"โอ๊ย...ปวดหัวชะมัด"
กันตายกมือขึ้นกุมหัวที่หนักอึ้งทันทีที่รู้สึกตัว ลมหายใจแรกหลังจากฟื้นคืนสติเป็นไปอย่างติดขัดเหมือนโดนไข้หวัดเล่นงาน ร่างกายหนักอึ้งราวกับถูกพันธนาการด้วยความมึนงง เมื่อสติเริ่มกลับคืนมา เปลือกตาของเธอกะพริบถี่ๆ อย่างสับสน
นี่เธอยังไม่ตายหรอกหรือ
เธอจำได้ว่าเมื่อคืนนี้เธอเมามาก ภาพเหตุการณ์สุดท้ายที่จำได้คือเธอถูกรถชนเข้าอย่างจังจนร่างกระเด็น แต่ทำไมเธอถึงไม่รู้สึกเจ็บปวดตามเนื้อตัวเลยล่ะ
กันตาหรี่ตาลง มือของเธอค่อยๆ ขยับลูบไล้ไปตามเนื้อตัว ที่ไม่มีแม้แต่ร่องรอยฟกช้ำดำเขียวทั้งที่เธอควรจะเจ็บหนัก
แต่ที่น่าตกใจเสียยิ่งกว่าคือผิวพรรณหยาบกระด้างและเสื้อผ้าสีหม่นที่สวมอยู่บนร่าง สิ่งที่เห็นทำให้นิ้วมือของเธอสั่นระริก เกิดอาการงุนงงและความไม่แน่ใจขึ้นมา หัวคิ้วทั้งสองขมวดเข้าหากัน เผยให้เห็นความสับสนที่ตีตื้นขึ้นมาในห้วงความคิด พยายามระลึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ แต่กลับพบเพียงความว่างเปล่า นอกจากภาพตอนถูกรถชนเธอก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย หัวใจของกันตาเต้นแรงขึ้น ความรู้สึกไม่มั่นคงแผ่ซ่านไปทั่วร่าง เธอรู้ตัวดีว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่ไม่อาจบอกได้ว่าเป็นอะไร
หญิงสาวเริ่มที่จะสำรวจตัวเองด้วยดวงตาที่เบิกกว้างขึ้นทีละน้อย ความไม่แน่ใจฉายชัดอยู่ในแววตา ก่อนที่อารมณ์บางอย่างจะก่อตัวขึ้น อาจเป็นความหวาดระแวง ความตื่นตระหนก หรือความตกใจที่กำลังแปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัว
กันตากลืนน้ำลายลงคอที่แห้งผาก ขณะที่หัวใจเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ ความสับสนและความหวาดหวั่นถาโถมเข้าใส่ เธอพยายามควบคุมสติ แต่ความคิดตลกร้ายก็แล่นเข้ามาในหัว หรือว่าเธอกำลังเผชิญกับเรื่องน่าเหลือเชื่ออย่าง การสวมร่าง ทะลุมิติมาเกิดใหม่ หรือการย้อนเวลา
หญิงสาวยกฝ่ามือตัวเองขึ้นมาดู นิ้วมือเรียวเล็กหยาบกระด้างและผิวพรรณกระดำกระด่างที่แตกต่างไปจากเดิมทำให้เธอแทบหยุดหายใจ ทุกสัมผัส ทุกอิริยาบถ บ่งบอกชัดเจนว่านี่ ไม่ใช่ร่างกายเดิมของเธอ ความจริงที่แสนประหลาดและยากจะเชื่อค่อยๆ คืบคลานเข้ามาในจิตใจ และในวินาทีนั้นเอง ความตระหนกก็พลันแปรเปลี่ยนเป็นคำถามนับพันที่ไร้คำตอบ ว่าตอนนี้เธอเป็นใคร ร่างกายเดิมของเธอตายไปแล้วอย่างนั้นหรือ แล้วที่นี่คือที่ไหน ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่
เปลือกตาของกันตากระตุก เสียงลมหายใจแผ่วเบาดังสอดประสานกับเสียงหัวใจที่เต้นหนักขึ้นในอก ความมึนงงเข้าจู่โจมราวกับม่านหมอกหนาทึบปกคลุมความคิด เธอพยายามเรียกสติ เพราะทุกสิ่งรอบตัวดูเลือนรางและไม่คุ้นเคย
สภาพอากาศในตอนนี้หนาวเย็นกว่าที่คุ้นชิน ผิวสัมผัสของพื้นด้านล่างที่เธอนอนอยู่เป็นฟูกนอนเก่าๆ ที่ปูทับบนเตียงแข็งๆ ไม่เหมือนกับเตียงอ่อนนุ่มที่เธอจำได้ เธอขยับปลายนิ้วไปตามพื้นผิวเพื่อสำรวจความเป็นจริง ปลายนิ้วสัมผัสกับเนื้อวัสดุที่แปลกประหลาด รู้สึกได้ถึงฝุ่นละอองและความเย็นจางๆ
กันตาพยายามยันกายลุกขึ้นนั่ง หัวสมองหนักอึ้งราวกับเพิ่งตื่นจากความฝันที่ไม่อาจจดจำได้ ชีพจรเต้นแรงขึ้นเมื่อสายตาเริ่มปรับโฟกัสได้ และภาพรอบตัวก็ค่อยๆ ปรากฏให้เห็นเด่นชัด
แสงแดดส่องลอดผ่านหน้าต่างไม้เก่าๆ เข้ามา สะท้อนฝุ่นละอองที่ลอยอ้อยอิ่งอยู่ในอากาศ หญิงสาวกะพริบตาถี่ๆ พยายามปรับสายตาให้ชินกับแสงสลัวของห้องนอนที่ไม่คุ้นเคย
เธอมองเห็นเพดานไม้เหนือศีรษะมีรอยแตกร้าวเล็กๆ และคราบน้ำซึมออกมา กลิ่นไม้เก่าๆ และกลิ่นฝุ่นผสมกับกลิ่นอับชื้นจางๆ ลอยมาแตะจมูก
กันตาขยับตัวอย่างอึดอัด หันมองสำรวจไปรอบๆ ห้องด้วยความรู้สึกมากมายที่ตีกันอยู่ในหัว ผนังของห้องนี้เป็นปูนฉาบหยาบๆ ทาสีขาวซีดที่เริ่มหลุดล่อนเป็นบางจุด มีตู้ไม้ใบเล็กตั้งชิดติดผนัง ข้างๆ กันนั้นเป็นโต๊ะเครื่องแป้ง และมีโต๊ะเขียนหนังสือที่มีรอยขีดข่วนมากมาย ด้านบนวางสมุดปกแข็งเก่าๆ และตะเกียงน้ำมันที่ยังมีคราบเขม่าจับอยู่ ข้างๆ กันมีนาฬิกาปลุกเหล็กสีเงินแบบไขลานที่ตอนนี้หยุดเดินไปแล้ว ทุกอย่างล้วนมีฝุ่นจับอยู่หนาเตอะราวกับไม่เคยทำความสะอาดมาก่อน
มุมห้องมีกองเสื้อผ้ากองพะเนินไร้ระเบียบ แต่ละตัวทำจากผ้าฝ้ายสีซีดๆ ดูแล้วผ่านการใช้งานมานาน บนผนังฝั่งหนึ่งติดโปสเตอร์ภาพเก่าขาดที่น่าจะเป็นภาพของนักแสดงหญิงชาวจีนยอดนิยมในยุคอดีต ข้างๆ มีปฏิทินจีนเก่าๆ ที่ลงวันที่ปี 1977 ตัวเลขสีแดงซีดบนหน้ากระดาษขาวเหลืองเลือนราง ราวกับผ่านวันเวลามานานเป็นหลักฐานว่าที่นี่ไม่ใช่ยุคที่เธอจากมา
หัวใจของกันตาเต้นแรงจนแทบจะทะลุออกมานอกอก ความรู้สึกเย็นเยียบแล่นวูบไปทั่วร่าง ความเป็นจริงทั้งหมดที่ได้รับรู้กำลังสั่นคลอนหัวใจของเธออย่างรุนแรง ดวงตาตื่นตะลึงกวาดมองไปรอบห้องอีกครั้งอย่างไม่อยากเชื่อ
ห้องนอนที่เธออยู่ตอนนี้สะท้อนถึงวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมของจีนได้อย่างชัดเจน ตอนนี้รู้แล้วว่าเตียงแข็งๆ ที่เธอนอนอยู่คือเตียงอิฐที่มีระบบทำความร้อนใต้เตียงเพื่อให้ความอบอุ่นในช่วงฤดูหนาว หรือที่ในซีรีส์เรียกกันว่าเตียงเตา แต่ตอนนี้นั้นเย็นเฉียบเพราะไม่ได้จุดไฟ ผ้าม่านโปร่งสีซีดแขวนอยู่ริมหน้าต่าง เครื่องเรือนทุกชิ้นดูเก่าแก่เรียบง่าย แม้แต่กลิ่นของไม้และฝุ่นจางๆ ก็ให้ความรู้สึกย้อนยุคเกินจริง ราวกับเธอหลุดเข้าไปในฉากหนึ่งของซีรีส์จีนยุคอดีตที่เธอหลงใหล
ทุกสิ่งอย่างทำให้เธอมั่นใจว่าเธอไม่ได้ย้อนมาในยุคอดีตของแผ่นดินบ้านเกิดเมืองนอน แต่ย้อนมาในประเทศจีนยุคอดีต ยุคสมัยที่เธอหลงใหลและคลั่งไคล้จนถึงขั้นตามดูซีรีส์ อ่านนิยาย และศึกษาทุกเรื่องราวเกี่ยวกับมัน
แต่การชื่นชอบผ่านหน้าจอและตัวอักษรบนหน้าหนังสือ กับการต้องเผชิญหน้ากับมันจริงๆ นั้น ช่างแตกต่างกันจนไม่อาจยอมรับได้
กันตาหย่อนปลายเท้าลงบนพื้นปูนขัดหยาบ เดินโซเซไปยังโต๊ะเครื่องแป้งที่มีกระจกบานเก่าวางพิงผนังอยู่ กรอบไม้เคลือบสีลอกเป็นริ้วๆ เผยให้เห็นเนื้อไม้ด้านใน กระจกมีรอยขุ่นมัวบางจุดแต่ก็ยังสะท้อนภาพได้ชัดเจนพอ
เธอกลืนน้ำลายลงคอรวบรวมความกล้า ก่อนจะค่อยๆ ก้มลงมองภาพสะท้อนของตัวเอง ดวงตาสั่นไหวจับจ้องไปที่เงาสะท้อนในกระจกบานเก่า แล้วสิ่งที่ปรากฏตรงหน้าทำให้เธอแทบจะกรีดร้องออกมาด้วยความตกใจ
กันตาแทบหยุดหายใจ เมื่อเงาสะท้อนในกระจกไม่ได้เป็นใบหน้าที่เธอคุ้นเคยมาทั้งชีวิต แต่กลับเป็นหญิงสาวคนหนึ่งที่มีเส้นผมยุ่งเหยิงเป็นกระจุก พันกันยุ่งจนดูไม่เป็นทรง บางปอยจับตัวแข็งกรังราวกับไม่เคยสัมผัสน้ำมานาน ปลายผมแห้งแตกกระเซอะกระเซิงเหมือนฟางที่ถูกแดดเผาจนกรอบ
หญิงสาวเบิกตากว้างแทบถลน มองภาพนั้นอย่างตกตะลึง หัวใจเต้นแรงจนแทบทะลุออกมาจากอก
นี่เธอเข้ามาอยู่ในร่างของคนบ้าอย่างนั้นหรือ
นี่มัน... ไม่จริงใช่ไหม
กันตายกมือขึ้นแตะใบหน้าของตัวเองในตอนนี้ด้วยปลายนิ้วที่สั่นเทา ผิวสัมผัสหยาบกร้านไม่เรียบเนียน ปลายนิ้วลากผ่านพวงแก้มสกปรกมอมแมม จมูกโด่งเล็กได้รูปสวย ริมฝีปากบาง แห้งแตกเป็นขุยจนรู้สึกเจ็บแปลบทุกครั้งที่ขยับ
ดวงตากลมโตสีดำขลับยังคงเปล่งประกาย แม้จะซ่อนอยู่ใต้เงาที่อิดโรยและรอยคล้ำใต้ตาที่ทำให้ใบหน้าดูเหนื่อยล้าและโทรมอย่างน่าใจหาย
หญิงสาวจ้องมองเงาในกระจกอยู่นาน สภาพภายนอกอาจดูเหมือนคนเสียสติ หากแต่ยังคงเผยให้เห็นเค้าความงามของใบหน้าได้อย่างชัดเจน ก่อนหน้านี้ผู้หญิงคนนี้คงจะเป็นคนที่สวยมาก
แต่ว่า...เกิดอะไรขึ้นกับอีกฝ่ายกัน
ทำไมร่างนี้ถึงตกอยู่ในสภาพเช่นนี้
และทำไมเธอถึงมาอยู่ในร่างของคนที่สภาพเหมือนคนบ้า
กันตาเม้มริมฝีปากแน่น เธอรู้สึกได้ถึงรสเลือดจางๆ จากรอยแตกบนริมฝีปากของตัวเอง มีคำถามมากมายเกิดขึ้นในหัว
"เหยียนเหยียนมานี่เร็ว เราต้องไปกันแล้ว"
กันตาสะดุ้งกับเสียงที่ดังขึ้นด้านนอก ดวงตาหรี่ลงอย่างใช้ความคิด ดูเหมือนว่าคนที่จะให้คำตอบเธอได้ จะอยู่ด้านนอกนั่น
หลี่เฉินยังคงมาทำงานตามปกติ แต่ยิ่งเวลาผ่านไป เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าเจียงซินหยากำลังล้ำเส้น พยายามเข้าหาเขามากขึ้นจนเขารู้สึกอึดอัด และยังแสดงท่าทีให้คนอื่นเข้าใจผิด วันนี้ก็เช่นกัน ขณะที่เขากำลังง่วนอยู่กับการซ่อมคันไถ เขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้"พี่เฉิน"หลี่เฉินไม่ต้องเงยหน้าขึ้นดูก็รู้ว่าเป็นใคร"มีอะไร" เขาถามเสียงเรียบโดยไม่ละมือจากงานที่ทำเจียงซินหยาลังเลเล็กน้อย สายตาเหลือบมองเหล่าชาวบ้านที่กำลังส่งสายตามาทางนี้ ก่อนจะพูดเสียงแผ่วเบา ใบหน้าของเธอดูหม่นเศร้าราวกับถูกรังแก ซึ่งระยะหลังมานี้เธอมักจะแสดงท่าทีเช่นนี้เสมอทุกครั้งที่เข้าหาหลี่เฉิน"ฉันแค่ อยากมาช่วยค่ะ"หลี่เฉินถอนหายใจ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเธอเต็มตา"เธอควรกลับไปทำงานในส่วนของเธอนะ"เจียงซินหยากัดริมฝีปากแน่น คล้ายมีเรื่องคับข้องใจ ไม่ยอมถอยกลับง่ายๆ จะอย่างไรวันนี้เธอก็จะต้องพูดกับเขาให้รู้เรื่อง ตลอดหลายวันมานี้ไม่ใช่ว่าเธอจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายพยายามเว้นระยะห่างจากเธอ และที่ทุกอย่างต้องเป็นแบบนี้ก็คงเป็นเพราะหลินจื่ออิงคนเดียว "พี่เฉิน พี่ไม่รู้จริงๆ หรือคะ ว่าฉันรู้สึกยังไงกับพี่"เสียงของเจียงซินหยาสั่นไหว
หลังจากที่จื่ออิงหายดี หลี่เฉินก็กลับไปทำงานตามปกติ ท้องฟ้าของเช้าวันใหม่ดูสดใส แสงแดดส่องกระทบผืนนา แปลงข้าวสีเขียวชอุ่มทอดยาวสุดสายตา เสียงจอบกระทบดินและเสียงน้ำในร่องนาขยับไหลตามแรงดังเป็นจังหวะ หลี่เฉินก้มหน้าก้มตาเดินตรวจงานอย่างตั้งใจ แต่บรรยากาศรอบตัวกลับดูผิดแปลกไปจากปกติเขารู้สึกถึงสายตาหลายคู่ที่มองมาทางเขา บางคู่จับจ้องอย่างลังเล บางคู่มีแววสงสัย และบางคู่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น"อ้าว หลี่เฉิน กลับมาทำงานแล้วเหรอ"เสียงของหญิงวัยกลางคนดังขึ้น หลี่เฉินเงยหน้าขึ้นจากสมุดจดบันทึกตรงหน้า เห็นป้าหวั่นที่ทำงานร่วมกันมาเนิ่นนานเดินเข้ามาหา และเป็นที่รู้กันดีว่าหญิงผู้นี้เป็นหญิงปากมาก ปากยื่นปากยาว เรื่องสั้นแค่คืบนางสามารถสร้างเรื่องราวให้ยาวมากกว่าศอก เรื่องราวที่ควรจบลงในไม่กี่คำ นางสามารถเล่าขยายให้ยาวราวกับเป็นนิทานหลายบท ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แต่แววตากลับมีประกายของความอยากรู้อยากเห็นอยู่เต็มเปี่ยม"ครับ" หลี่เฉินตอบสั้นๆป้าหวั่นพยักหน้ารับ ก่อนจะเอ่ยถามขึ้น"ได้ข่าวว่าจื่ออิงเมียของเธอหายดีแล้วหรือ"คำถามนั้นดูเหมือนปกติ แต่ท่าทางของคนถามและสายตาของคนรอบข้า
หลี่เฉินกลับมาพร้อมหมอวัยกลางคนที่ประจำอยู่ที่สถานีอนามัยของหมู่บ้าน ชายหนุ่มรีบก้าวเข้ามาอย่างร้อนใจ เห็นภรรยายังคงนั่งนิ่งอยู่ที่ตั่ง ใบหน้าของเธอซีดเซียวแต่ยังมีรอยยิ้มละมุน เขารู้ว่าเธอกำลังเจ็บ แต่ไม่อยากให้เขาและบุตรสาวกังวลจึงได้อดทนไว้หลี่เฉินรีบตรงเข้าไปหา ก้มตัวลงมองสำรวจเธออย่างละเอียดอีกครั้ง พลางใช้ผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อเม็ดเล็กๆ บนหน้าผากมนที่เริ่มผุดซึมออกมา"อาอิง เจ็บตรงไหนบ้าง บอกหมอเร็วเข้า"จื่ออิงยิ้มบางๆ"ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกค่ะ แค่ปวดที่ข้อเท้านิดหน่อยเท่านั้น"หมอพยักหน้ารับ ก่อนจะย่อตัวลงตรงหน้าจื่ออิง แล้วเริ่มตรวจข้อเท้าของเธออย่างละเอียด"ข้อเท้าได้รับแรงกระแทกค่อนข้างรุนแรง ทำให้เกิดการอักเสบ โชคดีที่ไม่ได้หัก แค่ต้องระวังไม่ให้ขยับมากเกินไป เดี๋ยวหมอจะทายาและพันผ้าเอาไว้ให้"หมอพูดพลางเปิดกล่องพยาบาล จื่ออิงพยักหน้ารับฟังอย่างตั้งใจ ในใจรู้สึกโล่งอกที่ไม่ได้บาดเจ็บร้ายแรง"ส่วนที่เหลือก็มีแค่รอยฟกช้ำเล็กน้อย ทายาวันละสองครั้งก็พอ หมอจะจัดยาแก้ปวดและยาแก้อักเสบเอาไว้ให้กิน"หมอกล่าวต่อ ขณะใช้ผ้าพันข้อเท้า จื่ออิงเม้มปากแน่นเมื่อรู้สึกเจ็บ ทว่าเธอยังคงอดทน
"แม่"เสียงเล็กๆ ที่กรีดร้องดังขึ้นอย่างตื่นตระหนก ทำให้จื่ออิงเบิกตากว้าง เธอตกตะลึงจนลืมความเจ็บไปชั่วขณะ หัวใจของเธอสั่นสะท้าน ไม่ใช่เพราะความเจ็บ แต่เพราะความตกใจและตื้นตันเหยียนเหยียนพูดได้แล้ว เหยียนเหยียนเอ่ยเรียกเธอร่างเล็กๆ ของเหยียนเหยียนสั่นเทา รีบวิ่งเข้ามาหามารดา น้ำตาไหลอาบแก้มหยดแล้วหยดเล่า ร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างน่าสงสาร เธอทั้งรู้สึกหวาดกลัวและตกใจ เมื่อเห็นมารดาพลัดตกลงมาต่อหน้าต่อตา เด็กหญิงรีบทรุดตัวลงข้างๆ มือเล็กๆ จับชายเสื้อของมารดาแน่น "ฮือ...แม่ แม่คะ"เสียงเล็กๆ ร้องเรียกสั่นเครือ"อาอิง"หลี่เฉินที่เพิ่งก้าวเข้ามาในลานบ้าน ถึงกับเบิกตากว้างเมื่อเห็นร่างของจื่ออิงร่วงลงมากระแทกพื้นต่อหน้าต่อตา หัวใจของเขาแทบหยุดเต้น ความตกใจแล่นพล่านไปทั่วร่าง โผเข้าไปหาภรรยาทันที นัยน์ตาคมเข้มฉายแววตื่นตระหนก"คุณเจ็บตรงไหน บอกผมเร็วเข้า"เสียงของเขาเต็มไปด้วยความร้อนรน มือไม้สั่นเทา ไม่กล้าแตะต้องภรรยาเพราะกลัวจะทำให้เธอเจ็บหนักกว่าเดิม ยิ่งเห็นภรรยาหลั่งน้ำตาหัวใจยิ่งเหมือนถูกบีบแน่น เต็มไปด้วยความเป็นห่วงและวิตกกังวลจื่ออิงดวงตาร้อนผ่าว น้ำตานองเต็มหน้า แต่ไม่ใช่เพร
จื่ออิงกำลังจดจ่ออยู่กับการตัดเย็บชุดตัวใหม่ให้เหยียนเหยียน เสียงจักรเย็บผ้าดังกึกกักเป็นจังหวะ สายตาของเธอจับจ้องไปยังฝีเข็มที่กำลังเคลื่อนไหวไปตามเนื้อผ้าทันใดนั้น เสียงเรียกของใครบางคนก็ดังขึ้น"พี่สาว"จื่ออิงชะงักไปเล็กน้อย เงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวในชุดกระโปรงสีหวานที่กำลังเดินเข้ามา เจียงซินหยาคิ้วเรียวขมวดเข้าหากันทันที ไม่ใช่ว่าเธอปิดประตูรั้วแล้วหรอกหรือ แล้วอีกฝ่ายเข้ามาได้อย่างไรจื่ออิงวางผ้าในมือลง ลุกขึ้นยืนมองหญิงสาวที่เดินเข้ามาราวกับเป็นบ้านตัวเอง"ฉันเห็นรั้วบ้านพี่ปิดไม่สนิท เลยถือวิสาสะเปิดเข้ามา" เจียงซินหยายิ้มบางๆ "ไม่ว่ากันใช่ไหมคะ"คำพูดนั้นทำให้จื่ออิงต้องเม้มริมฝีปาก รั้วปิดไม่สนิทงั้นหรือ เธอมั่นใจว่าปิดสนิทแล้วอย่างแน่นอน แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป"มีธุระอะไรหรือเปล่าคะ" หญิงสาวถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ยิ่งมองคนตรงหน้ายิ่งรู้สึกขัดใจกับสถานะนางเอกของอีกฝ่าย นางเอกอะไรกันไร้มารยาทสิ้นดี"เปล่าหรอกค่ะ แค่วันนี้ฉันว่างเลยพาถังถังมาเยี่ยมเหยียนเหยียน" เจียงซินหยาเอ่ยยิ้มๆ พลางหันไปมองด้านนอก "เด็กๆ ไม่ได้เจอกันหลายวันแล้ว ถังถังแกบ่นคิดถึงเหยียนเหยียนน
วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เผลอแค่แป๊บเดียว เธอก็ใช้ชีวิตในฐานะ 'หลินจื่ออิง' มาได้สามวันแล้วเช้าวันที่สามเริ่มต้นขึ้นเหมือนเช่นเคยแสงแดดยามเช้าส่องลอดผ่านหน้าต่างเข้ามาในห้องครัว กลิ่นหอมของโจ๊กข้าวฟ่างร้อนๆ ลอยอบอวลไปทั่วบ้าน จื่ออิงยืนอยู่หน้าเตา ค่อยๆ ใช้ทัพพีคนโจ๊กข้าวฟ่างในหม้อที่เธอใส่ฟักทองลงไปด้วยอย่างใจเย็น ข้างๆ กันมีไข่ต้มที่สุกพอดี และซาลาเปาร้อนๆ ที่เธอเพิ่งนำออกจากหม้อนึ่งจื่ออิงหันไปมองสามีที่อุ้มบุตรสาวมานั่งที่โต๊ะ หลี่เฉินสวมเสื้อเชิ้ตผ้าฝ้ายสีซีด แขนเสื้อพับขึ้นเล็กน้อย กำลังใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดหน้าให้บุตรสาวเบาๆ เป็นภาพที่ทำให้คนมองอดที่จะยิ้มออกมาด้วยความอบอุ่นใจไม่ได้การใช้ชีวิตตลอดสามวันมานี้ของจื่ออิงดำเนินไปอย่างเรียบง่าย ตื่นเช้ามาเตรียมอาหารให้สามีและบุตรสาว จากนั้นก็ทำความสะอาดบ้านเล็กๆ น้อยๆ และอยู่เป็นเพื่อนเล่นให้กับเหยียนเหยียน พอตกเย็นก็ทำอาหารรอคอยหลี่เฉินกลับมาจากทำงานจื่ออิงไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าชีวิตเรียบง่ายเช่นนี้จะทำให้เธอรู้สึกพึงพอใจและมีความสุขได้มากขนาดนี้"อาหารเสร็จแล้วค่ะ" จื่ออิงเอ่ยบอกด้วยรอยยิ้ม พร้อมกับตักโจ๊กใส่ถ้วยสำหรับทุกคน"