เซียวเหอกำลังขี่ม้าอยู่บนหลังม้าศึกตัวใหญ่ก็หันไปมองรถม้าคันนั้นโดยไม่รู้ตัว จากนั้นจึงเหลือบมองเซียวเหิงที่อยู่ข้างกายก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “เจ้าคิดจะพานางกลับไปที่ใด?”เซียวเหิงหันไปมองเซียวเหอครั้งหนึ่ง แต่ไม่ได้ตอบอะไรที่จริงแล้วเซียวเหอพอจะเดาได้ว่า มีความเป็นไปได้สูงมากที่เซียวเหิงจะพาเนี่ยนเนี่ยนกลับไปยังเรือนที่เคยกักขังนางไว้ก่อนหน้านี้จึงมองตรงไปข้างหน้า เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “เจ้ามิกลัวว่านางจะกระโดดแม่น้ำฉางหยางอีกครั้งหรือ?”ทั้งที่ต่างก็รู้ดีว่า ด้วยนิสัยของเฉียวเนี่ยนนั้น ไม่มีทางยอมจำนนได้ง่าย ๆครั้งนี้ เนี่ยนเนี่ยนรอดตายมาได้ราวปาฏิหาริย์แต่ใครจะรับประกันได้ว่าหากเกิดเหตุขึ้นอีกครั้ง นางจะยังโชคดีเช่นนี้อยู่?การได้เห็นขณะที่นางตกลงไปในแม่น้ำฉางหยางกับตา ความเจ็บปวดที่ต้องทนทุกข์จากความไม่รู้ว่านางเป็นหรือตาย พวกเขาต่างก็ได้ประสบมาด้วยตัวเองแล้วทั้งนั้นสีหน้าของเซียวเหิงมืดครึ้มอย่างหนักเขาจะไม่เข้าใจได้อย่างไร ว่าสิ่งที่เซียวเหอพูดมานั้นมีเหตุผลแต่เขาก็กลัวเช่นกัน กลัวว่าเมื่อมีระยะห่างระหว่างกันแล้ว เขาจะยิ่งไม่สามารถเข้าใกล้
ฉู่จืออี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ไม่กล่าวอะไรห้องอันกว้างใหญ่พลันกลับมาเงียบสงัดอีกครั้ง รอบด้านเงียบเสียจนเหมือนจะได้ยินเสียงหัวใจของทุกคนเต้นอย่างชัดเจนไม่รู้เวลาผ่านไปนานเท่าไร เจ้ารองก็เอ่ยขึ้น “พวกเจ้าคิดอยากกลับเมืองหลวงกันบ้างหรือไม่?”เขาเคยคิดคิดอยู่หลายครั้งโดยเฉพาะหลังจากเห็นหมายจับของโจรภูเขา เขาก็คิดทันทีว่า เกียรติยศที่พี่น้องของเขาแลกมาด้วยชีวิต เพื่อให้องครักษ์พยัคฆ์ได้รับ มันไม่ควรต้องพังพินาศเพราะโจรภูเขาสองสามคนเพียงแต่เขาไม่กล้าพูดออกมาเมื่อเทียบกับเมืองหลวง ชีวิตที่นี่ช่างสงบสุขเหลือเกินเขาแทบจะมองเห็นล่วงหน้าได้เลยว่า หากกลับไปเมืองหลวงอาจจะต้องเจอปัญหานานัปการ อาจกระทั่งต้องแลกด้วยชีวิตแต่เขาก็ยังคิดถึงช่วงเวลานั้นบ่อยครั้ง ช่วงเวลาที่เขาและพี่น้องร่วมรบอย่างห้าวหาญ เคียงบ่าเคียงไหล่กันอย่างองอาจ“ข้าเคยคิด”เสียงหนึ่งดังขึ้น เป็นเจ้าสิบเห็นเขาหันไปมองฉู่จืออี้ น้ำเสียงทุ้มต่ำและหนักแน่น “ตอนแรกที่ข้าตัดสินใจติดตามพี่ใหญ่ ก็เพื่อปกป้องบ้านเมือง”ไม่ใช่เพื่อมาหลบซ่อนตัวในหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ไม่มีใครรู้จัก กลายเป็นแค่นายพรานธรรมดา“ข้าก็เคยคิด”“ข
รอบกาย…หางตาของเฉียวเนี่ยนเผลอเหลือบไปมองข้าง ๆ อย่างไม่รู้ตัว เพียงชั่วพริบตานางก็เข้าใจความหมายของเซียวเหิงรอบกายนางมีอะไร?รอบ ๆ นั้นล้วนเป็นคนของเขาเขากำลังบอกนางว่าวันนี้นางหนีไม่พ้นแล้วการยืนกรานโดยไร้ความหมาย มีแต่จะทำร้ายทั้งเขาและนางฉู่จืออี้รับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าน้ำหนักเมื่อครู่ของคนที่ยังแนบอยู่กับแผ่นหลังของเขานั้น ค่อย ๆ ถอยห่างออกไปทีละน้อยเขาเผลอขมวดคิ้วเขาได้ยินเสียงของเฉียวเนี่ยนดังขึ้นช้า ๆ จากด้านหลังของเขา “พี่ไป๋คือผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตข้า ข้าเป็นคนขอร้องให้เขาพาข้าหนีไป ท่านอย่าทำให้เขาลำบากเลย”น้ำเสียงนั้น แฝงไว้ด้วยความสั่นไหวที่จับสังเกตได้ยากแต่ฉู่จืออี้กลับได้ยินชัดเจน มือทั้งสองกำแน่นโดยไม่รู้ตัวในฐานะผู้ชายเหมือนกัน เซียวเหิงจะดูไม่ออกหรือว่าฉู่จืออี้ในตอนนี้เป็นอย่างไร?เขาดูออกชัดเจนเต็มตา ว่านายพรานผู้นี้ยังตัดใจปล่อยเนี่ยนเนี่ยนไปไม่ได้แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเนี่ยนเนี่ยนของเขางดงามถึงเพียงนี้ ใครจะไม่หลงรักก็คงแปลกแล้วทว่า แค่นายพรานต่ำต้อยคนหนึ่ง ยังกล้าริอาจฝันไปได้!ทันใดนั้นเขาก็เอ่ยขึ้นเรียบ ๆ “มานี่”เพียงสองคำสั้น ๆ
ครานี้ ฉู่จืออี้เร่งความเร็วขึ้นอีกตรอกซิ่งโหยวก็คือที่ที่เนี่ยนเนี่ยนพักอยู่เมื่อคืน หากเซียวเหิงตามไปที่นั่น ก็ต้องพบว่าเฉียวเนี่ยนนางไม่ได้อยู่ที่นั่นแล้วต่อให้เมื่อครู่เขาไม่เอะใจอะไร แต่ย่อมต้องสั่งให้ค้นหาทั้งเมืองอย่างแน่นอนเพราะฉะนั้นต้องรีบออกไปให้เร็วที่สุด!ไม่นาน พวกเขาก็ออกนอกเมืองได้สำเร็จแต่แม้จะพ้นเขตเมืองแล้ว รถม้าก็ยังไม่ชะลอความเร็วลงแม้แต่น้อยขอเพียงได้พบเจ้าสาม เปลี่ยนเสื้อผ้าที่ใช้ปลอมตัวอีกครั้ง ก็จะสามารถหลอกเซียวเหิงได้!แต่แล้วไม่ทันไร ก็มีเสียงตะโกนดังขึ้นจากด้านหลัง “หยุดนะ!”คิ้วของฉู่จืออี้ขมวดเป็นปม ทว่าเขาไม่ได้หยุดในจังหวะนั้นเอง เสียงลมฉีกฟ้าดังขึ้นจากด้านหลังพุ่งมาทางเขา!ฉู่จืออี้ไม่แม้แต่จะหันกลับไปมอง เขาเอียงศีรษะหลบด้วยสัญชาตญาณลูกธนูพุ่งเฉียดใบหูของเขาไปอย่างหวุดหวิด!เฉียวเนี่ยนเบิกตากว้าง มองไปข้างหลังด้วยความตกใจก็เห็นเซียวเหิงควบม้าไล่ตามมาอย่างรวดเร็ว ในมือยังจับคันธนู พร้อมปล่อยลูกธนูดอกต่อไป เป้าหมายยังคงเป็นฉู่จืออี้!นางตกใจสุดขีด ไม่สนใจสิ่งใดอีก รีบลุกขึ้นกางแขนออก ตั้งใจจะใช้ร่างกายของตนเองขวางลูกธนูนั้นไว้!
ฉู่จืออี้ชี้มือไปข้างหน้า “เลี้ยวขวาที่ทางแยกที่สามข้างหน้า ตรอกที่สองทางซ้ายมือก็คือตรอกซิ่งโหยว”“ขอบใจ” เสียงของเซียวเหิงเย็นเยียบ เขากล่าวขอบคุณอย่างห้วน ๆ แล้วจึงเร่งรุดนำคนมุ่งหน้าไปยังตรอกซิ่งโหยวทันทีข่าวคราวที่ได้รับในเช้าวันนี้บอกเขาว่าเมื่อวานเซียวเหอได้พาเนี่ยนเนี่ยนตัวไปแล้วหญิงสาวในกระท่อมที่หมู่บ้านเหอวาน เป็นเพียงตัวแทนเนี่ยนเนี่ยนที่เซียวเหอจัดฉากเอาไว้!เจ้าเล่ห์นัก!ใบหน้าของเซียวเหิงยิ่งหมองหม่น แต่ในใจกลับเอ่อล้นด้วยความยินดีเขารู้ว่าเขากำลังจะได้พบกับเนี่ยนเนี่ยนของเขาในไม่ช้า!ไม่นาน เขาก็นำคนมาถึงตรอกซิ่งโหยวเขาผลักประตูของเรือนเล็กหลังหนึ่ง ก้าวเข้าไปอย่างเร่งรีบเขาอยากตะโกน อยากเอ่ยเรียกเนี่ยนเนี่ยนเสียงดัง ๆ แต่ก็เกรงว่าจะทำให้นางตกใจ จึงได้แต่ข่มอารมณ์ไว้ทว่า ฝีเท้ากลับยิ่งเร่งเร้าโดยไม่รู้ตัวเขาเดินผ่านโถง ผ่านสวน ผ่านลานอีกหลายหลังที่ไร้ผู้คนสุดท้าย ก็มาหยุดยืนอยู่หน้าประตูเรือนหลังในสุดภายในลาน มีชายผู้หนึ่งยืนอยู่แม้เป็นวันที่อากาศร้อนจัด แต่เงาร่างของเขากลับแผ่ความเย็นยะเยือกออกมา“นางไปแล้ว”เซียวเหอเอ่ยเสียงเรียบ มือทั้งสองที
พี่ห้าได้ยินคำชมจากด้านหลังก็ลอบดีใจ แต่กลับแสร้งทำเป็นไม่ใส่ใจ “เรื่องแค่นี้เอง พวกเราก็พี่น้องกัน!”ขณะพูดก็เปิดประตูห้องบานหนึ่งให้เฉียวเนี่ยนเข้าไป “คืนนี้เจ้านอนที่นี่ก่อน เช้าพรุ่งนี้ข้าจะหารถม้าส่งของพาเจ้าทั้งสองออกจากเมือง”แม้ในเมืองจะไม่ได้มีการคุมเข้ม แต่หากเดินทางกลางคืนก็ดูสะดุดตาเกินไป อาจดึงดูดความสนใจของเซียวเหิงได้เฉียวเนี่ยนพยักหน้าเล็กน้อย มิได้เอ่ยถามด้วยซ้ำว่าจะพานางไปที่ใดฉู่จืออี้กล่าว “ข้าจะนอนห้องข้าง ๆ”เฉียวเนี่ยนจึงพยักหน้ารับเบา ๆ “เจ้าค่ะ ขอบคุณเจ้าค่ะ พี่ใหญ่ พี่ห้า”“ไม่ต้องเกรงใจหรอก เวลานี้ก็ดึกแล้ว รีบพักผ่อนเถอะ!”“เจ้าค่ะ พี่ใหญ่กับพี่ห้าก็พักผ่อนแต่หัวค่ำเถอะเจ้าค่ะ” พูดจบเฉียวเนี่ยนจึงค่อยปิดประตูลงเมื่อมองไปรอบ ๆ ก็เห็นว่าเป็นห้องเล็กธรรมดา ข้าวของภายในก็เรียบง่าย มีเพียงเตียงหนึ่งเตียง โต๊ะหนึ่งตัว และตู้เสื้อผ้าเล็ก ๆ ตู้หนึ่งแม้แต่ผ้าห่มผืนใหญ่บนเตียงก็เป็นเพียงผ้าหยาบ ไม่เหมือนเรือนเล็กที่เซียวเหอจัดเตรียมไว้ให้ ที่นั่นห้องกว้างใหญ่ แม้แต่ม่านยังทำจากผ้าไหมทว่าที่นี่กลับทำให้นางรู้สึกสงบใจอย่างประหลาดไม่หลงเหลือความกระวนกระว
ตกดึกเฉียวเนี่ยนนั่งอยู่ริมหน้าต่างมองดูแสงจันทร์นอกเรือน หัวใจดวงหนึ่งดวงนี้ช่างไร้ที่ยึดเหนี่ยวนางไม่ได้รู้สึกเช่นนี้มานานแล้ววันเวลาที่อยู่ในหมู่บ้านเหอวาน แม้ส่วนใหญ่จะอยู่แต่ในเรือน บางครั้งก็เหม่ออย่างเบื่อหน่าย แต่หัวใจกลับสงบนิ่งไม่เหมือนในยามนี้เลย…เซียวเหอกล่าวว่า หากเขารีบพานางออกจากเขตเมืองนี้ในทันที ย่อมจะทำให้เซียวเหิงสงสัย จึงให้พักอยู่ในเรือนเล็กหลังนี้ชั่วคราวเขาจะให้คนปลอมข่าว หลอกล่อให้เซียวเหิงไปทางอื่น แล้วค่อยส่งคนมาพานางหนีกล่าวได้ว่าแผนการนี้แทบจะไร้ช่องโหว่เขายังจัดการให้มีผู้หญิงคนหนึ่งในหมู่บ้านเหอวานปลอมตัวเป็นหญิงที่ถูกฉู่จืออี้ช่วยไว้แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด หัวใจของนางกลับยังรู้สึกไม่สงบเห็นจันทร์ยามราตรีค่อย ๆ ลอยสูง เฉียวเนี่ยนถอนหายใจยาวก่อนจะลุกขึ้นเตรียมเข้านอนเมื่อเพิ่งเดินถึงข้างเตียง ก็ได้ยินเสียงเบา ๆ ดังขึ้นจากในลานโดยไม่คาดคิดเสียง "ตึก" ดังแผ่ว แต่ในยามค่ำคืนอันเงียบสงัดกลับได้ยินชัดเจนหัวใจของเฉียวเนี่ยนพลันเต้นแรงเซียวเหอมิได้ให้ใครอยู่ในเรือนนี้เลยเพราะกลัวว่าหากเซียวเหิงพบว่าเขามีคนหายไป จะสืบสาวราวเรื่องจนเจอตัวน
“ความสุขหรือ?”เซียวเหอเหมือนเพิ่งคิดอะไรบางอย่างได้ จึงมองนางด้วยสีหน้าฉงน “ความสุขของเจ้า คือพรานล่าสัตว์นั่นหรือ?”เมื่อได้ยินเช่นนั้น เฉียวเนี่ยนก็เบิกตากว้าง สีหน้าเต็มไปด้วยความตกใจ “แน่นอนว่าไม่ใช่! พี่ไป๋เป็นเพียงผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตข้าไว้เท่านั้นเอง ท่านพี่เซียวคิดเช่นนี้ได้อย่างไรกัน?”เห็นได้ชัดว่าเฉียวเนี่ยนไม่ได้พูดโกหกแม้แต่น้อย เซียวเหอจึงค่อย ๆ ขมวดคิ้วเล็กน้อย “ข้านึกว่า...”“ข้าแค่คิดว่า เมื่อเทียบกับเมืองหลวงแล้ว ชีวิตของชาวบ้านธรรมดาแบบนี้น่าจะเหมาะกับข้ามากกว่า” นางเอ่ยพลางเหม่อมองออกไปยังนอกเรือนแล้วก็เห็นป้าชุนดูท่าป้าชุนคงกลัวนางจะถูกใครรังแก เลยจัดผักยืนอยู่ในลานไม่ไกลนักทั้งที่ด้านข้างก็มีเงาร่มให้หลบแดด แต่ก็ไม่ยอมหลบ แถมยังคอยชำเลืองมองเข้ามาในเรือน สีหน้าก็เต็มไปด้วยความเป็นห่วงเฉียวเนี่ยนพลันมีรอยยิ้มผุดขึ้นในแววตานางปาดน้ำตาออกก่อนจะหันไปยิ้มให้ด้านนอก “คนที่นี่เรียบง่าย แม้อาจมีคนไม่ดีอยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่แล้วก็เป็นคนดี ซื่อสัตย์ เมตตา และไม่คิดเล่ห์เหลี่ยมใด ๆ ทำงานเมื่อตะวันขึ้น พักผ่อนเมื่อตะวันตก ไม่มีการชิงดีชิงเด่นให้เหนื่อยใจ”เซียว
สถานการณ์ของเซียวเหอกับนาง ช่างแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงหากจะกล่าวว่านางคือคนที่ถูกทุกผู้ทอดทิ้ง เช่นนั้นแล้วเขาก็คือคนที่ได้รับความรักจากผู้คนแม้จะเป็นอัมพาตมาห้าปี ทว่าเมื่อราชครูชิวได้พบเขา ก็ยังอดตื้นตันไม่ได้ และให้เกียรติเขาเสมอแม้แต่ฮ่องเต้ เมื่อทราบว่าเขาหายดี ก็รีบมีรับสั่งเรียกเข้าเฝ้า แสดงความห่วงใยในฐานะบุตรชายคนโตของตระกูลเซียว ท่านพ่อเซียวก็รักเขา ท่านแม่เซียวก็เอ็นดูเขายิ่งนักเซียวชิงหน่วนก็เคารพนับถือเขาเป็นอย่างมากแม้แต่เซียวเหิง เมื่อวางแผนการใด ก็ยังไม่กล้าทำร้ายเขาแม้แต่น้อย ยาที่จัดหามาให้ก็ล้วนมีแต่เพื่อฟื้นฟูร่างกายของเขาทั้งนั้นความรัก เป็นถ้อยคำที่งดงามที่สุดในโลกนี้มันสามารถเป็นเกราะกำบังที่แข็งแกร่งที่สุด และก็สามารถเป็นจุดอ่อนที่บอบบางที่สุดได้เช่นกันเฉียวเนี่ยนก้มหน้ามองฝ่ามือตนเองที่วางอยู่บนโต๊ะ เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ให้ข้ากลับเมืองหลวงกับท่านพี่เซียวงั้นหรือเจ้าคะ?”“ไม่กลับก็ได้!” เซียวเหอรีบเอ่ยขึ้นทันที “เจ้าจะไปที่ใด ข้าก็จะไปกับเจ้า ไม่ว่าไกลสุดขอบฟ้าก็ตาม ขอเพียงเจ้าอยากไป…”นี่เป็นสิ่งที่เขาตัดสินใจไว้แต่แรกแล้ว!แต่ไม่คิดว่า