กัวรั่วชิงจำได้ว่าทางสายนี้นำไปยังภูเขาจำลอง ซึ่งนางกับคุณหนูเล็กสกุลเหยาชอบมาเล่นซ่อนแอบกันบริเวณนี้เป็นประจำ ด้วยที่นี่มีความพิเศษกว่าภูเขาจำลองของที่อื่น ตรงที่ถูกจัดวางเอาไว้เสมือนกับวงกต หากใครไม่รู้ทางแล้วเผลอเดินเข้าไปก็จะหลงอยู่ในนั้น
โชคดีที่นางจำทางได้ ไม่ว่าจะเจอคนหรือไม่ก็ไม่มีทางหลง และแล้วเมื่อนางไปตามเส้นทางคดเคี้ยวสักระยะ ก็พบสตรีงดงามในชุดกระโปรงหรูฉวินสีเขียวตัดกับสีกลีบบัวกำลังเพลิดเพลินอยู่กับการเก็บดอกไม้ที่ริมน้ำ
“เหยาหลิงเจิน! เจินเจิน เป็นเจ้าจริงๆ ด้วย” คนได้เจอสหายเก่าก้าวเท้าไวๆ ไปหาเหยาหลิงเจินด้วยใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความยินดี
“จะ...เจินเจินงั้นเหรอ” ดวงตาดุจลูกวางสุกใสจดจองกัวรั่วชิงด้วยความไม่แน่ใจ “เจ้ารู้จักข้า?”
“แน่นอนว่าต้องรู้จัก ข้าคือชิงชิงอย่างไรเล่า”
“ชิงชิง?” เหยาหลิงเจินที่เหมือนจำอะไรไม่ได้พลันหันไปขอความช่วยเหลือจากคนสนิทข้างกาย
หลังจากกระซิบกระซาบกันอยู่ครู่หนึ่ง สาวใช้คนสนิทของเหยาหลิงเจินก็เดินหน้าขึ้นมากล่าวกับกัวจิ้งอี “คุณหนูของเราเพิ่งหายจากอาการป่วยได้ไม่นาน อาจจะยังมีอาการหลงลืมอยู่ ขอฮูหยินอย่าได้ถือสาเลยเจ้าค่ะ”
“เจ้าจะบอกว่านางจำข้าไม่ได้แล้วงั้นรึ” ใบหน้าที่ประดังยิ้มในคราแรกพลันหม่นหมอง นางกับเหยาหลิงเจินเรียกได้ว่าโตมาด้วยกัน การที่ถูกลืมเช่นนี้ย่อมกระทบกระเทือนจิตใจ
“นี่ อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิ” “เจ้าเพิ่งได้บินกับพี่ชายสุดเท่แท้ๆ”
“เจ้าเห็นรึ”
“เห็นสิ ข้าน่ะอยากลองบินแบบนั้นบ้าง แต่ก็ทำไม่ได้ เจ้ามีอะไรให้เศร้ากัน”
“นั่นเพราะเจ้าจำข้ามิได้แล้วต่างหาก”
“เหยาปิงเพิ่งบอกไปนี่ว่าพี่สาวไม่สบาย น้องสาวจะเอาอะไรกับคนป่วย”
“แต่ว่าเมื่อก่อนเราสนิทกันมากนะ เจ้าจะไม่เหลือความทรงจำดีระหว่างเราสักเรื่องเลยได้อย่างไร”
เหยาหลิงเจิ้นถอนหายใจหนักๆ “เหตุใดน้องสาวถึงให้ความสำคัญกับอดีตนักเล่า เพียงแต่ข้าจำเรื่องเก่ามิได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเราจะสร้างความทรงจำใหม่ดีๆ อีกไม่ได้ หากมี อืม...อะไรนะ อ่อ หากมีวาสนาต่อกัน เจ้ากับข้าคงได้เป็นเพื่อนสนิท”
“เจ้าพูดถูก เป็นข้าที่ยึดติดเกินไป”
“แต่ว่ายามนี้ข้าเป็นเพียงคนเขลาผู้หนึ่ง น้องสาวแน่ใจหรือว่าอยากสนิทสนมกับข้า”
“สำหรับข้าแล้วไม่ว่าเจ้าจะเป็นเยี่ยงไร เจ้าก็คือสหายของข้าเสมอ”
เหยาหลิงเจินเหลือบมองไปทางคนสนิทเล็กน้อย ก่อนตอบ “หากน้องสาวไม่รังเกียจ พี่สาวก็ยินดี”
กัวรั่วชิงยิ้มยินดี แม้เหยาหลิงเจินจะจำตนเองไม่ได้ก็ตาม แต่นางในแบบนี้ยังดีกว่าแบบที่นั่งนิ่งไม่รับรู้เหมือนตุ๊กตาไร้วิญญาณในตอนนั้นเป็นร้อยเท่า
“เอาล่ะพี่สาวหิวแล้ว ไปหาอะไรกินกันดีกว่า” เหยาหลิงเจินลูบท้อง
“เดี๋ยวก่อน เจ้ากับข้าอายุเท่ากัน เรียกข้าว่าชิงเอ๋อร์ดีกว่านะ”
“ก็ได้ๆ ชิงเอ๋อร์ ชิงเอ๋อร์ ชิงเอ๋อร์ ทีนี้เราไปหาอะไรเติมกะเพาะได้หรือยัง”
“ได้แล้วๆ”
เดิมเหยาหลิงเจินไม่อยากไปร่วมงานเลี้ยง จึงให้เหยาปิงไปนำอาหารมาจัดไว้ที่ศาลากลางเกาวงกต เพื่อไม่ให้คนตามมารบกวน ถึงสุดท้ายกัวรั่วชิงจะเข้ามาได้ แต่นางรู้สึกว่าสตรีผู้นี้เป็นมิตรแตกต่างจากคุณหนูคนอื่นๆ ที่เคยพบตอนมาเมืองหลวงใหม่ๆ จึงอยากผูกมิตรด้วยเหมือนกัน
“นี่ชิงเอ๋อร์ เห็นเหยาปิงของข้าเรียกเจ้าว่าฮูหยิน เจ้าแต่งงานแล้วงั้นเหรอ”
คำถามของเหยาหลิงเจินทำให้กัวรั่วชิงชะงักเล็กน้อย ใบหน้าเรียวสวยฉายแววครุ่นคิด นางมองสหายตรงหน้าดุจเดียวกับมองกระต่ายน้อยไร้เดียงสา เมื่อเหยาหลิงเจินอยู่ในสภาพเช่นนี้ บางทีการเปิดใจเล่าความจริงอาจจะดีกว่าเก็บงำไว้ นางไม่จำเป็นต้องระแวดระวังคำพูด เพราะต่อให้หลิงเจินจดจำรายละเอียดได้ นางก็คงไม่เข้าใจความซับซ้อนของโลกใบนี้อีกต่อไปแล้ว
“ใช่แล้ว ข้าแต่งงานแล้ว แต่เรื่องราวไม่ใช่แบบที่คนทั่วไปเข้าใจนักหรอก” นางเว้นช่วงเล็กน้อยแล้วเล่าต่อด้วยน้ำเสียงที่เจือความขมขื่น “อันที่จริง... ผู้ที่ถูกหมั้นหมายกับโจวจื่อหมิง คือพี่สาวของข้า กัวจิ้งอี”
“เล่าต่อๆ” ดวงตาของเหยาหลิงเจินกะพริบปริบๆ คล้ายกำลังประมวลผล แต่ก็ไม่ได้มีท่าทีตกใจเกินไปนัก ยังคงมองมาด้วยแววตาใสซื่อ
“พี่หญิงใหญ่ของข้า... นางไม่เคยพอใจแค่โจวจื่อหมิง นางหมายปองตำแหน่งที่สูงกว่านั้น” กัวรั่วชิงกัดริมฝีปาก พลางนึกถึงความเจ็บปวดที่ผ่านมา “นางจึงวางแผนให้ข้าถูกพบอยู่ในห้องนอนกับโจวจื่อหมิง เขาจึงไม่มีทางเลือกต้องรับผิดชอบด้วยการแต่งงานกับข้าแทน”
“จริงหรือ?” เหยาหลิงเจินเบิกตาโต
กัวรั่วชิงพยักหน้าหน้า มองเหยาหลิงเจินที่ฟังเรื่องราวของตนอย่างตั้งใจ นางจึงเล่าต่อด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ “แต่ถึงกระนั้น พี่สาวที่แสนดีของข้าก็แสร้งทำตนเป็นเหยื่อ ตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จ ว่านางเป็นผู้ถูกแย่งคู่หมั้น ถูกน้องสาวทรยศหักหลัง ด้วยเหตุนี้ คนทั้งเมืองหลวงจึงดูแคลนข้า กล่าวหาว่าข้าเป็นนางร้าย เป็นสตรีไร้ยางอาย ที่ใช้เล่ห์เพทุบายแย่งชิงคู่หมั้นพี่สาวมา” นางบีบมือตัวเองแน่น ภาพความอับอายยังคงติดตา
เหยาหลิงเจินฟังเงียบๆ จนจบ ก่อนจะยื่นมือมาจับมือกัวรั่วชิงเบาๆ พลางตบบนหลังมือเพื่อนอย่างปลอบโยน ดวงตาที่เคยดูว่างเปล่าฉายแววสงสารวูบหนึ่งอย่างรวดเร็วจนกัวรั่วชิงแทบมองไม่เห็น ก่อนจะกลับมาใสซื่อดังเดิม
“โอ๋ๆ ชิงเอ๋อร์ ไม่ร้องนะ ไม่เป็นไรหรอก” เหยาหลิงเจินพูดด้วยน้ำเสียงไร้เดียงสา “คนพวกนั้นเขาอาจจะ... หลงทางอยู่ในวงกตเหมือนกันมั้ง” นางหัวเราะคิกคักเบาๆ คล้ายเด็กน้อยที่เจอเรื่องขำขัน
กัวรั่วชิงได้ยินดังนั้นก็ถึงกับยิ้มขื่น พยักหน้ากับตนเองว่าเพื่อนรักของนางคงปัญญาอ่อนไปเสียแล้วจริงๆ แต่คำปลอบโยนที่ออกมาจากใจจริงแม้จะฟังดูประหลาด กลับทำให้ความหนักอึ้งในอกนางคลายลงได้บ้าง
“เจ้าพูดถูก เจินเจิน ขอบคุณนะ” กัวรั่วชิงกล่าวเสียงเบา
“ไม่เป็นไรหรอก เราเป็นเพื่อนกันนี่นา” เหยาหลิงเจินยิ้มกว้าง “ถึงแม้คนอื่นจะไม่ชอบชิงเอ๋อร์ แต่ข้าชอบชิงเอ๋อร์นะ” น้ำเสียงไร้เดียงสาแต่จริงใจทำให้กัวรั่วชิงรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ
“ตอนนี้พี่สาวก็หิวแล้ว เราไปหาอะไรเติมท้องดีกว่า” เหยาหลิงเจินลูบท้อง “แต่คงต้องรอไปเที่ยวในเมืองวันหลังนะ วันนี้บ้านข้ามีงานเลี้ยงนี่นา” นางกล่าวพลางชี้ไปยังทิศทางที่จากมา
“ได้สิ” กัวรั่วชิงยิ้มตอบอย่างยินดี ความมืดมิดในใจพลันจางหายไปชั่วขณะเมื่อได้อยู่กับเพื่อนที่ไร้พิษภัยเช่นนี้ “เอาไว้ข้าว่างเมื่อไหร่ ข้าจะไปหาเจ้าที่จวนนะเจินเจิน”
“ดีเลย เจินเจินจะรอชิงเอ๋อร์นะ” เหยาหลิงเจินพยักหน้าหงึกหงักอย่างร่าเริง ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มสดใสราวกับไม่เคยมีความทุกข์ใดๆ มาก่อน
เมื่อแสงตะวันลับขอบฟ้า ยามราตรีมาเยือน บรรยากาศภายในจวนแม่ทัพพลันเงียบสงบลงกว่าปกติ มีเพียงแสงนวลตาจากโคมไฟกระดาษที่แขวนเรียงรายตามทางเดินเท่านั้นที่ขับไล่ความมืดมิดออกไปซูหมิ่นจูในชุดสีชมพูอ่อนถูกซูจิ่นนำมาส่งตรงทางเข้าเรือนใหญ่ของหวงเชียนเล่อ หัวใจของนางเต้นรัวด้วยความยินดีผสมกับความประหม่า นางยืนนิ่งอยู่หน้าประตูครู่หนึ่งพยายามปรับสีหน้าท่าทางไม่ให้ดูตื่นเต้นเกินไป ก่อนก้าวเท้าผ่านประตูบุปผาไปทางเดินปูด้วยหินขัดเรียบ ทอดยาวผ่านสวนเล็กๆ ที่ตกแต่งอย่างเรียบง่ายแต่ทรงพลัง มีกอไผ่และต้นหลิวพริ้วไหวตามแรงลม บนทางเดินมีกลิ่นหอมของดอกไม้ป่าอ่อนๆ ลอยมาเป็นระยะ ยิ่งทำให้หัวใจของนางพองโตมากขึ้นไปอีกเมื่อเข้ามาภายในเรือนจะพบกับห้องโถงที่กว้างขวางและดูเคร่งครึม ผนังประดับด้วยภาพวาดพู่กันลายภูเขาและแม่น้ำ ไม่มีเครื่องตกแต่งที่หรูหราฟุ่มเฟือย แต่ทุกอย่างถูกจัดวางอย่างลงตัว โต๊ะไม้ขนาดพอเหมาะตั้งอยู่กลางห้อง มีอาหารจัดวางอยู่เพียงไม่กี่อย่าง แสดงให้เห็นถึงความเรียบง่ายสมเป็นเรือนของแม่ทัพที่โต๊ะนั้นเอง ซูหมิ่นจูเห็นร่างสูงใหญ่ของหวงเชียนเล่อนั่งร
ยามนี้ซูหมิ่นจูตระหนักแล้วว่ากัวรั่วชิงไม่ใช่พลับนิ่ม แต่เป็นสตรีจิตใจล้ำลึกและร้ายกาจดังข่าวลือที่ได้ฟังมาจริงๆ แต่การที่ตนเองโดนเล่นงานตั้งแต่ครั้งแรกเยี่ยงนี้จะบอกให้ท่านน้ารู้ไม่ได้ ยิ่งกับญาติผู้พี่ยิ่งไม่ได้อย่างเด็ดขาด“เรื่องวันนี้อย่าได้แพร่งพราย ถ้าข้ารู้ว่าผู้ใดปากมาก ข้าจะเล่นงานให้หนัก”“ขอรับคุณหนูซู” แม้เรื่องนี้จะน่านำไปเล่าต่อแค่ไหน แต่ทหารผู้คุ้มกันสองสามคนที่ตามมาก็จำต้องรับคำ เพราะไม่อยากซวยจากความปากสว่างซูหมิ่นจูกับซูจิ่นขึ้นรถม้ากลับจวนแม่ทัพทันที ความเงียบปกคลุมอยู่ภายในรถม้าได้ไม่นาน ซูหมิ่นจูที่ยังคับแค้นใจไม่หายพลันทุบกำปั้นลงบนที่นั่งอย่างแรง“ช่างน่ารังเกียจจริงๆ ทั้งที่ตัวเองเป็นแค่สตรีม่ายที่โดนบุรุษอื่นทอดทิ้งมาก่อน แต่กลับกล้าต่อปากต่อคำ ดูถูกเหยียดหยามคุณหนูในห้องหอที่ไร้เรื่องฉาวอย่างข้า” นางเอ่ยด้วยความโกรธ ใบหน้าบิดเบี้ยวไปด้วยความเกลียดชัง“คุณหนูใจเย็นๆ ก่อนนะเจ้าคะ” ซูจิ่นพยายามปลอบคุณหนูของตนเอง“ใจเย็นงั้นรึ พูดออกมาได้” ซู
ตั้งแต่เกิดมามีแค่ไม่กี่คนที่รังแกนางได้หนึ่งคือกัวจิ้งอี สองคือโจวจื่อหมิง แต่พวกเขาทั้งคู่ก็ถูกนางเล่นงานจนย่ำแย่ไปแล้วนับประสาอะไรกับคุณหนูปากกล้าตรงหน้า อย่างนางจะเป็นตัวอะไรได้“นี่เจ้าจะทำร้ายคนหรือ” จูหมิ่นจูไม่คิดว่าสตรีที่ดูนุ่มนิ่มในตอนแรก บัดนี้กำลังเดินย่างสามขุมเข้ามาด้วยแววตากลัว “ช่วยด้วย! นางจะทำร้ายข้า”“ไสหัวไป ร้านค้าของข้าไม่ต้อนรับพวกคนเถื่อน” พูดจบพนักงานหญิงตัวใหญ่สองคนออกมาจากทางด้านหลังร้าน “โยนพวกนางออกไป” กัวรั่วชิงสั่งน้ำเสียงเด็ดขาด“อย่าเข้ามานะ! ข้า...ข้าออกไปเองได้”“เชิญ” ใบหน้างดงามปานเทพธิดาปรากฏรอยยิ้ม ทว่าเป็นรอยยิ้มหยันที่ทำให้คนโมโหจนแทบดิ้นตาย “เจ้าก็รีบกลับบ้านนอกไปเสียเถอะ เมืองหลวงไม่เหมาะกับคนอย่างเจ้า”ซูหมิ่นจูตัวแข็งทื่อราวกับถูกสาป นางไม่คาดคิดว่าสตรีม่ายที่นางดูถูกจะกล้าโต้ตอบเช่นนี้ ใบหน้าสวยหวานของนางแดงก่ำด้วยความโกรธจนแทบจะควบคุมตัวเองไม่ได้ นางได้แต่กัดฟันกรอดๆ ด้วยความคับแค้นใจ แ
“ขออภัยด้วยที่คนของข้าเสียมารยาท” เสียงนุ่มนวลที่ดังมาจากประตูหลังทำให้ซูหมิ่นจูและซูจิ่นหันไปมอง ก็เห็นหญิงสาวผู้หนึ่งสวมชุดสีกลีบบัวกำลังยืนอยู่ตรงนั้น ใบหน้างดงามสงบนิ่ง ดวงตาที่ดูอ่อนโยนและรอยยิ้มจางๆ บนริมฝีปากชวนให้รู้สึกสบายตาสบายใจยิ่ง“เจ้าเป็นใคร” ซูจิ่นถามอย่างหยิ่งผยอง“ข้าคือเจ้าของร้านจื่อชิงแห่งนี้ นามว่ากัวรั่วชิง” น้ำเสียงของนางยังคงความอ่อนโยน แต่แฝงไว้ด้วยพลังไม่ได้อ่อนแอเลยแม้แต่น้อย“อ่อ เจ้าเองสินะ” ซูหมิ่นจูมองมาด้วยสายตาเย็นชา‘นางคือสตรีม่ายที่เป็นเจ้าของร้านแห่งนี้ กัวรั่วชิง งั้นเหรอ’ ซูหมิ่นจูเก็บความรู้สึกไม่ยินยอมไว้ภายในใจ นางไม่คาดคิดว่าคู่แข่งความรักของตนจะดูงดงามและสง่าดังดอกโบตั๋นเยี่ยงนี้ นางเดินเข้าไปหากัวรั่วชิงอย่างช้าๆ ราวกับนางพญาที่กำลังประเมินเหยื่อ“ข้าเคยได้กลิ่นหอมจากร้านใหญ่ๆ ในเมืองหลวงมาแล้ว” ซูหมิ่นจูเริ่มบทสนทนาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง “แต่กลิ่นของที่นี่ช่าง...ธรรมดาเส
หวงเชียนเล่อเดินนำนางไปตามทางเดินที่ปูด้วยหินสีเทาเข้มอย่างเป็นระเบียบ สองข้างทางมีต้นสนสูงใหญ่อายุหลายร้อยปีปลูกเรียงรายอย่างสง่างาม กำแพงสูงใหญ่ของเรือนพักรายล้อมไปด้วยพุ่มไม้ที่ถูกตัดแต่งอย่างประณีต บรรยากาศภายในจวนแม่ทัพแตกต่างจากภายนอกอย่างสิ้นเชิง ที่นี่ไม่มีเสียงอึกทึกของผู้คนในตลาด มีเพียงเสียงของสายลมที่พัดผ่านยอดไม้และเสียงฝีเท้าของทหารยามที่เดินตรวจตราเป็นระยะ ซูหมิ่นจูรู้สึกได้ถึงความสงบและอำนาจที่แฝงอยู่ในทุกย่างก้าว นางเดินตามพลางมองแผ่นหลังกว้าง หัวใจเต้นระรัวด้วยความรู้สึกที่ผสมผสานระหว่างความสุขที่ได้อยู่ใกล้ชิดเขาและความหวังในอนาคตที่นางเพิ่งจะวางแผนไว้เมื่อพวกเขาเดินเข้าไปในเรือนพักรับรอง นางก็รู้สึกตกใจเมื่อเห็นห้องที่ถูกเตรียมไว้ มันถูกประดับประดาอย่างสวยงาม แต่ก็แฝงไปด้วยความรู้สึกอบอุ่น ดูก็รู้ว่าใส่ใจอย่างยิ่ง“พี่เชียนเล่อ ท่านเตรียมสิ่งนี้ให้ข้าหรือ” นางเอ่ยถามด้วยดวงหน้าแดงซ่าน“ใช่แล้ว เจ้าชอบหรือไม่เล่า”“ข้าชอบมากเจ้าค่ะ ขอบคุณท่านมากจริงๆ”“ไม่ต้องเกรงใจ เจ้า
หวงเชียนเล่ออ่านจบก็เก็บจดหมายเข้ากระเป๋าเสื้อ “เป็นอย่างไรบ้างขอรับ”“ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง” หวงเชียนเล่อกล่าวด้วยรอยยิ้มบางๆ “ท่านแม่แค่จะส่งจูเอ๋อร์มาทำธุระที่เมืองหลวง”“ฮูหยินคงส่งนางมาสอดส่องว่าท่านใช้ชีวิตเหลวไหลอย่างไรที่นี่มากกว่า”หวงเชียนเล่อหัวเราะอย่างขบขัน “เจ้าพูดถูกแล้ว ท่านแม่ของข้าคงจะคิดเช่นนั้น”“แล้วท่านไม่กังวลหรือ” หูจวี๋ถามอย่างเป็นห่วงหวงเชียนเล่อส่ายหน้า “ข้าไม่กังวลหรอก จูเอ๋อร์เป็นคนน่ารัก นางคงไม่ทำอะไรที่ไม่ดีต่อข้าหรอก”หวงเชียนเล่อเอ็นดูซูหมิ่นจูเหมือนน้องสาวแท้ๆ ของตัวเอง ทั้งยังแอบคิดในใจว่า หากญาติผู้น้องได้พบกับกัวรั่วชิงและชื่นชอบในตัวนาง มารดาของเขาอาจจะยอมรับในตัวกัวรั่วชิงได้ง่ายขึ้น“เจ้าช่วยสั่งให้พ่อบ้านไปเตรียมเรือนพักรับรองให้ญาติผู้น้องของข้าที่กำลังจะมาเยี่ยม”“ขอรับ” หูจวี๋โค้งคำนับแล้วเดินไปที่ประตูอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหันกลับมา “ท่านแม่ทัพ แล้ว