ฉู่จืออี้ดูแลนางทั้งคืน?เฉียวเนี่ยนรู้สึกประหลาดใจอยู่เล็กน้อยนางจำไม่ได้ว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นจำได้เพียงว่าหลังจากเซียวเหิงพาพวกพี่ชายของนางไปแล้ว นางก็ควบคุมอารมณ์ไม่ได้เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ คิ้วของเฉียวเนี่ยนก็ขมวดเป็นปมช่างน่าอับอายเสียจริงขณะที่กำลังคิดอยู่ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นจากด้านนอกหนิงซวงรีบไปเปิดประตู ก็เห็นว่าผู้ที่อยู่ด้านนอกคือฉู่จืออี้หนิงซวงตกใจ รีบทำความเคารพทันที “บ่าวขอคารวะท่านอ๋องเพคะ”นางเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม ทั้งที่ฉู่จืออี้เป็นคนไม่ดี แต่นางกลับรู้สึกหวาดกลัวโชคดีที่ฉู่จืออี้ไม่ได้ใส่ใจท่าทีของนาง เพียงถามเบา ๆ “เนี่ยนเนี่ยนฟื้นหรือยัง?”หนิงซวงถึงได้พยักหน้า “กราบทูลท่านอ๋อง คุณหนูของบ่าวเพิ่งตื่นเมื่อครู่เพคะ”พูดจบก็หลีกทางให้ฉู่จืออี้จึงเดินเข้ามาในห้อง เห็นว่าเฉียวเนี่ยนลุกขึ้นจากเตียงแล้ว ยังไม่ได้คลุมเสื้อคลุมด้วยซ้ำ แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกอะไร เดินเข้ามาอย่างเร็ว เอื้อมมือแตะหน้าผากของนาง คิ้วขมวดเป็นปม “ตัวยังร้อนอยู่เลย หนิงซวง ยาของคุณหนูเจ้าล่ะ?”เมื่อถูกเรียกชื่อ หนิงซวงยิ่งลน รีบตอบว่า “บ่าวจะไปเอามาเดี๋ยวนี้เพคะ!” พู
เพียงแค่ไม่คิดว่าเสด็จพี่จะส่งเซียวเหิงมาสืบสวนเรื่องนี้ และยิ่งไม่คาดคิดว่าจะมาเร็วขนาดนี้!นับตั้งแต่เขากลับเข้าเมืองหลวงมา ยังไม่ทันถึงสิบสองชั่วยามเลยด้วยซ้ำ!เฉียวเนี่ยนไม่รู้จะตอบฉู่จืออี้อย่างไรดีนางปวดหัวแทบระเบิด ถ้อยคำของแม่เซียวที่กล่าวว่าดาวอัปมงคล ดวงชะตาโดดเดี่ยว ยังคงก้องกังวานอยู่ในหัวจนทำให้นางเริ่มสงสัยขึ้นมาอีกครั้ง ว่าหรือความจริงแล้ว ทั้งหมดจะเป็นความผิดของนาง...“อย่าคิดมาก”สามคำที่เป็นเหมือนวลีประจำตัวของฉู่จืออี้ดังขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้มันไม่มีผลอีกต่อไปแล้วเฉียวเนี่ยนยิ่งร้องไห้หนักขึ้น ราวกับจะระบายทุกข์ที่กดทับในใจมาหลายวันออกมาให้หมดนางเจ็บปวดเหลือเกินไม่เข้าใจเลยว่าทำไมนางต้องเป็น ดาวอัปมงคล ดวงชะตาโดดเดี่ยวทำไมคนที่นางใส่ใจถึงต้องจากไปทีละคนทำไมนางถึงไม่เคยหลุดพ้นจากเงื้อมือของเซียวเหิงได้เลยทั้งที่นางผ่านประตูนรกมาแล้วแท้ ๆเหตุใด... ถึงยังหนีไม่พ้นเมืองหลวงอีก?เห็นได้ชัดว่าจิตใจของเฉียวเนี่ยนใกล้จะพังทลาย ฉู่จืออี้ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ถึงกับทำอะไรไม่ถูก เขาเป็นชายหนุ่มร่างใหญ่ที่สง่างามน่ายำเกรง แต่ในยามนี้กลับหมดหนทางจะปลอบใจแต่ไ
เมื่อเห็นสีหน้าของเซียวเหิงที่ถูกความโกรธกลืนกินจนไร้ซึ่งเหตุผล เฉียวเนี่ยนก็แค่นหัวเราะเย็นเยียบออกมา“ใช่สิ! แม่ทัพเซียวทำอะไรไม่เคยต้องถามความเห็นใคร! เมื่อสามปีก่อนท่านว่าข้าเกินเลยไม่รู้กาลเทศะ ตอนนี้เวลาผ่านมาสามปี ท่านกลับเป็นคนตามรังควานข้าไม่เลิก! ดูเหมือนว่าโลกใบนี้จะเป็นของท่านเซียวเหิงแต่เพียงผู้เดียว ท่านจะทำอะไรก็ต้องได้ดั่งใจไปเสียหมด!”ร่างของเฉียวเนี่ยนสั่นระริกความ โกรธพลุ่งพล่านจากใจหลั่งไหลขึ้นมาจนตาแดงก่ำ น้ำตาคลอเบ้าความอัดอั้นทำให้หลุดคำพูดเฉียบขาดออกมาอย่างไม่ทันยั้งคิด “เซียวเหิง! หากท่านกล้ากลั่นแกล้งใส่ร้ายคนดี ข้าจะไม่ขออยู่ร่วมโลกกับท่าน!”พวกพี่ชายของนางกลับเมืองหลวงก็เพราะนางหากพวกเขาต้องโทษเพราะเรื่องนี้ ต่อให้นางต้องตายก็ไม่เสียดาย!แต่ก่อนตาย นางจะต้องลากเซียวเหิงลงนรกไปด้วยให้ได้!เซียวเหิงได้ยินก็รู้สึกเย็นวาบไปทั้งร่างไม่ขออยู่ร่วมโลกอย่างนั้นหรือ?ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางกลับยอมตัดขาดเพราะผู้ชายไม่กี่คนที่เพิ่งรู้จักกันแค่สองเดือน?เซียวเหิงเป็นคนเช่นไร เฉียวเนี่ยนควรรู้ดีที่สุดถึงจะดื้อรั้น เจ้าคิดเจ้าแค้น แต
เห็นดังนั้น ฉู่จืออี้จึงลุกขึ้นยืนแล้วหันไปมองเจ้าห้ากับเจ้าเจ็ดที่อยู่ข้างเซียวเหอ “ดึกแล้ว พวกเจ้าไปส่งเซียวเหอกลับเถอะ”เจ้าห้ากับเจ้าเจ็ดรับคำทันที จากนั้นก็ประคองเซียวเหอออกไปแต่เดินไปไม่กี่ก้าว เซียวเหอก็หยุดหันกลับมามองเฉียวเนี่ยนแวบหนึ่งแม้วันนี้เฉียวเนี่ยนไม่ได้นั่งอยู่ข้างฉู่จืออี้แต่ในมุมมองของเซียวเหอในตอนนั้น กลับเห็นเฉียวเนี่ยนยืนอยู่ข้างฉู่จืออี้อย่างชัดเจนในใจพลันรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก แต่เขาก็เก็บมันเอาไว้เพราะรู้ดีว่า ตอนนี้เนี่ยนเนี่ยนอยู่ในจวนอ๋องผิงหยาง คือทางเลือกที่ปลอดภัยที่สุดในขณะนั้นเอง ทหารองครักษ์กลุ่มหนึ่งก็กรูเข้ามาจากหน้าจวนอ๋องผิงหยางกองทหารรักษาพระองค์นั่นเองทหารเหล่านี้เป็นตัวแทนของฮ่องเต้ หากจะเข้าจับกุมผู้ต้องหา แม้เป็นทหารองครักษ์ของจวนอ๋องก็ไม่มีสิทธิ์ขัดขวางดังนั้นทุกคนจึงถูกล้อมไว้ในเวลาอันรวดเร็วเซียวเหอแทบจะสร่างเมาในทันทีเขาจ้องไปยังรองผู้บัญชาการที่อยู่ไม่ไกลและออกไป “พวกเจ้าจะทำอะไร?”รองผู้บัญชาการเห็นเซียวเหอ ก็เตรียมจะคำนับ แต่เสียงของเซียวเหิงก็ดังขึ้นเสียก่อน “แม่ทัพผู้นี้รับราชโองการ มาจับกุมอาชญาก
แต่ยังไม่ทันให้เซียวเหอได้มีเวลาซึมเศร้า เหล่าองครักษ์พยัคฆ์ก็กรูเข้ามาเสียก่อนเจ้าห้าก้าวเข้ามาคล้องคอเซียวเหอ “เจ้านี่! พอเจอท่านอ๋องก็ลืมพวกพี่น้องเลยเรอะ? เห็นพวกข้าก็ไม่ทักไม่ทายสักคำ!”เจ้าเจ็ดก็ต่อยเข้าที่ไหล่ของเซียวเหอเบา ๆ “ก่อนหน้านี้ได้ยินว่าเจ้าพิการแล้ว แต่ดู ๆ ไปก็ไม่แย่นี่หว่า! มาลองซักยกไหม?”เจ้าแปดรีบโบกมือเรียกเซียวเหอให้เข้าไปในจวนอ๋องผิงหยาง “ไป ๆ ๆ ไปดื่มกัน! ข้าจะดูว่าเจ้าดื่มเก่งขึ้นบ้างหรือยัง!”เจ้าหกหัวเราะเยาะ “เซียวเหอเคยดื่มกับเจ้าจนเจ้าเมาล้มพบไปแล้ว เจ้ากล้าอีกหรือ?”เจ้าแปดเถียงเสียงแข็ง “ก็เขาอ่อนแรงมาอยู่ตั้งห้าปี! ไอ้เรื่องคอแข็งน่ะ ตอนนี้คงไม่มีทางรอด!”“ใครแพ้ใครต้องเห่าเหมือนหมานะ!”“โฮ่งโฮ่ง! ข้าเห่าให้ก่อนเลยก็ได้! วันนี้มันต้องเมาให้สุด!”“ใช่ ไม่เมาไม่เลิก!”ทั้งกลุ่มหัวเราะครื้นเครง โอบไหล่เซียวเหอเดินเข้าไปในจวนอ๋องผิงหยาง ไม่ปล่อยให้เขาได้มีโอกาสปฏิเสธเลยสักคำทว่าเซียวเหอกลับรู้สึกมีความสุขความรู้สึกที่ถูกพี่น้องล้อมไว้ ทำให้เขาเหมือนได้ข้ามช่วงเวลายาวนานแปดปีกลับไปยังสนามรบในอดีตเขากับฉู่จืออี้ต่างก็เป็นคนเงียบขรึม ไม่พูดม
เสียงของเขา ซึ่งปกติมักจะสุขุมเยือกเย็น วันนี้กลับแฝงด้วยความตื่นเต้นอยู่ไม่น้อยเช้านี้ ฮ่องเต้เพิ่งประกาศข่าวการกลับมาของอ๋องผิงหยางต่อหน้าขุนนางทั้งหลาย เขาอดทนจนกระทั่งเลิกประชุม จึงรีบเร่งมาที่นี่โดยไม่รั้งรอสำหรับเขาแล้ว อ๋องผิงหยางเปรียบเสมือนเพื่อนสนิท หรือแม้กระทั่งพี่ใหญ่เมื่อครั้งที่อ๋องผิงหยางหายตัวไป เขาเองก็ตกอยู่ในภาวะซึมเศร้าอยู่พักหนึ่ง ไม่คาดคิดเลยว่าแปดปีให้หลัง จะยังได้พบกันอีกครั้งเซียวเหอตื่นเต้นมากจริง ๆถึงขนาดที่ไม่ทันสังเกตว่าเฉียวเนี่ยนยืนอยู่ไม่ไกลฉู่จืออี้ก้าวขึ้นไปข้างหน้า ประคองเซียวเหอลุกขึ้นต่างจากความเย็นชาที่แสดงออกต่อเซียวเหิง ฉู่จืออี้ตบไหล่เซียวเหอเบา ๆ น้ำเสียงแฝงความสงสาร “ซูบผอมลงไปเยอะเลยนะ”เซียวเหอเคยเป็นชายหนุ่มร่างกำยำ แต่ห้าปีที่เขาต้องใช้ชีวิตดุจคนไร้ค่า นั่นแหละ...ที่เปลี่ยนเขาให้กลายเป็นแบบทุกวันนี้แม้ตอนนี้ เซียวเหอจะดูไม่แตกต่างจากคนทั่วไป แต่ใครที่เคยเห็นเขาในอดีต ย่อมรู้ว่าสภาพตอนนี้เปลี่ยนไปมากเพียงใด ฉู่จืออี้เองก็อดรู้สึกเจ็บปวดใจไม่ได้ในห้าปีนั้น เซียวเหอผ่านมันมาได้อย่างไรเซียวเหอได้ยินคำนั้นจากฉู่จืออี้ น้ำต
จนกระทั่งเงาร่างอันคุ้นเคยและอบอุ่นนั้นลับหายไปจากสายตา ร่างกายที่ตึงเครียดของเซียวเหิงจึงค่อย ๆ คลายลงแต่ภายในใจกลับเอ่อล้นไปด้วยความคับแค้นอย่างรุนแรง หัวใจของเขาเต้นรัวอย่างบ้าคลั่งจนเจ็บแน่นในอกตอนนั้นเอง เจ้าสิบกับเจ้าสิบเอ็ดก็ผละออกจากตัวเซียวเหิงแล้วลุกขึ้นเมื่อเห็นบุรุษผู้แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ ในแววตากลับคลอไปด้วยหยาดน้ำตา เจ้าสิบอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะ “รู้อย่างนี้แล้ว ตอนนั้นจะทำไปเพื่ออะไร?”เจ้าสิบเอ็ดตบไหล่เจ้าสิบเบา ๆ “พูดกับเขาไปก็เปล่าประโยชน์ ไปเถอะ!”จากนั้น ทั้งสองก็หันหลังเดินจากไปในตอนนั้นเอง หลินเย่ว์ก็เหมือนเพิ่งได้สติ เขาหันไปมองเซียวเหิง แล้วมองตามแผ่นหลังของสององครักษ์พยัคฆ์ที่จากไป จู่ ๆ ก็เกิดความหวาดกลัวขึ้นในใจเซียวเหิงน่ะ ฝีมือไม่ธรรมดาเลยตอนที่ทำศึกกับพวกกลุ่มชนเตอร์กิกก็ล้วนชนะทั้งที่กำลังน้อยกว่าแต่วันนี้กลับถูกสององครักษ์พยัคฆ์นั้นกดไว้ราวกับไม่มีเรี่ยวแรงจะสู้ไม่ไกลนัก ท่านโหวหลินก็ได้สติขึ้นมาบ้างเขามองหลินเย่ว์แล้วถาม “เย่ว์เอ๋อร์ เรื่องมันเป็นมาอย่างไรกัน? ทำไมเนี่ยนเนี่ยนถึงรู้จักกับท่านอ๋องผิงหยาง?”หลินเย่ว์จะไปรู้ได้อย่างไร?
หัวของเฉียวเนี่ยนเริ่มปวดตุบ ๆ ขึ้นมาอีกครั้งนางหันไปมองเซียวเหิงพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย “ข้ารู้จักแม่ทัพเซียวมามากว่าสิบปี ท้ายที่สุดก็ยังไม่อาจไว้ใจท่านได้ เช่นนั้น ความไว้ใจระหว่างผู้คนจึงไม่อาจตัดสินได้ด้วยระยะเวลา ใช่หรือไม่?”ฉู่จืออี้และองครักษ์พยัคฆ์ยอมละทิ้งชีวิตอันสงบสุขที่ปิดบังตัวตนไว้เพื่อมาหานาง นางจะไม่มีทางทำให้พวกเขาผิดหวังแม้แต่นิดเดียวเมื่อได้ยินเฉียวเนี่ยนพูดเช่นนั้น เซียวเหิงก็ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันจนฟันกรามแทบจะแหลกจากนั้น ก็ได้ยินเสียงฉู่จืออี้เอ่ยเรียบ ๆ “เจ้ามีของอะไรต้องเก็บหรือไม่?”เฉียวเนี่ยนส่ายหน้า ก่อนจะพูดเสริม “ข้ามีสาวใช้คนหนึ่ง แต่นางตากฝนเมื่อคืน เป็นไข้สูงยังไม่หาย ตอนนี้กำลังพักผ่อนอยู่”เมื่อได้ยินดังนั้น ฉู่จืออี้ก็พยักหน้า “เช่นนั้น ข้าจะให้คนมารับนางทีหลัง เราไปกันเถอะ”กล่าวจบ เขาก็หมุนตัวเดินออกไปเฉียวเนี่ยนก็เดินตามไปทันทีทว่า ขณะเดินผ่านฮูหยินหลิน กลับถูกดึงแขนเสื้อเอาไว้เฉียวเนี่ยนหันกลับไปมอง เห็นดวงตาของฮูหยินหลินเต็มไปด้วยความสับสน “เนี่ยนเนี่ยน เจ้าจะไปไหน? แม่ไปกับเจ้าด้วยดีไหม?”อาการของฮูหยินหลินเริ่มเลอะเลือนขึ้นทุกทีเฉ
เมื่อถึงตอนนั้น ท่านโหวหลินก็เหมือนเพิ่งได้สติ รีบคุกเข่าลงทั้งสองข้าง “ข้าน้อยหลินโหยว ขอคารวะท่านอ๋อง!”เมื่อเห็นเช่นนั้น ฮูหยินหลินกับหลินเย่ว์ก็รีบคุกเข่าตามไปทันทีแม้แต่เฉียวเนี่ยนเองก็ย่อตัวทำความเคารพเว้นเสียแต่เซียวเหิง ยังคงยืนอยู่ที่เดิม ดวงตาเต็มไปด้วยความหมองหม่น จ้องเขม็งไปยังฉู่จืออี้คนตรงหน้าคือพรานล่าสัตว์คนนั้นเมื่อวันก่อนชัด ๆ!ทันใดนั้น เสียงเจ้ารองซึ่งยืนอยู่ด้านหลังฉู่จืออี้ก็พูดขึ้นเบา ๆ “เซียวเหิง เจ้าช่างบังอาจ! เจออ๋องผิงหยาง ยังกล้าละเมิดไม่ยอมคุกเข่า!”เซียวเหิงขมวดคิ้วเป็นปม ก่อนจะค่อย ๆ คุกเข่าลงข้างเดียว “คารวะท่านอ๋อง”ทว่า ฉู่จืออี้กลับไม่ใส่ใจเขาแม้แต่น้อย แต่เดินไปพยุงเฉียวเนี่ยนขึ้นด้วยตัวเอง ก่อนจะกล่าวขึ้นเรียบ ๆ ด้วยเสียงทุ้มต่ำ "ทุกคนลุกขึ้นเถอะ"เสียงของฉู่จืออี้เรียบเย็นแต่ทรงอำนาจ ท่านโหวหลินลุกขึ้นเป็นคนแรก สีหน้าตื้นตัน “ท่านอ๋องหายไปแปดปี ข้าน้อยไม่เคยคาดคิดว่าจะได้เห็นท่านอ๋องอีกครั้งในชีวิตนี้”ฉู่จืออี้เพียงปรายตามองเขา ไม่ตอบอะไรแต่กลับหันไปหาเฉียวเนี่ยน แล้วกล่าวจริงจัง “จวนอ๋องผิงหยางใหญ่เกินไป ข้าอยู่คนเดียวไม่ค่อยชิน เจ