เวลาล่วงเลยผ่านไปอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งหลินจื่ออิงคลอดลูกสาวตัวอวบอ้วนออกมา ลูกสาวตัวน้อยของพวกเขา หลี่ซูเหยียน
เหยียนเหยียนน้อย ลืมตาดูโลกพร้อมกับเสียงร้องไห้แผ่วเบา แต่กลับเติมเต็มหัวใจของหลี่เฉินจนเต็มเปี่ยม
ชายหนุ่มที่เคยเย็นชา รอยยิ้มที่หายไปจากใบหน้าหวนกลับมาอีกครั้ง
หลินจื่ออิงเห็นแล้วก็อดยิ้มตามไม่ได้ แม้ว่าเธอจะเหนื่อยล้าจากการคลอดลูก ร่างกายของหลินจื่ออิงอ่อนแอเพราะมีลูกในตอนที่อายุยังน้อย แต่หัวใจของเธอกลับรู้สึกอบอุ่น และถึงแม้ว่าหลินจื่ออิงจะคลอดลูกแล้ว หลี่เฉินก็ยังดูแลเธออย่างดี
แต่ความสุขก็มักจะอยู่ไม่นาน
วันเวลาผ่านไปจนเหยียนเหยียนน้อยอายุครบหนึ่งเดือนเต็ม หลินจื่ออิงเตรียมจัดพิธีเล็กๆ ฉลองให้ลูกสาวตามธรรมเนียม แต่แล้ว... ข่าวใหญ่ก็ดังไปทั่วหมู่บ้าน
รัฐบาลประกาศให้มีการสอบเกาเข่าอีกครั้ง หลังจากที่ถูกระงับไปหลายปี ตอนนี้เหล่ายุวปัญญาชนที่ถูกส่งมาก็ได้รับโอกาสให้กลับไปสอบ และหากสอบผ่านก็จะได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัย
ข่าวนี้เป็นที่ฮือฮาของเหล่ายุวปัญญาชนและคนในหมู่บ้าน พวกเขาต่างก็พูดคุยถึงข่าวใหญ่นี้ ทำให้บรรยากาศโดยรอบเต็มไปด้วยความคึกคัก ผู้คนต่างถกเถียงกันด้วยความตื่นเต้น
'ยุวปัญญาชนที่ถูกส่งมา จะได้กลับคืนสู่เมืองใหญ่แล้ว'
'ส่วนคนที่เรียนจบชั้นมัธยมปลายก็จะมีโอกาสได้สอบเข้าเรียนมหาวิทยาลัย'
'การได้กลับไปเรียนต่อ มันคือโอกาสที่พวกเรารอมานาน'
'ถ้าสอบผ่าน พวกเราจะได้กลับไปใช้ชีวิตในเมือง ไม่ต้องทนลำบากในชนบทอีกต่อไป'
หลินจื่ออิงได้ฟังคำพูดเหล่านั้นแล้วหัวใจก็คล้ายถูกบีบแน่น คำพูดเหล่านี้สะท้อนอยู่ในหัวของเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่า
หลี่เฉินจะไปไหม
เขาจะทิ้งเธอกับลูกไปหรือเปล่า
คำถามเหล่านั้นวุ่นวายอยู่ในหัว
เพราะตั้งแต่ที่หลี่เฉินมาอยู่ในชนบทแห่งนี้จนกระทั่งแต่งงาน เขาไม่เคยปริปากบ่นถึงความลำบากเลยสักครั้ง แต่หลินจื่ออิงรู้ดีว่าลึกๆ แล้วเขาโหยหาการกลับไปสู่เมืองใหญ่ เธอมักจะเห็นอีกฝ่ายใช้เวลาว่างขลุกอยู่กับหนังสือ คอยอ่านตำราต่างๆ ที่พอจะหาได้ในหมู่บ้าน
เธอรู้ดีว่าหลี่เฉินเป็นคนมีความสามารถ เขาไม่ได้เกิดมาเพื่อใช้ชีวิตอยู่ในชนบทแห่งนี้ตลอดไป การสอบเกาเข่าเป็นเส้นทางเดียวที่จะพาเขากลับไปยังเมืองใหญ่ และตอนนี้เส้นทางนั้นเปิดกว้างอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว หลี่เฉินเฝ้าคอยเวลานี้มานาน เมื่อโอกาสมาถึงเขาจะไม่รีบคว้ามันไว้หรอกหรือ
หากว่าหลี่เฉินต้องการเข้าสอบจริงๆ
แล้วเธอกับลูกล่ะ
เธอจะถูกทอดทิ้งไว้เบื้องหลังหรือเปล่า
ยิ่งคิดใจของจื่ออิงก็ยิ่งร้อนรน หัวใจของเธอสั่นไหวอย่างรุนแรง เธอคิดมาตลอดว่าถ้าหากเธอมีลูกจะสามารถรั้งเขาเอาไว้ได้ แต่ความหวังเหล่านั้นกำลังสั่นคลอนอย่างหนัก
ยิ่งมีข่าวลือออกมามากมายว่าเหล่ายุวปัญญาชนที่แต่งงานมีครอบครัวอยู่ที่ชนบท พวกเขาต่างหย่าสามี หย่าภรรยา บางคนนั้นหนีไป เพื่อต้องการเข้าสอบในครั้งนี้
หลินจื่ออิงเริ่มคิดมากขึ้นทุกวัน ยิ่งได้ยินคำพูดของคนในหมู่บ้าน ก็ยิ่งทำให้เธอหวาดกลัว
'พวกยุวปัญญาชนพวกนั้นไม่มีทางอยู่ที่นี่ตลอดไปหรอก'
'รอให้พวกเขามีโอกาสสิ พวกเขาต้องหนีกลับเมืองแน่ๆ'
'การที่คนคนหนึ่งหลุดพ้นไปจากความยากลำบากแล้ว อนาคตที่สดใสกำลังรอพวกเขาอยู่ข้างหน้า แล้วจะให้เชื่อจริงๆ หรือ ว่าจะมีใครย้อนกลับมาจริงๆ'
คำพูดเหล่านั้นซ้ำเติมจิตใจของหลินจื่ออิงที่อ่อนแอจากการคลอดบุตรอยู่แล้วให้ยิ่งย่ำแย่ลงไปอีก
แล้วเธอล่ะ เธอก็แค่ผู้หญิงที่ใช้แผนสกปรกจับเขาได้เท่านั้น จะเอาอะไรไปรั้งเขาเอาไว้
และในที่สุด สิ่งที่หลินจื่ออิงหวาดกลัวก็เกิดขึ้น หลี่เฉินต้องการที่จะเข้าสอบเกาเข่าจริงๆ เพราะเขาเห็นว่ามันเป็นโอกาสที่จะทำให้ครอบครัวมีอนาคตที่ดีขึ้น เขาไม่อยากให้ลูกต้องใช้ชีวิตอยู่ในชนบท และเขาก็ไม่เคยคิดที่จะทอดทิ้งเธอกับลูก
แต่หลินจื่ออิงไม่คิดจะรับฟังเหตุผลใดๆ ไม่คิดที่จะรับฟังหรือเชื่อมั่นในคำพูดของหลี่เฉินเลยแม้แต่นิดเดียว เธอไม่ยินยอมให้เขาไป
หลินจื่ออิงจึงขู่ฆ่าตัวตายหากหลี่เฉินไปสอบ แต่หลี่เฉินยังคงยืนยันในความต้องการของตัวเองเพราะเขาไม่คิดว่าหลินจื่ออิงจะกล้าทำจริงๆ
จิตใจของหลินจื่ออิงบอบช้ำจากหลายเรื่อง เธอหวาดกลัวการสูญเสีย หวาดกลัวการถูกทอดทิ้ง คำยืนยันที่จะไปของสามีทำให้หัวใจของเธอแหลกสลาย และโดยที่ไม่คาดคิด หลินจื่ออิงกระโดดลงไปในแม่น้ำยามปลายฤดูหนาวที่เย็นเฉียบ แม้จะถูกช่วยชีวิตเอาไว้ได้ แต่หลินจื่ออิงกลับไม่เหมือนเดิม
สายตาของเธอว่างเปล่า เธอไม่ได้ร้องไห้ ไม่ได้ตะโกน ไม่ได้กล่าวโทษหลี่เฉินอีกต่อไป ดวงตาที่เคยเต็มไปด้วยความรู้สึก บัดนี้กลับเลื่อนลอยและว่างเปล่าราวกับไร้จิตวิญญาณ
เธอ... กลายเป็นคนเสียสติไปแล้ว
เมื่อแม่ของลูกกลายเป็นคนเสียสติ เรื่องการเข้าสอบเกาเข่าของหลี่เฉินจึงหยุดชะงัก เพราะเขาต้องดูแลบุตรสาวที่ยังแบเบาะและภรรยาที่ล้มป่วย ด้วยความรู้สึกผิดที่เกิดขึ้นในใจ เขาโทษว่าเป็นความผิดของเขาที่ดึงดันจนทำให้คนเป็นภรรยาต้องกลายเป็นแบบนี้
หลินจื่ออิงที่กลายเป็นคนเสียสติ เธอขังตัวเองอยู่แต่ในห้อง ไม่ออกมาพบเจอผู้คน ไม่พบเจอแม้กระทั่งคนเป็นสามีและบุตรสาว จะยอมออกมาจากห้องก็ตอนที่ไม่มีใครอยู่ในบ้าน แม้ว่าหลี่เฉินจะพยายามเข้าหาเธอมากเพียงใด แต่ทุกครั้งที่ชายหนุ่มเปิดประตูเข้าไปและเข้าใกล้เธอ หญิงสาวก็จะกรีดร้องออกมาและทำร้ายตัวเองจนบาดเจ็บ หลี่เฉินจึงทำได้เพียงยอมถอยออกมาด้วยความเจ็บปวดใจ
เป็นเช่นนั้นอยู่สามปีเต็ม แต่แล้วเช้าวันหนึ่งก็มีเสียงหญิงสาวผู้หนึ่งดังลอดเข้ามาในบ้าน หลินจื่ออิงที่ซุกตัวอยู่ข้างหน้าต่างเงยหน้าขึ้น แอบมองผ่านทางช่องหน้าต่าง ดวงตาที่เคยไร้แววพลันสะท้อนภาพบุคคลสามคน
หลี่เฉิน
เหยียนเหยียน
และหญิงสาวแปลกหน้า
จื่ออิงมองพวกเขา หญิงสาวปริศนาอุ้มบุตรสาวของเธอเอาไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานของสามีเธอ
จักรยานคันนั้นเคลื่อนตัวออกไปอย่างช้าๆ หญิงสาวจ้องมองภาพตรงหน้านิ่ง สายตาทอดยาวไล่หลังพวกเขาไปจนลับสายตา
ริมฝีปากแห้งผากค่อยๆ คลี่ยิ้ม ในขณะที่ใบหน้าเปื้อนหยาดน้ำตา ซึ่งเป็นรอยยิ้มแรกในรอบสามปี และเป็นรอยยิ้มสุดท้ายของชีวิต
คงถึงเวลาที่เธอจะต้องชดใช้และคืนชีวิตให้หลี่เฉินเสียที
นั่นคือความคิดในตอนนั้นของหลินจื่ออิง เย็นวันนั้นร่างของ หลินจื่ออิง จึงถูกพบว่าแขวนคอตายอยู่กลางห้อง
และนั่นคือเรื่องราวของตัวละครนามว่า หลินจื่ออิง ตัวประกอบผู้แสนอาภัพและหญิงสาวผู้เสียสละ
ฤดูใบไม้ผลิวนเวียนกลับมาอีกครั้ง ต้นไผ่ข้างบ้านผลิหน่อใหม่สูงเรียงราย ลู่ลมเบาๆ เหมือนกำลังเต้นรำตามเสียงหัวเราะของเด็กน้อยที่วิ่งเล่นอยู่หน้าบ้านเหยียนเหยียนโตขึ้นมากแล้ว วันนี้เธอสวมชุดนักเรียนชั้นประถมหนึ่ง ใบหน้าที่เคยกลมป้อมตอนเล็กๆ เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสาวน้อยท่าทางฉลาด ช่างคิด ช่างฝันและข้างกายเธอ คือเจ้าตัวเล็กที่เพิ่งหัดเดิน เด็กชายตัวกลมอารมณ์ดีที่กำลังยิ้มแฉ่ง ส่งเสียงอ้อแอ้อยู่ในอ้อมแขนของมารดาหลี่ซื่อหาน เด็กชายวัยขวบกว่า ผู้เป็นที่รักของทุกคน เจ้าซาลาเปาน้อยของบ้าน หรือเสี่ยวหานหาน ของพี่สาวเหยียนเหยียนภาพของทั้งสองพี่น้องที่อยู่เคียงกันท่ามกลางแสงแดดอ่อนของยามบ่าย ราวกับภาพวาดแสนอบอุ่นที่ไม่มีคำบรรยายใดจะเทียบได้จื่ออิงเข้าสู่บทบาทภรรยาและคุณแม่อย่างเต็มตัว เธอกลายเป็นหัวใจหลักของบ้าน เป็นคนที่ดูแลทั้งเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ภายในบ้าน ตอนเช้า เธอจะลุกขึ้นก่อนใคร เตรียมอาหารเช้าให้สามีและลูกๆ พร้อมเสียงปลุกอ่อนโยนที่ทำให้บ้านทั้งหลังเริ่มต้นวันใหม่อย่างสดใสช่วงกลางวัน เธอมักใช้เวลาอยู่กับเจ้าตัวเล็ก เสี่ยวหานหาน ที่กำลังอยู่ในวัยซน ชอบยิ้ม ชอบหัวเราะ และชอบเกาะเธอไม่ห่
วันนี้เป็นวันส่งท้ายปีตามปฏิทินจันทรคติ หอร้อยรส ปิดให้บริการเป็นเวลาสามวัน เพื่อให้ทุกคนได้เฉลิมฉลองและใช้เวลาร่วมกับครอบครัว จื่ออิงยืนอยู่หน้าบ้าน มือประคองถ้วยน้ำเต้าหู้อุ่นๆ เอาไว้ ใบหน้าของเธอรับแสงแดดยามเย็นที่นุ่มนวล ลมหนาวต้นปีพัดแผ่วเบาผ่านปลายผม พาเอากลิ่นหอมของขนมปีใหม่ลอยโชยมาแตะจมูก ปีนี้ นับว่าเป็นปีใหม่ปีแรกที่เธอได้ฉลองกับครอบครัวของตัวเองในชีวิตนี้บ้านเรือนทั่วหมู่บ้านต่างตกแต่งด้วยสีแดงสดใส โคมแดงถูกแขวนเรียงรายไหวแกว่งตามแรงลม ผ้าสีแดงผืนยาวห้อยประดับอยู่เหนือประตู ข้างฝาผนังมีคำอวยพรปีใหม่เขียนด้วยพู่กันจีนสีดำอย่างประณีตบนกระดาษแดงสดคำว่า "ซินเหนียนไคว่เล่อ" และ "เจ้าไฉจิ้นเป้า" แขวนไว้เป็นสิริมงคล สื่อถึงความหวังและความมั่งมีในปีที่กำลังเริ่มต้นกลิ่นธูปหอมจากโต๊ะบูชาประจำบ้านและกลิ่นขนมหวานแบบดั้งเดิมลอยคลุ้งในอากาศ เสียงประทัดดังเปรี้ยงปร้างเป็นระยะ สร้างความคึกคักไปทั่วทั้งหมู่บ้าน แทรกด้วยเสียงหัวเราะสดใสของเด็กๆ ที่วิ่งเล่นอยู่ตามท้องถนน พวกเขาวิ่งไล่กันอย่างสนุกสนาน มือเล็กๆ ถือซองแดงคนละใบ ดวงตาเป็นประกายด้วยความสุขและตื่นเต้นบรรยากาศในวันนี้อบอวลไปด
เช้าวันถัดมา ท้องฟ้าสดใสไร้เมฆหมอก ลมยามเช้าเย็นสบายพัดเอื่อยเข้ามาในลานหน้าร้าน กลิ่นหอมจางๆ ของดอกไม้จากกระถางริมทางลอยปะปนมากับสายลม เสียงใบไม้เสียดสีกันแผ่วเบา ช่วยกลบความเงียบที่ก่อตัวขึ้นเมื่อมีหญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่เจียงซินหยาแต่งกายงดงามอย่างที่เคยเป็นยืนอยู่ใต้เงาไม้ ใบหน้าแต่งแต้มอย่างประณีต ท่าทางน่ารักสดใสสมกับภาพลักษณ์ของเธอเสมอมา ใบหน้าดูบริสุทธิ์ผ่องใส แต่แววตากลับซ่อนความหวังเอาไว้อย่างชัดเจน เธอยืนรออยู่เพียงไม่กี่อึดใจ หลี่เฉินก็เดินออกมาจากด้านในร้านชายหนุ่มหยุดยืนตรงหน้าเธอ สีหน้าสงบ ดวงตาแน่วแน่"ซินหยา"หลี่เฉินเอ่ยเรียกขึ้นก่อน น้ำเสียงราบเรียบแต่ชัดเจน"ฉันมาเอาคำตอบจากพี่ค่ะ"เจียงซินหยาเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้ม ดวงตาจับจ้องอยู่บนใบหน้าหล่อเหลาไม่วางตา"พี่จะเข้าสอบเกาเข่าใช่ไหมคะ ตอนนี้ยังทัน ถ้าพี่รีบตัดสินใจ"เสียงของเธอนุ่มนวล ทุกถ้อยคำเต็มไปด้วยความคาดหวังที่แสดงออกมาอย่างชัดเจนหลี่เฉินเงียบไปเพียงครู่หนึ่ง สายตาเขานิ่งสงบก่อนจะส่ายหน้าช้าๆ"ฉันตัดสินใจแล้ว"เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่มั่นคง"ฉันจะไม่เข้าสอบ"เจียงซินหยาเลิกคิ้วเล็กน้อย ความประหลาดใจแฝงอย
นับจากวันนั้น จื่ออิงก็ไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องสอบเกาเข่าอีกเลย เธอเลือกที่จะเงียบ ไม่ใช่เพราะไม่สนใจ แต่เพราะอยากให้หลี่เฉินได้คิดและตัดสินใจด้วยตัวเอง โดยไม่มีแรงกดดันจากเธอแม้ในใจจะมีความห่วงใยอยู่ลึกๆ แต่เธอก็ซ่อนมันไว้ เธอเชื่อว่า การให้เขาได้ใช้หัวใจตัวเองเลือกทางเดิน คือสิ่งที่ดีที่สุดจื่ออิงยังคงใช้ชีวิตเหมือนเดิม ตื่นแต่เช้า เตรียมอาหารให้ลูกและสามี ดูแลร้าน ดูแลบ้าน ทำหน้าที่ของภรรยา แม่ และเจ้าของกิจการเล็กๆ อย่างดีที่สุดแต่หากมองให้ลึกลงไปในแววตาของเธอ จะเห็นความอ่อนโยนแบบใหม่ ความอ่อนโยนที่มาจากการยอมรับ และพร้อมจะเคียงข้างสามี ไม่ว่าเขาจะเลือกทางไหนก็ตามยามเย็นวันหนึ่ง หลังจากวันอันแสนวุ่นวายและเหนื่อยล้าจบลง แสงสุดท้ายของวันทอดยาวผ่านช่องหน้าต่าง เงาของต้นไผ่ข้างหลังบ้านไหวไกวตามลมหลี่เฉินยืนอยู่หลังบ้านเพียงลำพัง มองภาพท้องฟ้าที่ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีทองอมส้ม ดวงตาของเขานิ่งสงบ แต่ภายในกลับเต็มไปด้วยเสียงของความคิดมากมายที่กำลังประดังประเดเข้ามาการสอบเกาเข่ากำลังใกล้เข้ามาทุกทีเรื่องนี้วนเวียนอยู่ในใจเขาตลอดหลายวันมานี้ เขาเคยฝันอยากจะเป็นอาจารย์ อยากเรียนต่อ อยากรู้ว่า
แสงแดดยามเช้าค่อยๆ สาดเข้ามาทางหน้าต่าง ลูบไล้ผ่านผ้าม่านบางเบา บนเตียง ผ้าปูเตียงยับย่นจากรอยสัมผัสแห่งความวาบหวามเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา หลี่เฉินลืมตาขึ้นช้าๆ แขนยังโอบภรรยาคนงามเอาไว้แนบอก ร่างเล็กของจื่ออิงซุกตัวอย่างสงบอยู่ในอ้อมกอดของเขา ชายหนุ่มมองดูใบหน้าของภรรยาที่ยังซุกอยู่ตรงอกด้วยแววตาอ่อนโยน พลางยิ้มจางๆ ออกมาอย่างมีความสุขนิ้วมือของเขาเกลี่ยเส้นผมที่ปรกหน้าผากของภรรยา ก่อนจะก้มลงหอมขมับเธออย่างแผ่วเบา ราวกับไม่อยากให้เธอตื่นจากความสงบสุขนี้จื่ออิงขยับตัวเล็กน้อย ก่อนจะลืมตาขึ้นอย่างเชื่องช้า ดวงตายังคงฉ่ำปรือจากความง่วง ทว่าก็เปล่งประกายอ่อนหวานเมื่อมองเห็นใบหน้าของเขา"ตื่นแล้วเหรอครับ" หลี่เฉินกระซิบถาม น้ำเสียงทุ้มนุ่มเปี่ยมด้วยความอบอุ่นจื่ออิงยิ้มน้อยๆ พลางพยักหน้าเบาๆ เธอช้อนสายตาขึ้นมองเขา ในแววตาของหลี่เฉินเต็มไปด้วยความอ่อนโยน ลึกซึ้งจนหัวใจเธอรู้สึกเหมือนกำลังถูกโอบกอดอย่างอ่อนโยนที่สุด"สามีคะ"เธอเรียกเขาเสียงเบาเสียงของเธอเบาและนุ่ม ราวกับกลัวว่าคำพูดจะทำลายความสงบที่รายล้อมอยู่"หืม?" หลี่เฉินขานรับพลางโอบกอดเธอแน่นขึ้นเล็กน้อย"ขอบคุณนะคะ"เธอพูดแค่น
ค่ำคืนนั้นบรรยากาศในบ้านหลังเล็กเงียบกว่าทุกวัน ไม่มีเสียงพูดคุย ไม่มีบทสนทนาเหมือนเคย ต่างคนต่างจมอยู่ในห้วงของความคิดของตัวเอง เต็มไปด้วยความคิดมากมายที่พูดออกมาไม่ได้มีเพียงเสียงหัวเราะของเหยียนเหยียน เมื่อได้ฟังนิทานก่อนนอนดังแว่วมาเป็นระยะจากในห้องนอน เสียงใสๆ นั้นช่วยแต่งแต้มบรรยากาศให้ดูอบอุ่นขึ้นนิดหน่อย ก่อนที่ทุกอย่างจะค่อยๆ เงียบลงเมื่อเด็กน้อยเข้าสู่นิทราเมื่อส่งบุตรสาวเข้านอนเรียบร้อยแล้ว จื่ออิงก็ระบายลมหายใจออกมาแผ่วเบา แต่ในใจของเธอกลับเต็มไปด้วยความหนักอึ้งที่ไม่อาจระบายออก ได้แต่เดินมานั่งตรงโต๊ะทำงานเล็กๆ หยิบบัญชีของร้านที่ทำค้างเอาไว้ขึ้นมาดูอีกครั้ง ตัวเลขในตารางเดิมๆ ยังอยู่ตรงหน้า แต่ก็ยังคงเป็นเช่นเดิม ไม่ว่าเธอจะพยายามแค่ไหน เธอก็ไม่อาจจดจ่ออยู่กับมันได้ใจของเธอล่องลอยไปไกล ไปอยู่กับความกังวลที่กำลังถาโถม กับเรื่องที่ไม่มีใครช่วยตอบได้ นอกจากตัวเธอเองหลี่เฉินที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จ เดินออกจากห้องน้ำในชุดอยู่บ้านแบบสบายๆ กลิ่นสบู่อ่อนๆ ยังติดอยู่บนผิว เขาใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กค่อยๆ ซับเส้นผมที่ยังเปียกน้ำ แต่พอเห็นภรรยานั่งอยู่ตรงโต๊ะทำงาน เขาก็หยุดเท้าเอาไว้ยืนมอ