เข้าสู่ระบบเสียงกีบม้าค่อยๆ เลือนหายไปพร้อมเงาของชายลึกลับผู้จากไป ทิ้งไว้เพียงกลิ่นอายแปลกประหลาดที่ยังวนเวียนอยู่ในใจ ราวกับเงาแห่งโชคชะตาที่ไม่อาจมองเห็นด้วยตาเปล่าแต่กลับกดทับลงบนหัวใจของซูอี้เหม่ยอย่างเงียบงัน
นางสูดลมหายใจลึก พยายามสงบความปั่นป่วนในอก ก่อนก้าวเดินกลับเข้าสู่หมู่บ้านเล็กริมภูเขา ที่ซึ่งชีวิตภายนอกยังคงดำเนินไปอย่างปกติ บ้านไม้เรียงรายอยู่สองฝั่งถนนดินแดง กลิ่นหอมของฟืนและอาหารพื้นบ้านลอยตามลมมา เด็กๆ วิ่งเล่นเสียงดังเจี๊ยวจ๊าว ผู้เฒ่านั่งสานตะกร้าใต้ร่มไม้ บรรยากาศดูอบอุ่นราวหมู่บ้านเล็กที่ห่างไกลความวุ่นวายของโลกภายนอก
แต่สำหรับซูอี้เหม่ย…ที่นี่กลับเต็มไปด้วยความอึดอัดเหมือนกำลังถูกล่ามด้วยโซ่ล่องหน บรรยากาศแสนสงบนี้ไม่อาจกลบกลิ่นอายมืดดำที่คลี่คลุมหัวใจของเธอ
เมื่อก้าวเท้าเข้าใกล้คฤหาสน์ไม้หลังใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางหมู่บ้าน เสียงด่าทอแหลมสูงก็ดังลอดออกมาจากด้านในทันที
“เจ้าขี้เกียจ! ทำไมยังไม่ไปตักน้ำ! หรือเจ้าคิดจะใช้ความงามบังหน้าแล้วเอาตัวรอดไปวันๆ รึไง!”
เสียงนั้นแทงทะลุเข้าไปในโสตประสาทจนร่างกายแข็งทื่อ ซูอี้เหม่ยหยุดชะงัก หัวใจบีบรัดแน่นราวกับถูกกำมือเย็นเยียบบีบไว้ นางค่อยๆ เงยหน้ามองร่างของหญิงวัยกลางคนที่ก้าวออกมาจากเรือนใหญ่ และเมื่อเห็นใบหน้า…สายเลือดในกายก็แทบหยุดไหล
ใช่แล้ว — นางคือ “สวี่ซินเหมย” ภรรยาใหม่ของบิดา หญิงที่ชาวบ้านเล่าลือกันว่าใจร้ายเฉกเช่นแม่เลี้ยงในเรื่องเล่าโบราณ และยิ่งน่าตกใจไปกว่านั้น…ใบหน้าของนางกลับละม้ายคล้ายกับเจ้านายหญิงผู้กดขี่ในโลกก่อนของซูอี้เหม่ยอย่างไม่ผิดเพี้ยน
สวี่ซินเหมยยืนกอดอก แววตาคมกริบมองลงมาราวกับศัตรูที่ต้องกำจัด ชุดแพรไหมสีเข้มที่สวมอยู่สะท้อนประกายเย็นยะเยือก เครื่องประดับทองหยกระยับเต็มศีรษะ แต่กลับไม่อาจบดบังความแข็งกระด้างและริษยาที่ฉายชัดบนใบหน้า
ซูอี้เหม่ยกำหมัดแน่น ความทรงจำจากร่างเดิมเริ่มไหลบ่ากลับเข้ามาอย่างไม่อาจขัดขืน เด็กสาวผู้เคยงดงามไร้เดียงสา ถูกบีบให้ทำงานหนักราวทาส ถูกใส่ร้ายว่าอกตัญญู ทั้งที่แท้จริงแล้วทุกความอยุติธรรมนั้นล้วนมาจากสวี่ซินเหมยผู้เดียว
“ดวงตาของนาง…สะท้อนแต่ความริษยา” ซูอี้เหม่ยคิดในใจ ขณะที่แววตาของตนเองค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา
ทันใดนั้นเสียงหัวเราะแหบพร่าก็ดังขึ้น ชายวัยกลางคนร่างไม่สูงนักเดินออกมาจากด้านใน เขาคือ ซูหย่งไห่ บิดาของร่างเดิม ใบหน้าเปื้อนยิ้มที่ฝืนจนดูน่าสมเพช เขาก้มหน้าหลบสายตาภรรยาใหม่แทบจะตลอดเวลา
เมื่อสายตาสบเข้ากับลูกสาว เขาเพียงเหลือบมองแวบหนึ่ง ก่อนรีบเบือนหน้าหนี ทำราวกับซูอี้เหม่ยไม่ใช่สายเลือดแท้ของตน ความอบอุ่นที่บุตรสาวควรได้รับกลับไม่มีแม้เศษเสี้ยว
ความขมขื่นปะทุขึ้นในใจ แต่ริมฝีปากของซูอี้เหม่ยกลับยกยิ้มเย็น นางกล่าวกับตนเองในความคิด “นี่หรือ…คือครอบครัวใหม่ของฉัน? ในเมื่อสวรรค์ส่งฉันมาที่นี่ ก็อย่าโทษฉันเลย หากฉันจะสานต่อชีวิตของร่างเดิม…และคืนทุกความเจ็บปวดให้กับคนที่มันสมควรได้รับ”
แม่เลี้ยงยังคงพรั่งพรูคำด่าทอไม่หยุดหย่อน แต่หญิงสาวกลับไม่ตอบโต้ เพียงก้าวช้าๆ เข้าไปในเรือน ดวงตาคมวาวสะท้อนความเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน — นี่ไม่ใช่สายตาของเด็กสาวผู้ถูกกดขี่อีกต่อไป หากแต่เป็นสายตาของผู้ล่า ผู้ที่พร้อมจะพลิกเกมแห่งโชคชะตาให้กลับด้าน
เสียงพื้นไม้ดังเอี๊ยดอ๊าดเมื่อเธอเหยียบขึ้นบันได ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยความหนักแน่นที่แตกต่างจากเดิม ผู้คนในเรือนใหญ่แอบชำเลืองมองอย่างระแวง เพราะแม้ซูอี้เหม่ยจะมิได้เอื้อนเอ่ยถ้อยคำใด แต่เพียงแววตาและรอยยิ้มเย็นก็เพียงพอที่จะทำให้บรรยากาศรอบกายเปลี่ยนไป
และในขณะเดียวกันนั้น ที่ริมถนนไม่ไกล เงาของหมอกยามเย็นคลี่คลุม ร่างสูงในชุดดำยังคงยืนเงียบอยู่ เขาคือชายหนุ่มลึกลับผู้ช่วยชีวิตนางไว้ก่อนหน้านี้ ดวงตาคมกริบทอดมองตามการเคลื่อนไหวของซูอี้เหม่ยด้วยสายตาลึกล้ำ เหมือนอ่านทุกความคิดซ่อนเร้นในใจของนางได้ทั้งหมด
แววตานั้นไม่ได้เป็นเพียงการเฝ้ามองธรรมดา แต่เป็นการรอคอย รอวันที่เส้นทางของทั้งสองจะพันเกี่ยวกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้…
หมอกเริ่มหนาขึ้น เสียงระฆังเย็นจากวัดบนเชิงเขาดังแว่วมา คล้ายเสียงสัญญาณแห่งการเริ่มต้นบทใหม่ในโชคชะตา — บทที่ไม่ได้ถูกเขียนด้วยความอ่อนแออีกต่อไป แต่เป็นบทของการแก้แค้น การพิสูจน์ และการทวงคืนศักดิ์ศรี
ซูอี้เหม่ยก้าวเข้าสู่คฤหาสน์ไม้ด้วยหัวใจที่มิใช่ของเด็กสาวผู้ถูกกดขี่ หากแต่เป็นหัวใจของสตรีผู้มีความทรงจำสองภพ และในเงามืดนั้น…โชคชะตากำลังเตรียมบททดสอบที่โหดเหี้ยมยิ่งกว่าที่ใครจะคาดคิด
หลังจากได้รับตำแหน่งเป็น องค์หญิงบุญธรรม และพระราชแพทย์หญิงสูงสุดแห่งราชสำนัก ซูอี้เหม่ยถูกย้ายเข้าพำนักในตำหนักหรูภายในวังหลวง ทุกย่างก้าวล้วนถูกสายตาผู้คนจับจ้องเช้า ๆ นางต้องเข้าตรวจคนไข้ในโรงหมอหลวง กลางวันตรวจร่างกายขุนนางหรือขันทีที่เข้าพบ เย็นจึงได้กลับตำหนักเพื่อพักผ่อน แต่กระนั้นเสียงซุบซิบก็ไม่เคยเงียบหาย“หญิงผู้หนึ่งจากชนบท กลับได้อยู่เคียงบัลลังก์”“โฉมงามเกินมนุษย์ ต้องมีเคล็ดลับบางอย่างแน่”อี้เหม่ยได้ยินทุกถ้อยคำ แต่ยังคงเดินอย่างมั่นคง ใบหน้าภายใต้ผ้าคลุมงาช้างสงบเยือกเย็น ทว่ายามที่นางจำต้องเปิดเผยโฉมหน้าเพื่อรักษาผู้ป่วย ทุกคนที่เห็นต่างถึงกับตะลึงงันใบหน้าของซูอี้เหม่ยคือดั่งภาพวาดจากสวรรค์ ผิวขาวเนียนดุจหยกแกะสลัก คิ้วเรียวประหนึ่งพู่กันจรด ริมฝีปากแดงสดราวกลีบกุหลาบ ดวงตาสุกใสสะท้อนแสงราวหยดน้ำค้างยามรุ่งสางความงามนั้นมิใช่เพียงรูปลักษณ์ หากแต่แฝงด้วยอำนาจที่สะกดใจผู้คน ไม่ว่าเป็นทหารที่ใกล้สิ้นลม ขุนนางผู้เย็นชา หรือแม้แต่ขันทีในวัง ต่างก็เผลอหยุดหายใจยามสบตากับนางและยิ่งนางไม่เคยโอ้อวด กลับยิ่งทำให้ความงามนั้นทรงพลังยิ่งขึ้น ราวกับ เทพธิดาที่ไม่อาจแตะต้องแ
ค่ำคืนหนึ่ง เสียงฝีเท้าทหารเร่งรีบดังขึ้นที่กระโจมแม่ทัพซึ่งตั้งอยู่นอกกำแพงเมืองหลวง นายทหารหนุ่มคุกเข่าลงทันที “แม่ทัพ! ข้ามีข่าวด่วน—องค์หญิงบุญธรรมซูอี้เหม่ยถูกใส่ร้ายว่าปรุงยาพิษในโรงหมอหลวง โชคดีที่พิสูจน์ความจริงได้ทัน ไม่เช่นนั้นชื่อเสียงคงป่นปี้ไปแล้ว!”หลงเทียนอวี่ที่นั่งอ่านแผนการทัพเงยหน้าขึ้นช้า ๆ ดวงตาคมสว่างดั่งเปลวไฟ “ใส่ร้ายงั้นหรือ?”เสียงทุ้มเย็นเยียบจนแม้แต่ทหารผู้กล้าก็ต้องก้มศีรษะต่ำ เหงื่อซึมเต็มแผ่นหลังแม่ทัพหนุ่มกำหมัดแน่น ความโกรธผสมความห่วงใยถาโถมในใจ “อี้เหม่ย…เจ้าอยู่ท่ามกลางเล่ห์กลในวัง แต่ข้าไม่อยู่เคียงข้าง…นี่คือความผิดของข้า”ไม่นานนัก เขาตัดสินใจแน่วแน่ “เตรียมม้า ข้าจะเข้าวังเดี๋ยวนี้!”รุ่งเช้าวันถัดมา วังหลวงสั่นสะเทือนเมื่อแม่ทัพหลงเทียนอวี่ปรากฏกาย ดวงตาคมกริบพุ่งตรงไปยังตำหนักรัชทายาทขันทีพยายามห้าม “แม่ทัพ…เวลานี้รัชทายาทกำลัง…”“ถอย!” เสียงคำรามดังก้อง ขันทีทั้งหลายต่างหน้าซีด รีบเปิดทางภายในตำหนัก รัชทายาทหยางเจิ้นอี้กำลังนั่งจิบชาพูดคุยกับซูอี้เหม่ยอย่างสบายใจ เมื่อประตูถูกผลักออกอย่างแรง ร่างสูงใหญ่ของแม่ทัพก้าวเข้ามา กลิ่นดาบและกลิ่นสง
ภายในตำหนักของฮองเฮา องค์หญิงหลงหลงเดินวนไปมาด้วยสีหน้าไม่พอใจ นางได้ยินข่าวซุบซิบจากนางกำนัลทั้งหลายว่า องค์รัชทายาทหยางเจิ้นอี้ติดตามอี้เหม่ยไปทุกหนทุกแห่งในวัง ทั้งโรงหมอหลวง สวนเหมย หรือแม้กระทั่งระเบียงตำหนักบุญธรรม“ไม่อาจเป็นเช่นนี้!” หลงหลงกัดริมฝีปากแน่น ดวงตาวาวโรจน์ “แม่ทัพหลงคือของข้าอยู่แล้ว แต่ตอนนี้รัชทายาทกลับเฝ้าอี้เหม่ยทุกวัน หากปล่อยไป ทั้งสองบุรุษสำคัญที่สุดในวังจะตกอยู่ในเงาของนางหมด!”นางกำนัลคนสนิทเอ่ยเบา ๆ “องค์หญิง โปรดใจเย็น หม่อมฉันคิดว่าหากมีวิธีทำให้อี้เหม่ยเสียชื่อ นางจะหมดสิทธิ์ยืนในวังโดยปริยาย”ดวงตาของหลงหลงทอประกายร้ายทันที “ใช่…ถ้านางถูกประณามต่อหน้าฝ่าบาทและรัชทายาท เช่นนั้นนางก็สิ้นชื่อ!”หลายวันต่อมา ข่าวลือแพร่ไปทั่ววังว่า ยาที่ใช้รักษาทหารในโรงหมอหลวงมีพิษแฝงอยู่ ทำให้ผู้ป่วยบางคนอาการทรุดหนัก บางคนถึงขั้นเสียชีวิตอย่างน่าสงสัยขุนนางฝ่ายตรงข้ามรีบใช้โอกาสนี้ กราบทูลต่อฮ่องเต้ว่า “ฝ่าบาท หม่อมฉันได้ยินว่าในตำรับยาที่องค์หญิงบุญธรรมซูอี้เหม่ยเป็นผู้จัด มีส่วนผสมของสมุนไพรต้องห้าม หากปล่อยไว้เกรงว่าจะเป็นภัยแก่ราษฎร!”ฮ่องเต้ทรงตกพระทัยทันที “อี้
วังหลวงหลังพิธีฉลองชัยชนะกลับเต็มไปด้วยคลื่นใต้น้ำ ผู้คนซุบซิบถึงความงามล่มเมืองของซูอี้เหม่ยไม่ขาดปาก ข่าวแพร่ไปทั่วว่า ฮ่องเต้ทรงรับนางเป็นบุตรบุญธรรมและพระราชทานตำแหน่งสูงสุดแห่งแพทย์หญิง ยิ่งทำให้ขุนนางบางกลุ่มหวาดหวั่น บางกลุ่มกลับโลภอยากชิงนางไปครอบครองในทุกเช้า ยามอี้เหม่ยก้าวออกจากตำหนักบุญธรรม องค์รัชทายาทหยางเจิ้นอี้จะปรากฏกายทันที ราวกับรออยู่แล้ว“องค์หญิง วันนี้ข้าขอพาเจ้าไปชมสวนหลวงเถิด ดอกเหมยเพิ่งบานงามดุจเจ้า”นางเพียงก้าวเดินนิ่ง ๆ สายตาเยือกเย็น “ดอกไม้จะบานหรือร่วง ข้าไม่ใส่ใจนัก หากท่านปรารถนาเพื่อนคุย ข้าเกรงว่าข้าไม่เหมาะ”เจิ้นอี้หัวเราะเบา ๆ อย่างไม่ถือสา “ยิ่งเจ้าใจแข็ง ข้ายิ่งอยากอยู่ใกล้ หากเจ้ามิยอมคุย ข้าก็จะเดินเคียงข้างจนกว่าจะยอม”ทหารในวังและขันทีต่างมองกันไปมา ซุบซิบว่าองค์รัชทายาทไม่เคยทุ่มเทพอใจต่อสตรีใดเช่นนี้มาก่อนอีกฟากหนึ่ง หลงเทียนอวี่กลับไม่ค่อยเข้าวัง ยังคงคุมกองทัพอยู่ยามเช้า แต่ทุกค่ำคืนเขาจะมาที่ตำหนักบุญธรรมของอี้เหม่ยเงียบ ๆ บางคราเพียงยืนอยู่หน้าตำหนักแล้วจากไปคืนหนึ่ง อี้เหม่ยเปิดประตูพบเขายืนอยู่ในเงาแสงจันทร์ “แม่ทัพหลง ท่านมาเฝ้
กลองชัยยังคงดังสะท้อนก้องไปทั่วทั้งนครหลวง ประชาชนแห่แหนกันแน่นสองฝั่งถนนเพื่อรอรับกองทัพผู้พิชิต กลิ่นธูปและควันไฟจากการเฉลิมฉลองอบอวลไปทั่วอากาศ เด็กเล็กตะโกนด้วยความตื่นเต้น “แม่ทัพกลับมาแล้ว! ชัยชนะของแผ่นดิน!”แถวทหารเดินเป็นระเบียบเรียงรายราวสายธารเหล็กยาวเหยียด เกราะสะท้อนแสงแดดยามบ่ายจนแสบตา ธงมังกรทองปลิวสะบัดอยู่เหนือศีรษะ ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยความภาคภูมิเบื้องหน้าขบวนนั้น แม่ทัพหลงเทียนอวี่ควบม้าเข้ามาอย่างสง่างาม ชุดเกราะดำปักทองที่ห่อหุ้มร่างสูงสง่าเปล่งรัศมีอำนาจจนผู้คนมิอาจสบตาได้นาน ดวงตาคมนิ่งสงบแต่กลับแฝงแรงกดดันจนท้องถนนทั้งสายเหมือนจะสงัดลงในบัดดลเบื้องหลังเขา คือรถม้าสีงาช้างที่ประดับด้วยลายมังกรอ่อนช้อย ใช้สำหรับบรรทุกบุคคลสำคัญ—ซูอี้เหม่ย ผู้เป็นดั่งดวงใจแห่งชัยชนะครั้งนี้นางนั่งเงียบสงบภายในรถม้า ผ้าคลุมบางสีงาช้างปกปิดโฉมหน้าล่มเมือง แม้เสียงโห่ร้องดังก้องจากมวลชนรอบทาง นางก็ยังคงสงบนิ่ง แต่หัวใจกลับเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ เพราะรู้ดี—การกลับสู่นครหลวงครั้งนี้ ไม่ได้หมายถึงความสงบสุข หากคือการเริ่มต้นของเกมอำนาจที่ลึกล้ำยิ่งกว่าเดิมท้องพระโรงใหญ่ถูกประดับประดา
ค่ายศึกหลังชัยชนะยังคงอบอวลด้วยกลิ่นเลือดและควันไฟ ทหารบางส่วนร้องไห้ให้เพื่อนที่สิ้นลม บางส่วนยกถ้วยเหล้าเฉลิมฉลองต่อหน้าซากศพ ความโหดร้ายและความดีใจผสมปนกันจนไม่อาจแยกแยะได้กลางเต็นท์ที่เพิ่งรอดจากเปลวเพลิง ซูอี้เหม่ยนั่งลงบนเก้าอี้ไม้เก่า มือยังคงพันผ้ารักษาบาดแผลให้ทหารทีละคน ใบหน้างามที่เพิ่งถูกเปิดเผยกลับไม่มีรอยยิ้ม—ดวงตาคมยังเต็มไปด้วยความแข็งกร้าวหลงเทียนอวี่ก้าวเข้ามาในเต็นท์ เสียงเกราะเหล็กกระทบกันเบา ๆ ทำให้ทุกคนในเต็นท์รีบก้มศีรษะ ถอยออกไปอย่างรู้หน้าที่ ภายในเหลือเพียงเขาและนาง“ท่านแม่ทัพ” เสียงอี้เหม่ยเรียบเย็น “หากท่านมาที่นี่เพื่อชมความงาม ข้าขอให้ท่านกลับไปที่กระโจมบัญชาการเถิด ที่นี่มิใช่ที่สำหรับเรื่องไร้สาระ”หลงเทียนอวี่หยุดยืนตรงหน้า ดวงตาคมยังคงจับจ้องนางอย่างไม่ปิดบัง “ข้าต่อสู้มาเนิ่นนาน รู้จักทั้งความตายและเลือดนับไม่ถ้วน แต่เมื่อครู่…เพียงได้เห็นใบหน้าของเจ้า หัวใจข้ากลับสั่นสะท้านยิ่งกว่าดาบของศัตรู”อี้เหม่ยเงยหน้าขึ้น ริมฝีปากโค้งยิ้มเย็นเฉียบ “แม่ทัพหลง หากท่านสั่นไหวเพราะใบหน้าสตรี เช่นนั้นกองทัพแคว้นนี้ก็ไม่ต่างจากกระดาษแผ่นบางที่พร้อมฉีกขาด”คำพูด







