอพยายามจะตะโกน เรียกใครสักคน แต่ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา
“นี่ฉันกำลังจะตายจริง ๆ เหรอ” เธอคิด
“จุดจบของฉันจะเหมือนนางร้ายคนนั้นจริง ๆ งั้นเหรอ”
เธอคิดถึงหน้าตัวเองในกระจกเมื่อครู่ คิดถึงชื่อที่บังเอิญซ้ำกัน คิดถึงนิยายที่หยิบออกมาจากห้องเก็บของในบ้านย่า
คิดถึงตอนที่ตัวเองพูดเล่น ๆ ว่าอยากจะจีบพระรองแทน“พระรองที่แสนดีคนนั้น เขาจะช่วยฉันเหมือนช่วยซูเยี่ยนไหมนะ”
ภาพของแม่ทัพซูหมิงเฉินลอยเข้ามาในหัวอย่างไร้เหตุผล ทั้งที่เขาเป็นแค่ตัวละครในหนังสือ รอยยิ้มอ่อนโยนสายตาเด็ดขาด น้ำเสียงหนักแน่น
“แม่ทัพ ช่วยฉันด้วย”
เสียงในใจเงียบหาย เธอมองเห็นแสงจันทร์ริบหรี่เหนือผิวน้ำ แล้วทุกอย่างก็มืดดับลงในวินาทีนั้น
บทส่งท้ายหลายปีผ่านไป ฤดูใบไม้ผลิหมุนเวียนมาอีกครั้ง แต่จวนแม่ทัพกลับไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เสียงหัวเราะของเด็ก ๆ ดังไปทั่วทั้งสวน ลูกชายคนโตของซูหมิงเฉินและเฟิงเหม่ยหลินอายุสิบสามปีแล้ว รูปร่างสูงโปร่ง ดวงตาคมดุดันถอดแบบจากพ่อทุกกระเบียดนิ้ว ขณะนี้กำลังยืนอยู่กลางลานฝึกดาบ ใบหน้าจริงจังไม่ต่างจากตอนหมิงเฉินยังเป็นแม่ทัพหนุ่มหมิงเฉินในชุดฝึกยืนประจันหน้าลูกชาย มือใหญ่ถือดาบไม้ ดวงตาคมกริบเต็มไปด้วยความเข้มงวด “จับดาบให้มั่น อย่าปล่อยให้ศัตรูเห็นความลังเลของเจ้า”เด็กหนุ่มยกดาบขึ้นอย่างมั่นคง ก้าวเท้าเข้าโจมตีด้วยท่วงท่าที่เปี่ยมพลัง เสียงฟันดาบไม้เสียงดัง ก่อนหมิงเฉินจะเบี่ยงตัวหลบอย่างรวดเร็ว รอยยิ้มพึงพอใจฉายบนใบหน้าเข้ม “ดีขึ้นมาก อีกไม่นานเจ้าจะใช้ดาบได้เฉียบคมยิ่งกว่าพ่อ”กลางศาลา เฟิงเหม่ยหลินนั่งจิบชาพร้อมลูกสาววัยสิบขวบที่ฉลาดและแสนซน ดวงตากลมโตเปล่งประกาย รอยยิ้มและความเจ้าเล่ห์เหมือนแม่ เธอนั่งมองพี่ชายฝึกดาบ พลางเอ่ยถามเสียงใส “ท่านแม่ เมื่อไรข้าจะได้ฝึกดาบกับพ่อเหมือนท่านพี่บ้าง”เฟิงเหม่ยหลินยิ้มบาง ลูบผมนุ่มของลูกสาวเบา ๆ “เจ้าฉลาดพอ ๆ กับแม่แล้ว ฝึกดาบคงไม่ใช่สิ่งที่เจ
ตอนที่ 73 ลูกสาวแม่ทัพยามค่ำในฤดูใบไม้ผลิ จวนแม่ทัพถูกปกคลุมด้วยความตึงเครียดและความตื่นเต้นอีกครั้ง เมื่อเสียงฝีเท้าบ่าวไพร่ดังเร่งรีบไปมาหน้าห้องคลอด บรรยากาศวันนี้ไม่ต่างจากวันที่ลูกชายคนโตลืมตาดูโลกซูเยี่ยนที่ท้องอ่อนยืนพิงอี้เหิง มือหนึ่งจับท้องของตน อีกมือกุมมือสามีแน่นอย่างลุ้นไปพร้อมกับเพื่อนรักเหวินซียืนอยู่ไม่ไกล มือถือพัดแต่พัดแรงจนเส้นไหมขาดเล็กน้อย สีหน้าแสดงถึงความตื่นเต้นสุดขีดองค์รัชทายาทมานั่งจิบชาช้า ๆ ที่โต๊ะไม้ข้างทางเดิน ที่เก้าอี้ข้าง ๆ พระองค์มีเด็กชายสองคนนั่งกินขนมอยู่อยู่ นั่นคือลูกชายของเหม่ยหลินกับซูเยี่ยน พระองค์มองไปที่เด็กชายทั้งสองพร้อมยิ้มบาง ๆก่อนจะหันไปกล่าวล้อ “ข้าว่าแม้คราวนี้เป็นลูกคนที่สอง แต่บรรยากาศไม่ต่างจากครั้งคนแรกเลย ยิ่งกว่านั้นพวกเจ้าดูตื่นเต้นกว่าเดิมเสียอีก”ภายในห้องคลอด แสงตะเกียงสว่างไสว หมิงเฉินนั่งอยู่ข้างเตียง กุมมือเฟิงเหม่ยหลินแน่นเหมือนเดิม ดวงตาคมลึกเต็มไปด้วยความกังวลและความรักที่ไม่เคยจางหายเฟิงเหม่ยหลินแม้จะเหนื่อยหอบแต่ยังคงดวงตาคมที่เด็ดเดี่ยว เธอบีบมือสามีแน่น เสียงแผ่วแต่ชัดเจน “ครั้งนี้ ท่านก็ยังไม่ยอมออกไปเหมื
ตอนที่ 72 ลูกชายแม่ทัพภายในห้องพักของฮูหยินแม่ทัพ บรรยากาศอบอวลไปด้วยความสุขและเสียงหัวเราะ เฟิงเหม่ยหลินนอนพิงหมอนนุ่ม ใบหน้างดงามแม้ยังซีดเล็กน้อยจากความเหนื่อยล้า แต่ดวงตาคมเต็มไปด้วยประกายแห่งความรักเมื่อมองลูกชายตัวน้อยที่นอนอยู่ในอ้อมแขนของหมิงเฉินหมิงเฉินในชุดแม่ทัพลำลอง นั่งอยู่ข้างเตียงอย่างมั่นคง มือใหญ่ประคองลูกชายด้วยความทะนุถนอมราวกับของล้ำค่าที่สุดในโลก ดวงตาคมที่มักเด็ดขาดและแข็งกร้าวบนสนามรบ วันนี้กลับเต็มไปด้วยความอบอุ่นและอ่อนโยนซูเยี่ยนกับเหวินซียืนอยู่ปลายเตียง น้ำตาคลอด้วยความตื้นตันใจ ซูเยี่ยนกระซิบกับเหวินซี “ดูสิ…หมิงเฉินอุ้มลูกเหมือนกลัวว่าลมจะพัดแรงไปหน่อยก็จะทำให้เจ้าตัวเล็กเจ็บ”เหวินซีหัวเราะเบา ๆ “ถ้ามีใครบอกว่านั่นคือแม่ทัพที่น่าเกรงขามที่สุดในแผ่นดิน ข้าคงไม่เชื่อถ้าไม่ได้เห็นกับตา”อี้เหิงก้าวเข้ามาใกล้ เอ่ยยิ้ม ๆ “ข้าขออุ้มหลานได้หรือไม่แม่ทัพซู”หมิงเฉินหันมามองด้วยสายตาที่แม้ไม่ดุดันแต่ก็เต็มไปด้วยความระแวดระวัง เขาเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะค่อย ๆ ยื่นลูกชายให้อี้เหิงอย่างช้า ๆ พร้อมกับกำชับเสียงทุ้มต่ำ “ระวังหัว ระวังตัวเขาด้วย ถ้าเจ้าทำให้เขาเจ็บแ
ตอนที่ 71 ตอนรับสมาชิกใหม่ยามบ่ายในจวนแม่ทัพ แสงแดดลอดผ่านม่านผ้าไหมสีอ่อนเข้ามาในห้องนั่งเล่น กลิ่นดอกเหมยหอมอ่อน ๆ ลอยฟุ้ง ซูเยี่ยนกับเหวินซีเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มสดใส ตามหลังมาด้วยองค์ชายสามอี้เหิงที่ถือห่อผ้าไหมซึ่งมีของขวัญสำหรับทารกน้อย และองค์รัชทายาทที่เดินเข้ามาเป็นคนสุดท้ายเฟิงเหม่ยหลินนั่งพิงหมอนบนเก้าอี้ไม้สลักลายมังกร มือเรียววางบนหน้าท้องที่เริ่มใหญ่ขึ้นทุกวัน เมื่อเห็นเพื่อนสนิทเข้ามา ดวงตาคมก็อ่อนลงทันทีซูเยี่ยนรีบเดินเข้ามานั่งข้างเธอ มือเรียวลูบหน้าท้องเบา ๆ ดวงตาเป็นประกายตื่นเต้น “พี่สะใภ้ อีกไม่นานเจ้าก็จะได้เป็นแม่คนแล้ว ข้าตื่นเต้นแทนเจ้าจริง ๆ”เฟิงเหม่ยหลินยกคิ้วเล็กน้อย มุมปากยกยิ้มบาง ๆ ก่อนจะพูดเสียงเรียบแต่เต็มไปด้วยความสนิทสนม “ถ้าเจ้าตื่นเต้นนัก ก็รีบแต่งกับองค์ชายสามเสียสิ แล้วรีบมีลูก ลูก ๆ ของข้ากับเจ้าจะได้โตมาเป็นเพื่อนเล่นกัน”ซูเยี่ยนหน้าแดงวูบทันที ก่อนจะหันไปมองอี้เหิงที่ยืนอยู่ไม่ไกลอย่างเขินอาย “ข้า” เสียงเธอสั่นเล็กน้อย แต่ยังไม่ทันพูดต่ออี้เหิงก็หัวเราะเบา ๆ พร้อมก้าวมานั่งฝั่งตรงข้าม ดวงตาคมเป็นประกายระหว่างมองซูเยี่ยนกับเฟิงเหม่ยหลิน “
ตอนที่ 70 จบสงครามด้วยจดหมายฉบับเดียวคืนนั้น หลังการกวาดล้างเสร็จสิ้น เฟิงเหม่ยหลินนั่งอยู่ในห้องลับของจวนแม่ทัพ มือเรียวเขียนจดหมายลงบนกระดาษอย่างใจเย็น“ถึงผู้นำกองกำลังตะวันออก ข้าคือเฟิงเหม่ยหลิน ฮูหยินแม่ทัพซู ข้าทราบว่าแผนของพวกท่านคือการใช้จังหวะที่ราชสำนักวุ่นวายเพื่อบุกเมืองหลวงหากพวกท่านยังไม่หยุดแผนนี้ ข้าจะสั่งให้ทางเมืองตะวันออกที่ข้าเคยเดินทางไป ใช้ไฟเผาทุกเส้นทางและป่าที่เป็นเสบียงของพวกท่านให้หมด ข้าสอนพวกเขาแล้วว่าจะหยุดไฟป่าไม่ให้ลามมาถึงบ้านเมืองของตนเองอย่างไร แต่ข้าไม่ได้สอนว่าจะหยุดไฟที่ไหม้ดินแดนของพวกท่านอย่างไรถ้าไม่อยากเห็นแผ่นดินของท่านกลายเป็นทะเลเพลิง ให้ถอนกองกำลังและลืมแผนการนี้ซะ”หมิงเฉินก้าวเข้ามาในห้องเงียบ ๆ เขาอ่านข้อความในจดหมาย สายตาคมจ้องภรรยาที่กำลังเขียนเสร็จ ก่อนจะยิ้มบางและพูดเสียงทุ้ม “ข้าบอกแล้ว เจ้าร้าย แต่ร้ายถูกที่เสมอ”เฟิงเหม่ยหลินพับจดหมายอย่างสงบ ดวงตาคมหันมาสบสายตาสามี “ข้าจะไม่ยอมให้ใครมาทำลายความสงบของแผ่นดินนี้ และจะไม่ให้ใครพรากความสงบสุขของเราสองคนไปอีก”หมิงเฉินเดินเข้ามากอดร่างบอบบางไว้แน่น กระซิบเสียงหนักแน่น “ข้าจะจัดก
ตอนที่ 69 ปิดฉากพวกกบฏค่ำคืนหนึ่งหลังการวางแผนลับ ห้องลับในวังหลวงถูกใช้เป็นจุดเริ่มต้นของปฏิบัติการ เฟิงเหม่ยหลินนั่งอยู่ที่หัวโต๊ะ มือเรียววางพัดพู่กันลงบนโต๊ะอย่างสงบ แต่ในดวงตาคมกริบส่องแสงเย็นชาที่ทำให้ทุกคนในห้องสัมผัสได้ถึงพลังของผู้ล่าหมิงเฉินยืนอยู่ด้านหลังเธฮ แขนแข็งแรงพาดไว้บนอก สีหน้าสงบนิ่งแต่ดวงตาคมลึกจับจ้องเธอด้วยรอยยิ้มบางอย่างภาคภูมิใจและหวงแหน เขาเคยพูดกับเธอครั้งหนึ่ง “เจ้าร้าย แต่ร้ายอย่างถูกที่ และนั่นทำให้เจ้าหยุดยั้งสิ่งที่ไม่มีใครทำได้” และคืนนี้ เขาได้เห็นว่าคำนั้นเป็นความจริงองค์รัชทายาทนั่งข้าง ๆ องค์ชายสาม ขณะฟังเฟิงเหม่ยหลินอธิบายแผนการอย่างละเอียดบนแผนที่“พวกมันคิดจะโค่นราชสำนักโดยใช้กองกำลังของแคว้นชิงลู่ ก็ดี” เธอกล่าวเสียงเรียบแต่เฉียบคม “ข้าจะปล่อยข่าวว่าหนึ่งในสามตระกูลที่สมรู้ร่วมคิดมีแผนจะหักหลังอีกสองตระกูล และเตรียมเจรจาลับกับแคว้นชิงลู่เพื่อตัดพวกมันออกจากข้อตกลง”องค์ชายสามหัวเราะเบา ๆ พลางพยักหน้า “พวกนั่นจะกัดกันเอง จนไม่มีใครไว้ใจใคร”เฟิงเหม่ยหลินยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย “ใช่ ข้าจะให้พวกมันทำลายกันเองโดยที่เราไม่ต้องเสี่ยงแม้หยดเลือดเดียว







