‘ฮื้อๆ เจเจ็บ ฮื้อ พี่คินนิสัยไม่ดี แง’มือเล็กๆ ของยัยเด็กน้อยยกขึ้นถูที่ดวงตาของตัวเองเพราะถูกคนที่โตกว่านั้นผลักจนล้ม
‘สำออยน่า ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้นางผีเสื้อสมุทรมาให้อุลตร้าแมนเคนจิจัดการซะดีๆ’ แต่เขาก็ไม่ได้สนใจเด็กหญิงที่กำลังร้องไห้เลย แถมยังพยายามทำให้น้องลุกขึ้นมาเล่นกับตัวเองให้ได้ ‘ไม่เอา พี่คินเล่นแรง เจไม่เล่นด้วยหรอก อึก’ ‘โอ้ย ถ้าเธอจะไม่เล่นกับฉัน แล้วจะมาบ้านฉันทำไมทุกวันหะ’ อนาคินวัยเก้าขวบยกมือขึ้นเท้าเอวอย่างไม่พอใจ ‘คิน นี้ทำอะไรให้น้องเจนะ’คีรินพี่พึ่งช่วยพ่อพาน้องสาวของเขาเข้านอนกลางวันเดินเข้ามานั่งลงข้างเด็กหญิงก่อนจะพาน้องลุกขึ้น ‘ไม่ร้องนะ เดี๋ยวเราไปนอนกลางวันกันดีกว่า’ คีรินลูบหัวน้องอย่างอ่อนโยนโดยมีอนาคินยืนมองอยู่อย่างขัดใจ ‘พี่คินไม่ดีเลย’เด็กหญิงฟ้องพลางชี้นิ้วไปที่คนต้นเรื่อง ‘งั้นคนดีไปกับพี่คีรินนะครับ’คีรินรีบจูงมือเด็กหญิงออกไป ‘ยัยตัวดี’ส่วนหนุ่มน้อยอีกคนก็ทำได้เพียงมองตาขวางใส่ทั้งคู่ ‘จะไปไหนยัยแว่น’ อนาคินวัยมหาลัยได้พาเพื่อมาดักรอเจย่าที่โรงเรียนมัธยมซึ่งพึ่งเลิกเรียนและกำลังจะกลับบ้าน ‘หลีกไปนะพี่คิน เจจะกลับบ้าน’ หญิงสาวถอยไปหนึ่งก้าวตอนที่พี่ชายจอมขี้แกล้งเดินเข้ามายืนใกล้ ‘ทำไมถึงได้พูดห่างเหินกับพี่ขนาดนั้นล่ะแว่น’ เขาพูดกวนพลางยื่นมือมาปลดแว่นหนาเตอะของน้องไป แล้วยกแขนที่ถือแว่นขึ้นสูงเกินเอื้อม ‘อะ! พี่คินเอาของเจคืนมาน่ะพี่!’ ‘อยากได้ก็มาแย่งเอาสิแว่นหรือจะเรียกเตี้ยดี’ เขายิ้มออกมาอย่างชอบใจที่ได้เห็นสีหน้าบูดบึ้งของเธอ ‘พี่คิน เจไม่ตลกด้วยนะ ว๊าย!!’ เด็กสาวที่มัวแต่สนใจแว่นในมืออนาคินทำให้ไม่ทันสังเกตเพื่อนของเขาที่เข้ามาแย่งหนังสือในมือของเธอไป ‘เอาคืนมานะ นั่นฉันยืมมาจากห้องสมุดนะ’เธอมองพวกผู้ชายเหล่านั้นที่จับหนังสือเธอไปแล้ววิ่งไปทั่วรอบตัวเธอจนน่าปวดหัว ‘พี่คินเอาแว่นเจมาแล้วบอกเพื่อนพี่คืนหนังสือเจเดี๋ยวนี้นะ’เจย่าหันมาโฟกัสตัวต้นเหตุ เธอกระโดดขึ้นลงเพื่อหวังแย่งแว่นในมือเขา อนาคินเอาแต่จ้องที่หน้าเธอจนเผลอทำแว่นหลุดมือตกพื้นแตก เด็กสาวถึงกับชะงักนิ่ง ‘แว่นที่พี่แจมซื้อให้’ เธอก้มหน้าน้ำตาตกทำอนาคินที่กำลังหัวเราะเงียบกริบ ฟังที่น้องพึมพำตัดพ้อให้ตัวเอง ‘คนนิสัยไม่ดี’ ‘เฮ้ย!! ขี้ขาดจังวะ’เพื่อนของเขาที่มาด้วยกัน เดินเข้ามาผลักไหล่เธอที่เอาแต่ก้มหน้าจนเธอล้มลง อนาคินหันไปมองค้อนพร้อมผลักเพื่อนคนนั้นกลับ ‘มึงทำอะไรเนี่ย’ ‘อ้าว ไหนมึงบอกว่าจะพาพวกกูมาแกล้งมันไง’เพื่อนของเขาดูจะไม่ชอบใจ ทั้งสองทิ้งหนังสือลงพื้นเต็มแรงจนเจย่าสะดุ้งก่อนจะเดินหนี ทิ้งให้อนาคินยืนมองเจย่าร้องไห้ด้วยความรู้สึกผิด วินาทีนั้นเขาเหมือนกำลังจะก้มลงไปช่วยเธอเก็บของ แต่ดันเห็นว่าพี่ชายฝาแฝดเดินมาซะก่อนทำให้เขาหยุดชะงัก ‘คินนายทำอะไรให้น้องนะ!’คีรินเดินมานั่งย่อตัวลงข้างเจย่า ‘เมื่อไหร่นายจะเลิกแกล้งน้องด้วยอะไรที่ไม่เข้าเรื่องแบบนี้สักที’ และไม่ลืมเงยหน้าขึ้นมาต่อว่าน้องชาย อนาคินยืนนิ่งสีหน้าเรียบเฉยแต่พอเห็นว่าเธอหันไปกอดพี่ชายของเขาพลางร้องไห้ อนาคินก็คิ้วขมวดแล้วหันหลังเดินหนีด้วยความโมโห ‘ไม่ต้องร้องนะเจย่า เดี๋ยวพี่จะพาไปตัดแว่นใหม่เอง’ แล้วปล่อยให้ฮีโร่อย่างคีรินปลอบเธอให้สมใจ “ชิ!!”อนาคินในปัจจุบันที่นอนเอามือก่ายหน้าผากอยู่บนห้องยกยิ้มมุมปากพลางขมวดคิ้วรู้สึกไม่พอใจ เมื่อมานอนนึกถึงเรื่องราวในอดีต “อะไรอะไรก็คีรินคีริน ถามจริงๆ เหอะ ถ้าไม่มีไอ้คินคนนี้มาเป็นผู้ร้ายให้ คีรินมันจะได้เป็นฮีโร่ของเธองั้นเหรอ โธ่เอ้ย!!”เขาเอามือลงมากอดอกก่อนจะหันนอนตะแคงด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ ส่วนคนที่ทำให้เขาต้องมาตกอยู่ในอาการแบบนี้ กลับกำลังนั่งอมยิ้มอยู่บนเตียงให้กับรูปภาพในอดีตของตนเอง เจย่าหยิบรูปออกมาจากกล่องสะสมของเธอ รูปแรกเป็นรูปที่พ่อแม่จับพวกเธอถ่ายรวมกันซึ่งในนั้นก็มีตั้งแต่ แจมมี่พี่สาวคนสวยของเธอคนที่โตสุดในรูป ถัดมาก็คือฝาแฝดลูกคุณหมออย่างพี่นีวายและพี่วิน่า เขาคนนั้นที่ชอบแกล้งคนอื่นให้ร้องไห้ก็คือพี่เจ้าไฟ ถัดมาคือพี่ชายคนหล่อจอนนี่กำลังยืนกอดคออยู่กับพี่เฟิร์ส ลูกของคุณลุงหนึ่งเดียว ต่อไปก็เขาคนที่ทำให้เธอยิ้มออกเพียงแค่เห็นรูป คีริน กำลังยืนข้างเขาอีกคนที่เธอเห็นแล้วต้องหุบยิ้ม อนาคิน ซึ่งในรูปเขายังดึงผมเปียของเธอที่นั่งอยู่บนเก้าอี้เจ้าหญิงข้างลลิซและเนลินอยู่เลย เจย่าถอนหายใจแล้ววางรูปนั้นลง ก่อนปรายตาไปดูรูปอื่น ซึ่งหลายๆ รูปต่อจากนั้นตัวเธอก็เอาแต่ยืนข้างพี่คีริน ตัวติดเขาไม่ห่างแทบทุกรูป “น่ารักมาก” เธอเอ่ยชมเขาเบาๆ ก่อนจะวางรูปวัยเด็กทั้งหลายลงแล้วจับขึ้นมาต่อด้วยรูปสมัยวัยใส เธอมีอาการแอบเสียดายเล็กน้อยที่ตอนนั้นตัวเธอเอาแต่ใส่แว่นหนาๆ แล้วก็แต่งตัว… “ไร้รสนิยมสิ้นดี รู้แบบนี้เราน่าจะแต่งตัวน่ารักๆ ทุกครั้งที่ถ่ายรูปกับพี่คีรินอะ จะได้เป็นความทรงจำดีๆ หากเขาเปิดรูปดู” หญิงสาวถอนหายใจยาว “แต่ไม่เป็นไรใส่แว่นเราก็น่ารักนี่น่า” เธอทำเป็นพูดเข้าข้างตัวเอง ก่อนจะหยิบเอาแค่รูปที่มีเธอกับคีรินขึ้นมา พร้อมนอนราบลงบนเตียงก่อนเปิดมันดูทีละรูป เจย่าคิ้วขมวดเธอพึ่งจะมาจำได้ว่าทุกรูปที่เธอถ่ายกับพี่คีรินนั้นมันมักจะถูกพับส่วนใดส่วนหนึ่งหลบไว้เสมอ เธอเปิดส่วนที่พับเอาไว้ออกดู แล้วก็ใช่! ทุกรูปที่เธอถ่ายคู่กับคีรินเพื่อจะให้มันเป็นแค่รูปคู่ของเธอและเขาน่ะ มันมักจะมีอนาคินเข้ามาแทรกและป่วนจนติดเขาเข้ามาด้วยเกือบทุกรูปไม่มากก็น้อย “คนบ้าเอ้ย” เธอบ่นถึงชายหนุ่มเบาๆ พลันใบหน้าเขาที่มองเธอวันนี้ก็แวบเข้ามาในหัว แม้ว่าเขาจะหน้าตาเหมือนกับคนที่เธอชอบทุกระเบียบนิ้ว แต่มันก็ยังมีสิ่งที่แตกต่างนั้นคือแววตา คีรินจะมีแววตาที่อ่อนโยนเวลาที่เขามองใคร ตรงข้ามกับอนาคินที่มองครู่เดียวก็รู้แล้วว่าเขานั้นมันตัวเจ้าชู้ตัวเพลย์บอยขนาดไหน พร้อมกับสีผิวที่มีส่วนต่างกันอยู่เล็กน้อย เพราะคีรินเป็นเด็กเรียนดี ส่วนอนาคินจะเป็นหนุ่มสายกิจกรรม ทำให้พี่คีรินของเธอมีผิวที่ขาวสว่างกว่าอนาคิน แต่อนาคินก็มีข้อได้เปรียบคือเขาดูแข็งแรงกว่า แต่กระนั้นหากไม่สังเกตดีๆ มองแค่ผ่านตาก็เกือบจะแยกไม่ออก คิดแล้วเจย่าก็เกิดอาการขนลุกซู่ ที่เธอเผลอเข้าไปกอดเขาเพราะคิดว่าเขาเป็นคนที่เธอมีใจให้ “มันจะเป็นครั้งสุดท้ายนั่นแหละที่เขาจะได้แตะต้องตัวเรา พร้อมหวังว่าต่อแต่นี้ไปเราจะสู้เขาได้” เธอมีแววตาแน่วแน่ก่อนจะยิ้มที่มุมปาก “ถ้าเจได้เป็นพี่สะใภ้ของพี่ล่ะก็ เจจะเอาคืนพี่ให้สาสมเลยพี่คิน!” เธอมองรูปของอนาคินในมือด้วยแววตาคาดโทษณ บ้านพักในย่านแอ็คตัน คีรินนอนเอามือก่ายหน้าผากอยู่ที่โซฟาในบ้านในใจพลางนึกถึงเรื่องวันนั้น ‘ฉันขอโทษ’ วันที่เขาแอบเห็นว่าโซเฟียใส่ผงอะไรบางอย่างลงไปในแก้วเบลีย์ที่ให้เขาดื่ม แต่กระนั้นตัวเขาก็ยังไว้ใจเธอยอมดื่มไปถึงครึ่งแก้วและจึงรู้ว่ามันคือยานอนหลับ เวลานั้นตอนที่สลบไปเขายังมีสติแม้จะกึ่งหลับกึ่งตื่นเพราะฤทธิ์ยาแต่ก็พอจะรับรู้ได้รางๆ ว่าโซเฟียเอาแต่พูดขอโทษเธอร้องไห้ด้วย ส่วนคำพูดอื่นเขากลับจำไม่ได้ว่ามันคือคำว่าอะไรบ้าง เพราะเขาทนฤทธิ์ยานอนหลับไม่ไหวจึงหลับสนิทตื่นขึ้นมาอีกทีก็เช้าแล้วพร้อมกับเห็นว่าเธอและเขานอนร่วมกันอยู่ที่เตียงโดยไม่มีอะไรมาปิดบังร่างกาย “พ่อของเธอสั่งให้ทำแบบนั้นเหรอ? แล้วความรู้สึกของเธอที่มีต่อฉัน มันคือของจริงไหม” เขาหลับตาลงช้าๆ ราวกับพยายามลบภาพทุกอย่างในหัว แต่เสียงเธอในคืนนั้นยังคงวนเวียนอยู่ ‘ฉันขอโทษ... อย่าเกลียดฉันเลยนะคะ’ คีรินลุกขึ้นจากโซฟา พ่นลมหายใจหนักเหมือนจะปล่อยบางอย่างทิ้งไปกับอากาศ แต่หัวใจกลับตะโกนว่า “ฉันต้องรู้ให้ได้ ว่าเธอรักฉันจริง หรือแค่เล่นละครเก่ง” “คุณคีรินคะ” ชายหนุ่มรีบหันไปมองเสียงเรียก พบว่าหญิงสาวกำลังเดินเข้ามาในบ้าน
ณ งานเลี้ยงของเหล่านักธุรกิจบนดาดฟ้าของตึกคอนโดสูงใจกลางเมือง แขกของงานหนึ่งในนั้นก็คือเขา คีริน หลังจากที่ชายหนุ่มเดินคุยกับคู่ค้าและคนรู้จักเสร็จ เขาก็ปลีกตัวออกมายืนเหม่อมองทิวทัศของเมืองใหญ่ ในหัวเอาแต่คิดเห็นเธอคนที่เขาเริ่มมีใจนั่งรถเข้าไปในโรงแรมกับชายอื่น ยิ่งคิดมันก็ยิ่งปวดร้าวจนเข่าแทบทรุด มือที่ถือแก้วไวน์อยู่กำแน่น เรื่องนี้เขาคิดไว้บ้างแล้วและตั้งใจว่าจะไม่โกรธเธอ แต่พอมาเจอเข้าจริงเขาก็อาจจะเป็นหนุ่มใจเย็นแบบที่เขาคิดไว้ไม่ได้ “สวัสดีครับคุณอนาวิน” เสียงของใครบางคนทำเขาหลุดจากห้วงความคิด คีรินรีบหันไปจ้องมอง จึงเห็นว่าตรงหน้าคือ กาเบรียล ลาวาเลนเต้ แต่ที่ทำเขาตกใจไปกว่านั้นเห็นจะเป็น โซเฟียที่กำลังยืนก้มหน้าใส่ชุดเดรสสีขาวลูกไม้ยืนอยู่ข้างๆ ชายแก่ตรงหน้าเขาและสายตาของเขาก็เผลอมองเธอนานเกินกว่าที่ควรเป็น เธอสวยจนทำให้เขาลืมว่าควรจะโกรธ ลืมแม้กระทั่งความคิดในหัวของตัวเขาเมื่อครู่ “สวัสดีครับ คุณกาเบรียล” เขารีบมีสติแล้วยื่นมือไปจับทักทายกาเบรียล ตามประสาคนรู้จัก แต่หางตาก็ยังไม่ละจากสาวสวยที่คุ้นเคย “อ๋อ คนนี้โซเฟีย เธอเป็นลูกสาวนอกสมรสของผมเองครับ” คำแนะนำของชายแก่ทำใ
สองร่างเดินเข้ามาในโรงพยาบาลด้วยกันโดยที่คีรินดูจะตัวติดเดินใกล้เธอไม่ห่าง จนโซเฟียเริ่มใจเต้นแรงอยู่ไม่สุข “เอ้อ คุณคีริน ไม่ต้องเดินใกล้ขนาดนี้ก็ได้มั้งคะ” โซเฟียหยุดเดินเขาก็เดินเอาตัวมาแนบจนร่างชิดกัน หญิงสาวต้องหันไปพูดกับเขาด้วยท่าทีเขินๆ “ทำไมล่ะครับ เราเป็นผัวเมียกันแล้วนี้” เขาว่าพลางจับปลายคางของเธอเสยขึ้น ทำเอาโซเฟียหน้าแดงต้องรีบปัดออก “บ้า นี่คุณเป็นคนแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่คะ” เธออายจนต้องรีบเปิดประตูเข้าห้องพักของแม่ไป คีรินมองตามแววตาของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อยก่อนที่จะเดินตามเธอ “เป็นยังไงบ้างครับ” เขาเดินเข้ามาเห็นเธอคุยอยู่กับพยาบาลในห้องก็เดินเข้าไปถาม “คุณพยาบาลบอกว่าแม่ยังไม่ได้สติเลยค่ะ” โซเฟียมีสีหน้าซีดลงก่อนที่เธอจะเหลือบไปมองหน้าคนบนเตียง คีรินยื่นมือลูบหลังเธอ “ไม่เป็นไรนะครับ ท่านปลอดภัยแล้ว พักผ่อนอีกสักหน่อย คงจะฟื้นขึ้นมาเอง นี่ก็แค่วันเดียวเองนี้” โซเฟียเงยมองเขาพร้อมพยักหน้า ก่อนเธอจะรับรู้ได้ว่ามือถือในกระเป๋ากำลังสั่น “ฉันขอออกไปรับโทรศัพท์ก่อนนะคะ” หญิงสาวเดินออกมาพลางหยิบมือถือออกจากกระเป๋าพอเห็นว่าเป็นเบอร์ของใครเธอก็รีบเดินหลบไปหาที่เงียบ
“เบอร์พี่คิน…” เธอนั่งเงียบจ้องไปที่จอมือถือ เขาโทรมาทำไม? จะโทรมาพูดเรื่องเมื่อคืนเหรอ? หรืออะไร หญิงสาวหน้าแดงแจ๋เมื่อแอบคิดไปไกล จนสายจากเขาถูกตัดไปเอง ก่อนจะเด้งขึ้นเป็นข้อความเข้ามาแทน หลังเธออ่านข้อความบนจอจบเขาก็โทรเข้ามาอีกรอบจนเธอเผลอกดรับอย่างไม่ได้ตั้งตัว เจย่าหน้าเจื่อนไปในทันทีแต่ก็จำต้องยกมือถือขึ้นแนบหู แต่เขากลับไม่พูดอะไรมีเพียงเสียงลมหายใจเบาๆ ดังแทรกเข้ามา “มีอะไรคะ โทรมาแล้วทำไมไม่พูด” เธอจึงตัดความเงียบด้วยการถามเขาก่อน [“พี่นึกว่าเธอเองก็จะไม่พูดกับพี่ด้วยเหมือนกันแหะ เป็นยังไงบ้าง”] เจย่าขมวดคิ้ว “หมายถึงอะไรเป็นยังไงบ้าง” เธอสวนเพราะอยากรู้ว่าเขาจะพูดอะไรเกี่ยวกับคืนนั้นหรือเปล่า ปลายสายจึงเงียบไปอีกรอบ [“ไม่มีอะไรหรอก แค่คิดถึงอยากได้ยินเสียง”] เขาว่าเจย่าเผลออมยิ้ม ตาบ้านี้จะมาหยอดอะไรอีกล่ะ [“เตรียมของหรือยัง วันจันทร์นี้อย่าลืมว่าต้องไปชุมพรกับพี่นะ”] “จำได้แล้วน่า เจไม่ใช่ปลาทองนะไม่ลืมหรอก” เธอตอบกลับเขาเชิงประชด [“ก็ดี งั้นวันจันทร์หกโมงเช้าพี่จะไปรับที่บ้านนะ เราจะเอารถไปเอง”] “ห๊า!!!” เจย่าตาเบิกกว้างนี้เธอจะต้
ณ บ้านพักที่ลอนดอนในช่วงเย็น หลังจากที่นาตาเลียผ่าตัดเสร็จ โซเฟียก็ขอให้คีรินพากลับบ้าน “คุณโอเคไหม อยู่คนเดียวได้แน่นะ” เขาถามเธอด้วยความเป็นห่วง เพราะยังเห็นว่าเธอน้ำตาคลอและซึมอยู่เลย “ไปอยู่ที่บ้านผมก่อนดีไหม” หญิงสาวรีบหันมาส่ายหน้าให้ “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันอยากจะคิดอะไรเงียบๆ สักพักนะ ขอบคุณนะคะที่เป็นห่วง” เธอตอบแต่ก็ไม่มองหน้าเขา คีรินเห็นแบบนั้นเขาก็ไม่เป็นสุขใจเลย “ถ้างั้น เย็นนี้ผมจะทำอาหารมาทานที่บ้านคุณนะครับ ได้ไหม? ผมกลัวว่าคุณจะไม่ทานข้าว” เขาเอ่ยอย่างห่วงใย หญิงสาวจึงพยักหน้า “ถ้าจะมาอย่าลืมโทรบอกก่อนนะคะ เผื่อว่าฉันจะเผลอหลับนะ” “ครับ” เขาทำได้เพียงมองดูเธอเดินเข้าบ้านไป เธอโทรหาใครตอนที่อยู่โรงพยาบาล ใช่ที่บอกว่าคุยกับพ่อไหม? ทำไมสายตาเธอถึงดูมีความลังเลบางอย่างแฝงอยู่ตั้งแต่ตอนนั้น ถึงแม้ว่าเขาจะสงสัยเพียงใด คีรินก็จำเป็นต้องเดินกลับบ้านตัวเองไปก่อน ร่างของโซเฟียเข้ามานั่งลงที่มุมโต๊ะตัวเตี้ย เอาหลังพิงกับตัวของโซฟาแววตาของเธอเหม่อลอยเพราะยังคิดไม่ตกกับเรื่องที่จะต้องทำ เธอนั่งนิ่งอยู่แบบนั้นนานโข “คุณจะโกรธจะเกลียดฉันไหมคะ” เธอบ่นพลางนึกถึงใบหน้าและรอยยิ้มขอ
โรงพยาบาล “ฮัลโหลทำไมคุณพึ่งมารับสายคะ หนูโทรหาคุณทั้งคืนทำไมคุณถึงไม่รับ” โซเฟียเอ่ยกับปลายสายทั้งน้ำตา [“ฉันคงมีเวลาว่างมารอรับโทรศัพท์จากแกยี่สิบสี่ชั่วโมงมั้งโซเฟีย”] แต่เขากลับตอบกลับมาอย่างไม่แยแส “เมื่อคืนแม่ของหนูช็อก หมอทำ CT เพิ่มแล้วบอกว่ามีเลือดออกในสมอง ต้องรีบผ่าตัดด่วน... แต่หมอที่ดูแลบอกว่าถ้าจะให้ผ่าเลย ต้องเคลียร์ค่ารักษาของสองเดือนที่แล้วก่อน เพราะเราพาแม่มาอยู่ใน Private Ward ตั้งแต่แรก และคุณก็ยังค้างค่าใช้จ่ายทั้งหมดอยู่ เขาบอกว่าจะผ่าให้ทันที ถ้าเราจ่ายเงินที่ติดอยู่ก่อน” เธอพูดไปร้องไห้ไป “ทำไมคุณทำแบบนี้ ไหนคุณบอกหนูว่าจ่ายให้ทุกเดือนไง คุณโกหกหลอกใช้หนูมาตลอดเลยเหรอ” เธอต่อว่าปลายสายอย่างเรียกร้อง เธอทำทุกอย่างที่เขาอยากให้ทำพร้อมข้อตกลงเสียดิบดีแต่เขากลับไม่ปฏิบัติตามที่เขาเคยพูด [“แล้วจะทำไม ถ้าแกอยากให้ฉันจ่ายก็รีบรวบหัวรวบหางไอ้อนาวินนั่นให้ฉันสักทีสิ”] โซเฟียปล่อยโฮ ทำไมเขาถึงใช้วิธีนี้มาบีบเธอ “ฮื้อ~ ก็ได้ หนูจะทำให้สาแก่ใจคุณไปเลย เพราะฉะนั้นคุณต้องทำการจ่ายเงินค่ารักษาให้แม่หนูเดี๋ยวนี้! แล้วหนูจะรีบทำให้” เธอยื่นข้อเสนอให้เขาเป็นเชิงขู่