แชร์

บทที่7 เงินตราจากปัญญา

ผู้เขียน: Mumi
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-10-23 11:55:04

เสียงจอแจของผู้คนยังกรอกหูไม่ขาดสาย กลิ่นควันธูปจากศาลเจ้าเจือกับไอทอดกระทะและชาใบแรกของวัน ลอยคลุมถนนหินกรวดให้กลายเป็นม่านบาง ๆ แห่งชีวิตชีวา ซูอี้เหม่ยยกห่อผ้าเบา ๆ ในมือ—ข้างในมีเพียงของใช้เล็กน้อย เงินรางวัลจากร้านโอสถก้อนหนึ่ง และที่สำคัญที่สุดคือ “ทุนเงียบ” ที่นางพกมาจากเรือนเดิม: เงินกับของล้ำค่าบางชิ้นที่ชิงมาจากหีบของสวี่ซินเหมยเมื่อคืนก่อน นั่นไม่ใช่เพียงทรัพย์สิน แต่คือการชดเชยปีเดือนแห่งการถูกกดขี่ และจะถูกแปรเปลี่ยนเป็นรากฐานชีวิตใหม่ของนางในเมืองหลวง

นางเดินลึกเข้าไปในย่านการค้าเก่า เลือกตรอกที่มีร่มไผ่ทอดเงาในยามสายและมีลมโกรกในยามบ่าย ตรงหัวมุมมีศาลาไม้เล็ก ๆ สำหรับวางถังน้ำของคนหาบ—ตรงนี้คนผ่านทั้งวัน แต่ไม่คับคั่งจนเข็นแผงลำบาก นางยิ้มบางกับตัวเอง: “ทำเลดี—ไม่โดนร้านใหญ่กลบ และไม่หลบสายตาจนไร้ลูกค้า”

เงินที่ได้มาจากการต่อรองแหวนทองกับโรงรับจำนำเมื่อวาน นางกันไว้ส่วนหนึ่งสำหรับค่าเช่าโรงเตี๊ยมและอาหารสามวัน ถัดมา นางล้วงถุงผ้าเล็กจากแขนเสื้อ—เงินที่ชิงจากแม่เลี้ยงยังเหลือพอสมควร นางตั้งใจแน่วแน่: จะไม่ปล่อยให้มันรั่วไหลไปกับความฟุ้งเฟ้อแม้แต่เหรียญเดียว ทุกตำลึงต้องงอกดอก

เช้าแรกที่ได้กุมทุนในมือ นางออกจับจ่ายอย่างเป็นระบบ เริ่มจากของจำเป็นสำหรับ “แผงโอสถเร่” ขนาดพกพา—ครกหินเนื้อละเอียด สากไม้ ขวดแก้วปากกว้าง ฝาจุกไม้ก๊อก กระดาษน้ำมันกันชื้น เชือกปอ ถ้วยตวงไม้ที่มีสเกลหยาบ ๆ และกาต้มโลหะใบเล็กสำหรับชาชงยา จากนั้นนางไปที่ร้านผ้า ซื้อผ้าฮ่อมสีหม่นสองผืน—หนึ่งเป็นผ้าคลุมหน้าสำหรับปกปิดรูปโฉม อีกหนึ่งตัดเย็บเป็นผ้ากันเปื้อนและผ้าแผงป้าย เขียนอักษรง่าย ๆ ว่า “ยาชงคลายร้อน—ยาหอมยกดวง—น้ำมันคลายเส้น”

ก่อนเที่ยง นางกลับไปที่โรงเตี๊ยม ห้องใต้หลังคาเล็ก ๆ กลายเป็นห้องปรุงยาเฉพาะกิจ กลิ่นโกฐสอ ชะเอมเทศ ขิงแห้ง และรากชางจูหมูลอยคลุ้ง ซูอี้เหม่ยบด ตำ ร่อนผง แยกส่วนตามสัดส่วนที่นางทดลองปรับเมื่อคืน—วิธีคิดจากโลกเดิมช่วยให้นางคุมมาตรฐานได้แม่นขึ้น: ตวงด้วยถ้วยที่ขีดเส้นไว้ กำหนดความละเอียดของผงด้วยเวลาและแรงตำคงที่ และติดป้ายชุดผลิตเล็ก ๆ บนซองผ้าเพื่อย้อนตรวจได้ นางใช้เงินส่วนทุนจัดทำ “ซองผ้าลูกค้าประจำ” เย็บมือเรียบ ๆ ใส่ยาสามซองกับคำแนะนำสั้น ๆ ว่าควรดื่มเมื่อใด หลีกเลี่ยงอาหารอะไร—ของเล็ก ๆ ที่ทำให้คนรู้สึกว่าได้รับการดูแลจริง

บ่ายนั้น แผงเล็กของซูอี้เหม่ยตั้งอยู่ใต้ร่มไผ่ริมตรอก ผู้คนหยุดดูด้วยความแปลกใจ หญิงขายของคนหนึ่งบ่นปวดหลังจากยืนหน้ากระทะทั้งเช้า ซูอี้เหม่ยชวนให้นั่งบนม้านั่งเตี้ย ใช้น้ำมันคลายเส้นที่ผสมน้ำมันไพล พิมเสน และการบูรในสัดส่วนพอเหมาะ นวดลากแนวกล้ามเนื้อขึ้นลงช้า ๆ แล้วกดจุดชวี้ฉือและเจียนจิงอย่างนุ่มนวล “คืนนี้แช่น้ำอุ่นผสมขิงฝานบาง แล้วพรุ่งนี้ค่อยยืดไหล่ตามนี้” นางสาธิตท่าง่าย ๆ ผู้คนที่ยืนล้อมพยักหน้ากันทั้งแถบ หญิงขายของยกแขนหมุนแล้วเบิกตากว้าง “เบา—จริง ๆ!” เธอทิปเพิ่มเหรียญเล็ก ๆ อย่างเต็มใจ

เสียงชมแพร่ไปเร็วกว่าไอชา ขณะเดียวกัน “คนเก็บส่วยตลาด” ก็ปรากฏตัวตามครรลองของเมืองหลวง เขามองแผงที่ดูสะอาดกว่าแผงเร่ทั่วไป สีหน้าคิดเงินเรียบ ๆ ซูอี้เหม่ยไม่ถอย—นางยื่น “ข้อเสนอ” ด้วยทุนจากเงินแม่เลี้ยงทันที: “ข้าทำกล่องยาเล็กสำหรับคนบาดเจ็บจากขนของ ส่งทุกเช้าสัปดาห์ละสองครั้ง ไม่คิดเงิน และช่วยดูเส้นเอ็นให้พวกเขาฟรีวันละสามราย แลกกับการไม่รบกวนแผงนี้” คนเก็บส่วยเลิกคิ้ว—นี่ไม่ใช่การเผชิญหน้า แต่เป็นการ “ซื้อความสงบ” ด้วยประโยชน์ที่จับต้องได้ เขาชั่งใจอึดใจหนึ่ง ก่อนพยักหน้าเบา ๆ “อย่าทำให้ถนนสกปรกก็แล้วกัน” เงื้อมมืออำนาจผ่านไป เหลือแค่สายลมร้อนของบ่ายแก่ ๆ ที่พัดชายผ้าคลุมหน้าของนางให้กระเพื่อม

ช่วงเย็น นางนำเงินรายวันส่วนหนึ่งเข้ากล่องไม้เล็ก—บัญชีแยกชัด: ค่าเช่า ค่าวัตถุดิบ เงินสำรองฉุกเฉิน และ “ทุนต่อยอด” ซูอี้เหม่ยรู้ว่าหากจะเติบโต ต้องหมุนเงินให้เกิดเงิน นางจดรายการวัตถุดิบที่หายากและแพงหูฉีกในเมือง แต่ราคาต่ำกว่าในชนบท—เช่น ดอกเก๊กฮวยจากชุมชนชายน้ำตอนเหนือ รากชะเอมคุณภาพดีจากพ่อค้าคาราวานที่ยังไม่เข้าตลาด นางแบ่งเงินจากถุงของสวี่ซินเหมยออกไปเป็น “กองซื้อล่วงหน้า” ตระเวนหาซื้อจากต้นทางเล็ก ๆ แล้วแบ่งบรรจุขายย่อยในเมือง—ส่วนต่างกำไรแม้ไม่มากในแต่ละครั้ง แต่เมื่อหมุนเร็วและซื่อสัตย์เรื่องน้ำหนัก ก็กลายเป็นสายเงินคงที่ที่ไม่ต้องอาศัยฝีมือรักษาเพียงอย่างเดียว

คืนวันหนึ่ง เถ้าแก่ร้านโอสถที่นางเคยช่วยเรื่องตำรับมองมาอย่างครุ่นคิด “แม่หนู สนใจทำงานชั้นในบ้างไหม—ตรวจรับสมุนไพร คัดของปลอม? ข้าเพิ่มค่าจ้างให้” ซูอี้เหม่ยยิ้มในผ้าคลุม “ข้าเป็นเพียงคนเร่ หากต้องติดอยู่หลังร้าน เกรงว่าลูกค้าประจำของข้าจะผิดหวัง แต่…ข้าขอใช้ตาชั่งของท่านตวงของทุกเย็น แลกกับการเขียนป้ายวิธีชงยาสำหรับลูกค้าท่านให้เข้าใจง่าย” เถ้าแก่หัวเราะชอบใจ—ข้อแลกเปลี่ยนนี้ทำให้ทั้งสองฝ่ายได้ประโยชน์และไม่ผูกมัดเกินไป ทุนจากเงินแม่เลี้ยงจึงไม่ใช่แค่เงินสดในถุง แต่กลายเป็น “เครดิตทางความน่าเชื่อถือ” ที่นางต่อทุนด้วยทักษะได้

กลางวันงานแผง กลางคืนเป็นเวลาของการทดลอง นางหยอดเงินจากกองทุนเล็ก ๆ ซื้อขวดแก้วดีขึ้น เปลี่ยนจุกก๊อกเป็นฝาไม้ขัดเรียบไม่ซึมน้ำ บางค่ำ นางไปนั่งเงียบ ๆ ที่ชายน้ำ ฟังเสียงน้ำไหลแล้วค่อย ๆ ปรับสูตรยาหอม—นางรู้ว่าชาวเมืองหลวงทำงานหนัก นอนหลับไม่สนิท เมืองแห่งเกียรติยศและการชิงไหวชิงพริบต้องการ “ยาหอมยกดวง” ที่ไม่หนักนัก ไม่ทำให้หัวมึนในยามเช้า นางจึงลดโป๊ยกั๊กลง แต้มเปลือกส้มแห้งเพิ่ม และใส่ดอกเก๊กฮวยขาวอีกเล็กน้อย กลิ่นหอมอ่อนละมุนไม่ดันคอ—พอให้คนอยากหยิบซองที่สอง

ทุนที่เหลือจากหีบของสวี่ซินเหมย นางมิได้กว้านซื้อทุกอย่าง แต่ค่อย ๆ ลงกับ “ทรัพย์ถาวร” : โต๊ะพับไม้ขนาดพอเหมาะ เสื่อฟางสะอาดสองผืน เก้าอี้เตี้ยสำหรับลูกค้า และกล่องเงินสองชั้นแยกสกุล เหลือบางส่วน นางแอบซุกใต้กระดานพื้นห้องพร้อมสร้อยหยก—กันไว้ยามคับขันเผื่อเจ็บป่วยหรือโดนรื้อแผง ต้องย้ายทำเลฉุกเฉิน นั่นคือวินัยใหม่ที่นางใช้ควบคุม “ความเสี่ยงของเมืองหลวง”

ไม่นาน เด็กเร่ตัวผอมสองคนที่นางเคยซื้อขนมให้ เริ่มวนเวียนมาช่วยยกของเองโดยไม่ร้องขอ นางจึงแยกเงินเล็ก ๆ จากกองทุนจ้างพวกเขาเป็น “เด็กป้ายคำ” —หน้าที่คือแจกแผ่นผ้ารูปใบชาเล็ก ๆ พิมพ์คำสั้น ๆ “ชาคลายร้อน—ชงฟรีถ้วยแรกสำหรับคนทำงานกลางแดด” ลูกเล่นนี้ใช้ทุนไม่มาก แต่ดึงคนใหม่ ๆ เข้าหาแผงและสร้างคำเล่าต่อบนถนนได้ดีกว่าตะโกนแข่ง

ข่าวลือดีไปไว แต่คำระวังก็ลอยตามมา เถ้าแก่ร้านโอสถกระซิบยามนางไปตวงยา “สมาคมโอสถจะไม่ชอบใจผู้เร่ที่ตัดหน้าขายตรง ระวังไว้” ซูอี้เหม่ยพยักหน้ารับ เธอปรับแนวทันที—วางป้ายเล็กใต้แผง: “รับแนะนำให้ซื้อยาหลักที่ร้านใหญ่—แผงนี้จำหน่ายเพียงชาชงบำรุง น้ำมันคลายเส้น และให้คำแนะนำทั่วไป” เธอไม่ชนกำแพงตรง ๆ แต่ไหลตามโครงสร้างที่มีอยู่ แล้วเจาะช่องว่างระหว่างก้อนอิฐ—ช่องว่างแห่ง “การดูแล” ที่ร้านใหญ่ไม่มีเวลาให้

ยามสายวันหนึ่ง ขบวนเล็กของผู้คุมตรอกมองแผงของนางก่อนหยุด ชายหนุ่มคนหน้าสุดไอแห้ง ๆ ซูอี้เหม่ยชงชาดอกเก๊กฮวยใส่ชะเอมให้โดยไม่คิดเงิน “เสียงไอท่านมีกลิ่นร้อน คงเฝ้ายามกลางฝุ่นมากไป คืนนี้ต้มน้ำล้างจมูกด้วยเกลือเม็ดสักสองหยิบ” ผู้คุมยกถ้วยจิบ แล้วทำหน้าเหมือนได้พักจริง ๆ ครั้งแรกในรอบวัน เขาวางเหรียญเงินเล็กไว้โดยไม่มองหน้า “รักษาใจคนก่อนรักษาโรค…ข้าควรจำ” เขาพึมพำเบา ๆ ทว่าเพียงพอให้ลูกน้องได้ยิน แผงเล็กจึงได้ “โล่เงา” โดยไม่ต้องเสียส่วยสักเหรียญ

ตกบ่าย แผงตรงข้ามเริ่มขายชาคลายร้อนเลียนแบบ ซูอี้เหม่ยไม่ไหวติง นางใช้ทุนจากเงินแม่เลี้ยงเพิ่ม “คุณค่า” แทนแข่งราคา—จัดชุดเล็ก “คนทำครัว” ใส่ยานวดกับผงแช่มือดับกลิ่นน้ำมัน พ่วงคำแนะนำการยืดข้อมือสามท่า และคูปองตรวจเส้นฟรีหนึ่งครั้ง สินค้าของนางจึงไม่ใช่แค่ของเหลวในถุง แต่คือประสบการณ์เล็ก ๆ ที่ทำให้คนรู้สึกว่า “กลับบ้านดีขึ้น” ไม่ใช่แค่ “ซื้อของ”

เย็นย่ำวันนั้น เมื่อแสงวันเอียงยาว ซูอี้เหม่ยนับเหรียญในกล่องเงินสองชั้น เงียบ ๆ เหรียญเงินกองกลางเติบโตทีละเม็ด นางแบ่งบางส่วนกลับเข้ากองทุน เก็บอีกส่วนในถุงซ่อน และกันเล็กน้อยไว้ทำบุญเลี้ยงน้ำชาเด็กเร่ของตรอก—ทุนทางใจที่ไม่มีในบัญชี แต่ทำให้ตรอกนี้คอยคุ้มเธอโดยไม่ต้องพูด

ขณะนางกำลังรูดผ้าปิดแผง เงาดำที่คุ้นตาก็ทาบลงบนพื้นไม้—ชายลึกลับในชุดดำยืนพิงเสาเหมือนเคย ดวงตาคมวาวเพียงชั่วแล่น เขาไม่เข้าใกล้ เพียงวางเหรียญเงินหนึ่งเหรียญกับเศษกระดาษพับเล็กไว้ปลายโต๊ะ “ยามคุณธรรมอ่อนแรง กฎหมายคือคมดาบของผู้มีอำนาจ—รักษาช่องไฟเสมอ” ข้อความเรียบง่าย แต่เหมือนลมเย็นพัดผ่านต้นคอ นางเก็บกระดาษไว้ในแขนเสื้อ หัวใจสงบนิ่ง—ทุนที่ใหญ่ที่สุดในเมืองนี้ ไม่ใช่เงินในถุง หากคือ “สติ” และ “ช่องไฟ” ระหว่างตัวเองกับทุกอำนาจ

คืนนั้น นางล้างมือในกะละมังน้ำอุ่น ผ้าคลุมหน้าแห้งบนเชือกฟาง ขณะที่ไกลออกไปกลองยามทุบระฆังอย่างสม่ำเสมอ ซูอี้เหม่ยนั่งลงบนพื้นไม้ เอียงตัวหยิบสร้อยหยกที่ซ่อนใต้กระดานขึ้นมาดูเพียงอึดใจ แล้วเก็บกลับอย่างระมัดระวัง “อย่าขายทุกอย่างในยามฟ้าเปิด—เก็บเสบียงไว้สำหรับวันที่ฝนลง” นั่นคือกฎข้อใหม่ที่เธอเขียนไว้ในใจ

เช้าถัดมา แสงอาทิตย์ซึมผ่านบานหน้าต่างไม้ นางแต้มฝุ่นถ่านให้เป็นกระเล็ก ๆ ซ่อนปลายคางไว้ใต้ผ้าคลุม เปลี่ยนสำเนียงให้เรียบธรรมดา หาบแผงลงบันไดอย่างคล่องแคล่ว คนหาบ คนครัว คนคุมตรอก และบัณฑิตหนุ่มผลัดกันทัก “แม่หมอเร่” ด้วยรอยยิ้มที่คุ้นขึ้นทุกวัน ทุนจากเงินที่ชิงมาด้วยเลือดใจเมื่อวันก่อน จึงค่อย ๆ ผลิเป็น “ดอก” —เป็นข้าวหนึ่งชาม ชาอุ่นหนึ่งกา เสื่อหนึ่งผืน และชื่อเสียงเล็ก ๆ ที่เติบโตด้วยสองมือของนางเอง

เมืองหลวงยังคงวุ่นวาย โหดเหี้ยม และงดงามพอ ๆ กัน แต่ซูอี้เหม่ยไม่ใช่คนแปลกหน้าที่หลงทางอีกต่อไป นางคือผู้ค้าตัวเล็กที่รู้จักหมุนเงินให้เกิดเงิน รู้จักหมุนคุณธรรมให้เกิดโล่ และรู้จักหมุนความงามให้เป็นเพียงเงาบางหลังผ้าคลุม เช้านี้ นางยกกากลับสู่ไฟอ่อน เสียงน้ำเดือดดังแผ่ว ราวกับโลกทั้งใบกำลังพยักหน้าให้เส้นทางที่นางเลือกเดิน—เส้นทางซึ่งเริ่มจากเงินสกปรกในหีบของคนใจร้าย แต่ถูกชะล้างด้วยหยาดเหงื่อ ความรู้ และความตั้งใจ จนกลายเป็นรายได้สะอาดที่งอกงามด้วยมือของนางเอง.

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • บุปผาข้ามภพ วิชาหมอจากแดนไกล   บทที่27 ดอกเหมยท่ามกลางวังหลวง

    หลังจากได้รับตำแหน่งเป็น องค์หญิงบุญธรรม และพระราชแพทย์หญิงสูงสุดแห่งราชสำนัก ซูอี้เหม่ยถูกย้ายเข้าพำนักในตำหนักหรูภายในวังหลวง ทุกย่างก้าวล้วนถูกสายตาผู้คนจับจ้องเช้า ๆ นางต้องเข้าตรวจคนไข้ในโรงหมอหลวง กลางวันตรวจร่างกายขุนนางหรือขันทีที่เข้าพบ เย็นจึงได้กลับตำหนักเพื่อพักผ่อน แต่กระนั้นเสียงซุบซิบก็ไม่เคยเงียบหาย“หญิงผู้หนึ่งจากชนบท กลับได้อยู่เคียงบัลลังก์”“โฉมงามเกินมนุษย์ ต้องมีเคล็ดลับบางอย่างแน่”อี้เหม่ยได้ยินทุกถ้อยคำ แต่ยังคงเดินอย่างมั่นคง ใบหน้าภายใต้ผ้าคลุมงาช้างสงบเยือกเย็น ทว่ายามที่นางจำต้องเปิดเผยโฉมหน้าเพื่อรักษาผู้ป่วย ทุกคนที่เห็นต่างถึงกับตะลึงงันใบหน้าของซูอี้เหม่ยคือดั่งภาพวาดจากสวรรค์ ผิวขาวเนียนดุจหยกแกะสลัก คิ้วเรียวประหนึ่งพู่กันจรด ริมฝีปากแดงสดราวกลีบกุหลาบ ดวงตาสุกใสสะท้อนแสงราวหยดน้ำค้างยามรุ่งสางความงามนั้นมิใช่เพียงรูปลักษณ์ หากแต่แฝงด้วยอำนาจที่สะกดใจผู้คน ไม่ว่าเป็นทหารที่ใกล้สิ้นลม ขุนนางผู้เย็นชา หรือแม้แต่ขันทีในวัง ต่างก็เผลอหยุดหายใจยามสบตากับนางและยิ่งนางไม่เคยโอ้อวด กลับยิ่งทำให้ความงามนั้นทรงพลังยิ่งขึ้น ราวกับ เทพธิดาที่ไม่อาจแตะต้องแ

  • บุปผาข้ามภพ วิชาหมอจากแดนไกล   บทที่26 กระบี่ปะทะแสงตะวัน

    ค่ำคืนหนึ่ง เสียงฝีเท้าทหารเร่งรีบดังขึ้นที่กระโจมแม่ทัพซึ่งตั้งอยู่นอกกำแพงเมืองหลวง นายทหารหนุ่มคุกเข่าลงทันที “แม่ทัพ! ข้ามีข่าวด่วน—องค์หญิงบุญธรรมซูอี้เหม่ยถูกใส่ร้ายว่าปรุงยาพิษในโรงหมอหลวง โชคดีที่พิสูจน์ความจริงได้ทัน ไม่เช่นนั้นชื่อเสียงคงป่นปี้ไปแล้ว!”หลงเทียนอวี่ที่นั่งอ่านแผนการทัพเงยหน้าขึ้นช้า ๆ ดวงตาคมสว่างดั่งเปลวไฟ “ใส่ร้ายงั้นหรือ?”เสียงทุ้มเย็นเยียบจนแม้แต่ทหารผู้กล้าก็ต้องก้มศีรษะต่ำ เหงื่อซึมเต็มแผ่นหลังแม่ทัพหนุ่มกำหมัดแน่น ความโกรธผสมความห่วงใยถาโถมในใจ “อี้เหม่ย…เจ้าอยู่ท่ามกลางเล่ห์กลในวัง แต่ข้าไม่อยู่เคียงข้าง…นี่คือความผิดของข้า”ไม่นานนัก เขาตัดสินใจแน่วแน่ “เตรียมม้า ข้าจะเข้าวังเดี๋ยวนี้!”รุ่งเช้าวันถัดมา วังหลวงสั่นสะเทือนเมื่อแม่ทัพหลงเทียนอวี่ปรากฏกาย ดวงตาคมกริบพุ่งตรงไปยังตำหนักรัชทายาทขันทีพยายามห้าม “แม่ทัพ…เวลานี้รัชทายาทกำลัง…”“ถอย!” เสียงคำรามดังก้อง ขันทีทั้งหลายต่างหน้าซีด รีบเปิดทางภายในตำหนัก รัชทายาทหยางเจิ้นอี้กำลังนั่งจิบชาพูดคุยกับซูอี้เหม่ยอย่างสบายใจ เมื่อประตูถูกผลักออกอย่างแรง ร่างสูงใหญ่ของแม่ทัพก้าวเข้ามา กลิ่นดาบและกลิ่นสง

  • บุปผาข้ามภพ วิชาหมอจากแดนไกล   บทที่25 เมล็ดพิษแห่งริษยา

    ภายในตำหนักของฮองเฮา องค์หญิงหลงหลงเดินวนไปมาด้วยสีหน้าไม่พอใจ นางได้ยินข่าวซุบซิบจากนางกำนัลทั้งหลายว่า องค์รัชทายาทหยางเจิ้นอี้ติดตามอี้เหม่ยไปทุกหนทุกแห่งในวัง ทั้งโรงหมอหลวง สวนเหมย หรือแม้กระทั่งระเบียงตำหนักบุญธรรม“ไม่อาจเป็นเช่นนี้!” หลงหลงกัดริมฝีปากแน่น ดวงตาวาวโรจน์ “แม่ทัพหลงคือของข้าอยู่แล้ว แต่ตอนนี้รัชทายาทกลับเฝ้าอี้เหม่ยทุกวัน หากปล่อยไป ทั้งสองบุรุษสำคัญที่สุดในวังจะตกอยู่ในเงาของนางหมด!”นางกำนัลคนสนิทเอ่ยเบา ๆ “องค์หญิง โปรดใจเย็น หม่อมฉันคิดว่าหากมีวิธีทำให้อี้เหม่ยเสียชื่อ นางจะหมดสิทธิ์ยืนในวังโดยปริยาย”ดวงตาของหลงหลงทอประกายร้ายทันที “ใช่…ถ้านางถูกประณามต่อหน้าฝ่าบาทและรัชทายาท เช่นนั้นนางก็สิ้นชื่อ!”หลายวันต่อมา ข่าวลือแพร่ไปทั่ววังว่า ยาที่ใช้รักษาทหารในโรงหมอหลวงมีพิษแฝงอยู่ ทำให้ผู้ป่วยบางคนอาการทรุดหนัก บางคนถึงขั้นเสียชีวิตอย่างน่าสงสัยขุนนางฝ่ายตรงข้ามรีบใช้โอกาสนี้ กราบทูลต่อฮ่องเต้ว่า “ฝ่าบาท หม่อมฉันได้ยินว่าในตำรับยาที่องค์หญิงบุญธรรมซูอี้เหม่ยเป็นผู้จัด มีส่วนผสมของสมุนไพรต้องห้าม หากปล่อยไว้เกรงว่าจะเป็นภัยแก่ราษฎร!”ฮ่องเต้ทรงตกพระทัยทันที “อี้

  • บุปผาข้ามภพ วิชาหมอจากแดนไกล   บทที่24 เพลิงรัก

    วังหลวงหลังพิธีฉลองชัยชนะกลับเต็มไปด้วยคลื่นใต้น้ำ ผู้คนซุบซิบถึงความงามล่มเมืองของซูอี้เหม่ยไม่ขาดปาก ข่าวแพร่ไปทั่วว่า ฮ่องเต้ทรงรับนางเป็นบุตรบุญธรรมและพระราชทานตำแหน่งสูงสุดแห่งแพทย์หญิง ยิ่งทำให้ขุนนางบางกลุ่มหวาดหวั่น บางกลุ่มกลับโลภอยากชิงนางไปครอบครองในทุกเช้า ยามอี้เหม่ยก้าวออกจากตำหนักบุญธรรม องค์รัชทายาทหยางเจิ้นอี้จะปรากฏกายทันที ราวกับรออยู่แล้ว“องค์หญิง วันนี้ข้าขอพาเจ้าไปชมสวนหลวงเถิด ดอกเหมยเพิ่งบานงามดุจเจ้า”นางเพียงก้าวเดินนิ่ง ๆ สายตาเยือกเย็น “ดอกไม้จะบานหรือร่วง ข้าไม่ใส่ใจนัก หากท่านปรารถนาเพื่อนคุย ข้าเกรงว่าข้าไม่เหมาะ”เจิ้นอี้หัวเราะเบา ๆ อย่างไม่ถือสา “ยิ่งเจ้าใจแข็ง ข้ายิ่งอยากอยู่ใกล้ หากเจ้ามิยอมคุย ข้าก็จะเดินเคียงข้างจนกว่าจะยอม”ทหารในวังและขันทีต่างมองกันไปมา ซุบซิบว่าองค์รัชทายาทไม่เคยทุ่มเทพอใจต่อสตรีใดเช่นนี้มาก่อนอีกฟากหนึ่ง หลงเทียนอวี่กลับไม่ค่อยเข้าวัง ยังคงคุมกองทัพอยู่ยามเช้า แต่ทุกค่ำคืนเขาจะมาที่ตำหนักบุญธรรมของอี้เหม่ยเงียบ ๆ บางคราเพียงยืนอยู่หน้าตำหนักแล้วจากไปคืนหนึ่ง อี้เหม่ยเปิดประตูพบเขายืนอยู่ในเงาแสงจันทร์ “แม่ทัพหลง ท่านมาเฝ้

  • บุปผาข้ามภพ วิชาหมอจากแดนไกล   บทที่23 การสรรเสริญ​

    กลองชัยยังคงดังสะท้อนก้องไปทั่วทั้งนครหลวง ประชาชนแห่แหนกันแน่นสองฝั่งถนนเพื่อรอรับกองทัพผู้พิชิต กลิ่นธูปและควันไฟจากการเฉลิมฉลองอบอวลไปทั่วอากาศ เด็กเล็กตะโกนด้วยความตื่นเต้น “แม่ทัพกลับมาแล้ว! ชัยชนะของแผ่นดิน!”แถวทหารเดินเป็นระเบียบเรียงรายราวสายธารเหล็กยาวเหยียด เกราะสะท้อนแสงแดดยามบ่ายจนแสบตา ธงมังกรทองปลิวสะบัดอยู่เหนือศีรษะ ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยความภาคภูมิเบื้องหน้าขบวนนั้น แม่ทัพหลงเทียนอวี่ควบม้าเข้ามาอย่างสง่างาม ชุดเกราะดำปักทองที่ห่อหุ้มร่างสูงสง่าเปล่งรัศมีอำนาจจนผู้คนมิอาจสบตาได้นาน ดวงตาคมนิ่งสงบแต่กลับแฝงแรงกดดันจนท้องถนนทั้งสายเหมือนจะสงัดลงในบัดดลเบื้องหลังเขา คือรถม้าสีงาช้างที่ประดับด้วยลายมังกรอ่อนช้อย ใช้สำหรับบรรทุกบุคคลสำคัญ—ซูอี้เหม่ย ผู้เป็นดั่งดวงใจแห่งชัยชนะครั้งนี้นางนั่งเงียบสงบภายในรถม้า ผ้าคลุมบางสีงาช้างปกปิดโฉมหน้าล่มเมือง แม้เสียงโห่ร้องดังก้องจากมวลชนรอบทาง นางก็ยังคงสงบนิ่ง แต่หัวใจกลับเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ เพราะรู้ดี—การกลับสู่นครหลวงครั้งนี้ ไม่ได้หมายถึงความสงบสุข หากคือการเริ่มต้นของเกมอำนาจที่ลึกล้ำยิ่งกว่าเดิมท้องพระโรงใหญ่ถูกประดับประดา

  • บุปผาข้ามภพ วิชาหมอจากแดนไกล   บทที่22 ชนะศึก

    ค่ายศึกหลังชัยชนะยังคงอบอวลด้วยกลิ่นเลือดและควันไฟ ทหารบางส่วนร้องไห้ให้เพื่อนที่สิ้นลม บางส่วนยกถ้วยเหล้าเฉลิมฉลองต่อหน้าซากศพ ความโหดร้ายและความดีใจผสมปนกันจนไม่อาจแยกแยะได้กลางเต็นท์ที่เพิ่งรอดจากเปลวเพลิง ซูอี้เหม่ยนั่งลงบนเก้าอี้ไม้เก่า มือยังคงพันผ้ารักษาบาดแผลให้ทหารทีละคน ใบหน้างามที่เพิ่งถูกเปิดเผยกลับไม่มีรอยยิ้ม—ดวงตาคมยังเต็มไปด้วยความแข็งกร้าวหลงเทียนอวี่ก้าวเข้ามาในเต็นท์ เสียงเกราะเหล็กกระทบกันเบา ๆ ทำให้ทุกคนในเต็นท์รีบก้มศีรษะ ถอยออกไปอย่างรู้หน้าที่ ภายในเหลือเพียงเขาและนาง“ท่านแม่ทัพ” เสียงอี้เหม่ยเรียบเย็น “หากท่านมาที่นี่เพื่อชมความงาม ข้าขอให้ท่านกลับไปที่กระโจมบัญชาการเถิด ที่นี่มิใช่ที่สำหรับเรื่องไร้สาระ”หลงเทียนอวี่หยุดยืนตรงหน้า ดวงตาคมยังคงจับจ้องนางอย่างไม่ปิดบัง “ข้าต่อสู้มาเนิ่นนาน รู้จักทั้งความตายและเลือดนับไม่ถ้วน แต่เมื่อครู่…เพียงได้เห็นใบหน้าของเจ้า หัวใจข้ากลับสั่นสะท้านยิ่งกว่าดาบของศัตรู”อี้เหม่ยเงยหน้าขึ้น ริมฝีปากโค้งยิ้มเย็นเฉียบ “แม่ทัพหลง หากท่านสั่นไหวเพราะใบหน้าสตรี เช่นนั้นกองทัพแคว้นนี้ก็ไม่ต่างจากกระดาษแผ่นบางที่พร้อมฉีกขาด”คำพูด

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status