หมอหลวงเซวียรีบไปตรวจดูอาการบาดเจ็บของเซียวเหิงในทันที สีหน้าก็ยิ่งดูหนักใจขึ้นเรื่อย ๆ“หมอหลวงเซวีย เป็นอย่างไรบ้าง?” แพทย์ทหารเอ่ยถามอยู่ข้าง ๆหมอหลวงเซวียจึงถอนมือกลับมาก่อนจะหันไปมองแพทย์ทหาร “เจ้าก็อยู่ในกองทัพ เจอเหตุการณ์เช่นนี้มากกว่าข้าเสียอีก ก็น่าจะรู้ว่าอาการของแม่ทัพเซียวนั้น... ไม่สู้ดีนัก”แพทย์ทหารก็เพราะรู้นั่นแหละว่าอาการไม่ดี จึงได้ให้คนรีบไปโรงหมอหลวงเพื่อตามหมอหลวงเซวียมา!ในชั่วพริบตา ดวงตาแพทย์ทหารก็แดงก่ำ ราวกับจะร้องไห้ออกมา“แต่แม่ทัพเซียวร่างกายแข็งแรง คนอื่นโดนม้าเหยียบเข้าไปคงขาดใจไปแล้ว แต่ท่านดูเขาสิ เขายังมีลมหายใจอยู่เลย!”หมอหลวงเซวียขมวดคิ้ว “แต่กระดูกอกของแม่ทัพเซียวแตกละเอียด แถมยังทะลุทะลวงไปถึงอวัยวะภายใน หากคิดจะรักษาให้รอดชีวิต มีแต่ต้องผ่าเปิดอกแล้วนำเศษกระดูกที่ทิ่มปอดออกมาเท่านั้น!”“เช่นนั้นก็ผ่าเลยเจ้าค่ะ!” เสียงของเฉียวเนี่ยนดังขึ้นในทันทีหัวใจนางเต้นแรงไม่เป็นจังหวะนางกล่าวต่อ “ข้าปรุงยาได้ ให้แม่ทัพเซียวดื่มเข้าไปแล้วจะหมดสติอย่างน้อยหนึ่งชั่วยาม!”นี่เป็นสูตรที่ได้อ่านจากตําราแพทย์ที่ท่านหมอประจำจวนเคยให้ไว้ภายในหนึ่งชั่
ฉู่จืออี้รู้สึกสงสัยจนอดไม่ได้ที่จะถามว่า “แล้วคุณหนูชิวพูดอะไรกับเจ้ากันแน่?”เฉียวเนี่ยนจึงตอบกลับว่า “พี่หญิงชิวบอกว่า นางไม่อยากถูกกักขังอยู่ในเรือนเล็ก ๆ ไปชั่วชีวิต และไม่อยากใช้ชีวิตเพื่อตอบสนองผู้อื่น”เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉู่จืออี้ก็อดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้ แต่ในทันใดก็กลับรู้สึกผิดขึ้นมาเล็กน้อย “ข้าว่าข้าเองคงประเมินคุณหนูชิวต่ำเกินไป”“พี่ไป๋ไม่ต้องกังวลหรอกเจ้าค่ะ พี่หญิงชิวไม่ได้โกรธเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม นางกลับรู้สึกซาบซึ้งที่พี่ไป๋พูดอย่างตรงไปตรงมา มิฉะนั้นนางก็คงไม่รู้ว่าจะอธิบายกับราชครูชิวอย่างไรดี”ฉู่จืออี้จึงหัวเราะเบา ๆ พลางพยักหน้า “เช่นนั้นก็ดีนัก”ก็ถือว่าโทษเรื่องที่ไม่อาจสมรสกันนี้ไว้ที่ตัวเขาคนเดียวไปเลยเถอะ อย่างไรเขาก็ไม่กลัวจะต้องรับผิดกับใครหน้าไหนอยู่แล้วรุ่งขึ้น ฉู่จืออี้ก็ทำตามสัญญา พาเฉียวเนี่ยนเข้าสู่โรงหมอหลวงถึงขนาดไปตามตัวหมอหลวงเซวีย ซึ่งเป็นหมอหลวงที่มีศักดิ์สูงที่สุดและวิชาแพทย์เก่งที่สุดในโรงหมอหลวงมาเป็นผู้สอนโดยตรงเฉียวเนี่ยนตั้งใจเรียนอย่างยิ่ง ประกอบกับก่อนหน้านี้ก็เคยอ่านตําราแพทย์ที่ท่านหมอประจำจวนเขียนไว้ จึงเรียนรู้ได้ไว
สายตาของชิวเยี่ยนผิงก็หันมาทางนางเช่นกัน “จริง ๆ แล้วตอนแรกข้าไม่ชอบเจ้านักหรอก เจ้าน่ะเกาะติดอยู่ข้าง ๆ เซียวเหิงมาตั้งแต่เด็ก ทั้งที่เป็นคุณหนูจากจวนโหวแท้ ๆ แต่กลับมัวแต่หมุนรอบผู้ชายคนหนึ่ง ช่างน่าดูแคลนเสียจริง แต่พอได้ยินเรื่องราวของเจ้า ข้าก็เริ่มมองเจ้าในแง่ใหม่ โดยเฉพาะวันที่เจ้าทำร้ายชิวอวี่จนตาบอดนั่นแหละ”ชิวเยี่ยนผิงเป็นคนของเรือนใหญ่ นางรังเกียจเจ้าคนเสเพลแห่งจวนรองนั่นมาตลอดแม้แต่ตอนนี้ที่เอ่ยถึงชิวอวี่ บนใบหน้าของชิวเยี่ยนผิงก็ยังแฝงไปด้วยความรังเกียจ “เจ้าคนสารเลวนั่น ทำลายสตรีดี ๆ ไปไม่รู้กี่คนแล้ว แต่มีแค่เจ้าคนเดียวที่กล้าต่อต้าน กล้าทำร้ายเขา! ข้ารู้ว่าสามปีในกรมซักล้างมันไม่ง่ายเลย แต่ดีที่น้องหญิงทนผ่านมาได้ แล้วยังได้สติกลับมาอีก ตั้งแต่วันที่เจ้าก้าวออกจากกรมซักล้าง ก็ถือเป็นการเริ่มต้นชีวิตใหม่ของเจ้าแล้ว ต่อไป เจ้าต้องมีชีวิตที่ดีขึ้นแน่นอน”ถ้อยคำของชิวเยี่ยนผิงทำเอาใจของเฉียวเนี่ยนสั่นไหวอย่างห้ามไม่อยู่ใช่แล้ว ผ่านมาได้แล้ว ได้สติกลับมาแล้วเป็นการเกิดใหม่ เป็นการฟื้นคืนชีวิตอีกครั้งก่อนหน้านี้ เฉียวเนี่ยนเคยคิดมาตลอด ว่าตนเองต้องออกจากเมืองหลวงเส
พูดมาถึงตรงนี้ ฉู่จืออี้กลับหันไปมองเฉียวเนี่ยน “เจ้าอยู่เป็นเพื่อนคุณหนูชิวก็แล้วกัน”เสียงยังไม่ทันจาง ฉู่จืออี้ก็เดินจากไปอย่างรวดเร็วเหลือเพียงเฉียวเนี่ยนกับชิวเยี่ยนผิงนั่งอยู่ในศาลา มองหน้ากันไปมาตอนนี้เฉียวเนี่ยนถึงเข้าใจเสียที ว่าเรื่องขอให้ช่วยที่ฉู่จืออี้พูดถึงนั้นคืออะไรกันแน่เขาคงกลัวว่าตัวเองจะปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยจนทำให้ชิวเยี่ยนผิงเสียใจ จึงให้นางอยู่ต่อเพื่อช่วยปลอบใจชิวเยี่ยนผิงฉู่จืออี้ย่อมคิดว่าผู้หญิงด้วยกัน พูดจาย่อมง่ายกว่ากันแต่เขาไม่ได้คำนึงเลยว่าเฉียวเนี่ยนกับชิวเยี่ยนผิงเคยเจอกันแค่ครั้งเดียวในวังเท่านั้น แทบจะเรียกได้ว่าไม่รู้จักกันเลย เวลานี้ต่างฝ่ายต่างมองหน้ากัน มีแต่ความกระอักกระอ่วนใจเต็มไปหมดแต่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไร จู่ ๆ ชิวเยี่ยนผิงก็หัวเราะออกมา “เขากลัวข้าจะเสียใจ เลยทิ้งเจ้าไว้ที่นี่ใช่ไหม?”เฉียวเนี่ยนได้แต่หัวเราะตาม “จริง ๆ แล้วท่านอ๋องเป็นคนใจดีมาก เพียงแต่นิสัยค่อนข้างตรงไปตรงมาสักหน่อย มีอะไรก็พูดไม่อ้อมค้อม”“ข้าว่าก็ดีออก ปฏิเสธตรง ๆ ไปเลยก็ไม่เสียเวลา ไม่ต้องมาอ้อมโลกกันนัก” ชิวเยี่ยนผิงพูดด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม พลางรินชาให้
เห็นเฉียวเนี่ยนก้มหน้าลงไม่พูดอะไร ฉู่จืออี้จึงเอ่ยขึ้นว่า “เสด็จพี่คงมีใจอยากจับคู่เจ้าเข้ากับเซียวเหิง”ได้ยินดังนั้น เฉียวเนี่ยนก็เงยหน้าขึ้นมองฉู่จืออี้อย่างตกใจในทันที “เป็นไปไม่ได้หรอก! ก่อนหน้านี้เซียวเหิงเคยขอพระราชทานสมรส ฮ่องเต้ยังจงใจทำพินัยในพระราชโองการ ให้ข้าไม่ต้องแต่งกับเซียวเหิงเลยไม่ใช่หรือเจ้าคะ?”ก็เพราะพระราชโองการของฮ่องเต้นั่นแหละ ถึงทำให้นางมีโอกาสได้หลุดพ้นจากเซียวเหิงไม่อย่างนั้น เวลานี้นางคงยังเป็นนายหญิงน้อยรองแห่งตระกูลเซียวอยู่แน่ ๆฉู่จืออี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย “บางทีอาจจะเห็นเซียวเหิงคลั่งเพราะเจ้า ทำให้เสด็จพี่รู้สึกสงสารก็เป็นได้”แต่จริง ๆ แล้ว เขาเองก็ไม่เข้าใจนัก สงครามที่เซียวเหิงไปรบมานั้นจะลำบากสาหัสขนาดไหน ถึงทำให้ฮ่องเต้ผู้เคยผ่านความวุ่นวายของกษัตริย์ทั้งห้ายังอดถอนหายใจไม่ได้เช่นนั้นแต่ไม่ว่าอย่างไร ความเจ็บปวดของเซียวเหิงก็ไม่อาจลบล้างความผิดที่เขากระทำต่อเนี่ยนเนี่ยนได้เฉียวเนี่ยนสูดลมหายใจเข้าลึก “ข้าไม่อยากมีความเกี่ยวข้องกับเซียวเหิงอีกแล้ว”“ดีแล้ว” ฉู่จืออี้ตอบรับเรียบ ๆ ไม่ได้พูดอะไรอีกสองวันต่อ มาฮ่องเต้ได้นัดให้ฉู่จืออี้พบก
ในงานเลี้ยงวันนี้ ฉู่จืออี้ดื่มไปไม่น้อยก็จริง แต่ด้วยความคอแข็งของฉู่จืออี้แล้ว ก็ไม่ควรจะเป็นอะไรนักดังนั้น เมื่อเห็นฉู่จืออี้ยืนพิงกำแพงวังแล้วอาเจียนเช่นนี้ เฉียวเนี่ยนก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเป็นห่วงขึ้นมานางคิดเพียงว่า หรือว่าฉู่จืออี้จะไปเสียมารยาทกับฮองเฮาเพราะช่วยนางในวันนี้ ก็เลยถูกฮ่องเต้กักตัวไว้ตำหนิ แล้วกินอะไรแปลก ๆ เข้าไปหรือเปล่า?ตามปกติแล้ว เมื่อออกจากวังมาแล้วก็ไม่อาจเข้าไปได้อีกง่าย ๆ แต่โชคดีที่องครักษ์เฝ้าประตูเป็นคนของเซียวเหอ อีกทั้งยังรู้เรื่องระหว่างนางกับฉู่จืออี้ดี จึงยอมให้นางเข้าไปได้นางพยุงฉู่จืออี้ไปด้วย มือก็จับชีพจรให้ไปด้วยแม้ว่าจะไม่เคยเรียนวิชาแพทย์อย่างเป็นทางการ แต่ก่อนหน้านี้ที่อยู่ตระกูลเซียว นางก็เคยเรียนวิธีตรวจชีพจรกับท่านหมอหลิวมาแล้ว ถึงจะดูความผิดปกติไม่ออก แต่ก็พอแยกแยะชีพจรปกติได้ชีพจรของฉู่จืออี้ปกติดีมากเช่นนั้นก็ไม่น่าใช่ว่ากินอะไรผิดสำแดงเข้าไป หรือว่า... แค่เมาอย่างนั้นหรือ?เหล้าในวังมันแรงขนาดนี้เชียว?ฉู่จืออี้มองเฉียวเนี่ยนที่ไม่รู้จักดูเรี่ยวแรงตัวเองแล้วเอาแขนเขาพาดบ่านา ไม่รู้ทำไมถึงอยากลองทดสอบเรี่ยวแรงของนางขึ้