แชร์

มิใช่เมียเจ้าให้ท่ารึ

ผู้เขียน: l3oonm@
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-05-16 07:51:44

แต่หลินเยว่นางก็ยังร้องออกมา “อู๊ยยย” เมื่อตุ่มน้ำแตกออกนางก็แสบมือไม่น้อย

“ใกล้เสร็จแล้ว” เขาเป่าลมใส่มือให้นางอย่างใส่ใจ

“อย่าได้พูดเรื่องหย่าขึ้นมาอีกเข้าใจหรือไม่ แล้วก็นำของออกมาวางไว้ที่เดิมด้วย” เขาจับมือของนางไว้ พร้อมทั้งมองนางอย่างคาดคั้น

“เลี่ยงรุ่ย ข้าอยู่ที่นี่ได้เพียงแค่สองวัน ข้าก็เริ่มจะทนไม่ไหวแล้ว หากเป็นเช่นนี้ต่อไปข้าคงได้ตบตีกับพวกนางแน่ แล้วเจ้าจะทำเช่นไร” นางเอ่ยถามเขาออกมา เพราะรู้ดีว่าเรื่องความกตัญญูของคนในยุคนี้มาเป็นอันดับหนึ่ง

หากหลานสะใภ้ตบดีกับท่านย่าของสามี ชื่อเสียงของนางและของเขาก็คงจะถูกครหาไม่น้อย ไม่ใช่ว่าจางเลี่ยงรุ่ยจะไม่เข้าใจนาง เพียงแต่ว่าตอนนี้เขายังไม่อาจหาทางออกเรื่องการแยกเรือนออกไปได้

“เจ้าใจเย็นอีกนิดได้หรือไม่ ข้ากำลังหาทางจัดการเรื่องนี้อยู่” เขามองนางอย่างขอความเห็นใจ

เขาก็ไม่อยากจะเสียนางไปเช่นกัน หลินเยว่นางเป็นคนเดียวที่เดือดร้อนแทนเขา เมื่อเขาถูกคนในเรือนรังแก

ตั้งแต่วันแรกที่พบนาง นางก็เอ่ยถามเขาเรื่องกินข้าวแล้วหรือยัง เหนื่อยมากหรือไม่ นางคงไม่รู้ว่าคำพูดเช่นนี้ไม่เคยมีผู้ใดพูดกับเขามาก่อน ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นหัวใจอยู่ไม่น้อย

“หากท่านหาทางออกไม่ได้ ข้าจะหาทางออกเอง”

“ได้ หากข้ามิอาจทำได้ต้องรบกวนเจ้าเล่า” เขามองนางอยากหยอกล้อ

หลินเยว่ เมื่อถูกสายตาหยอกล้อของเขามองมาทางนาง นางก็รู้สึกเขินอายอยู่ไม่น้อย ชีวิตก่อนนางมัวแต่ทำงาน จะไปสนใจเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ตอนไหนได้เล่า

“เหอะ ท่านไม่ออกไปแล้วรึ” นางเปลี่ยนเรื่องทันที

“ย่อมต้องออกไป ข้าจะตรวจบาดแผลของเจ้าเสียก่อน” ตอนที่เดินกลับเรือนเขาเห็นว่านางเดินช้าลง ทั้งยังเดินไม่ค่อยถนัด จึงคิดว่านางต้องเจ็บเท้าอย่างแน่นอน

จางเลี่ยงรุ่ย ยกขาของหลินเยว่ขึ้นมาไว้บนตักของเขา เพราะเขาไม่ได้บอกกล่าวนางเสียก่อน จนเกือบทำให้นางกรีดร้องออกมา

“ท่าน ทำอันใด” หลินเยว่ปิดปากตัวเองไว้ได้ทัน

“ข้าเห็นเจ้าเดินช้า ให้ข้าดูเสียหน่อย”

เมื่อถอดรองเท้าที่นางสวมไว้ออก จางเลี่ยงรุ่ยก็ตกใจไม่น้อย เมื่อฝ่าเท้าขาวของนางก็มีตุ่มน้ำพองขึ้นมา ทั้งยังบวมแดงไม่ต่างกับที่มือ

แต่ดูเหมือนจะมากกว่าเสียหน่อย เพราะนางต้องเดินกลับเรือนมาด้วย จึงทำให้ตุ่มน้ำแตกไปแล้วหลายแห่ง

“เจ็บมากหรือไม่” เขาลูบเท้าเล็กของนางอย่างไม่รังเกียจ

“ท่านทำอันใด มันสกปรก” นางจะดึงเท้าหนีแต่ก็ถูกยึดไว้เช่นเดิม

“อาเยว่ อยู่นิ่งๆ ให้ข้าดูเสียก่อน” เขาใช้เข็มสะกิดตุ่มน้ำออก

ครั้งนี้หลินเยว่นางทั้งเจ็บทั้งคัน จนคิดจะดึงเท้าหนีอยู่หลายหน แต่มือแกร่งของเขาก็ไม่ปล่อยให้เท้าของนางหลุดไปง่ายๆ

“ประเดี๋ยวข้าเข้าไปทำแผลในมิติเอง” นางดึงสาบเสื้อของเขาเอาไว้ พร้อมทั้งเอ่ยขอร้อง น้ำหนักมือบุรุษถึงอย่างไรก็แรงมากกว่าน้ำหนักมือของนาง

“เช่นนั้นเจ้ารอข้าสักครู่ ข้าจะออกไปดุด้านนอก และจะกลับเข้าไปในมิติพร้อมเจ้า”

“อืม” นางพยักหน้ารับ เพราะถึงอย่างไรก็ต้องเข้าไปกินอาหารด้านในมิติด้วยกันอยู่แล้ว

พอเลี่ยงรุ่ยออกไปด้านนอก หลินเยว่นางจึงได้นอนพัก เพราะวันนี้เพียงแค่ซักผ้าก็สูบเรี่ยวแรงทั้งหมดของนางไปแล้ว

หลินเยว่ ไม่รู้ว่านางเผลอหลับไปนานเพียงใด นางมาสะดุ้งตื่นขึ้นเมื่อได้ยินเสียงดังโครมครามอยู่ที่หน้าห้องของนาง

นางลุกขึ้นพิงหัวเตียง แต่ยังมิได้ลงจากเตียง ประตูห้องของนางก็ถูกเปิดออกอย่างแรง

นางรีบหันไปมองด้วยความตกใจ ก็เห็นเป็นจางเลี่ยงรุ่ยเดินเข้ามาหานางด้วยใบหน้าที่เคร่งเตรียม เนื้อตัวของเขาเปรอะเปื้อนไม่น้อย

“เจ้าเป็นอันใดหรือไม่” เขาสำรวจเนื้อตัวของหลินเยว่ เห็นว่านางไม่เป็นอันใดก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก

หลินเยว่ยังไม่เข้ากับสิ่งที่เขาทำ ทั้งยังมีจางเฉิงนอนหมอบอยู่ที่พื้นหน้าห้องของนางด้วย

“เกิดอันใดขึ้น” นางเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ

จางเลี่ยงรุ่ยยังไม่ทันที่จะบอกหลินเยว่เลยว่าเกิดอันใดขึ้น นางฮั่วซื่อกับนางหงซื่อที่ได้ยินเสียงดังที่ห้องของเลี่ยงรุ่ยจึงได้พากันเดินมาดู

“สวรรค์ อาเฉิง เจ้าเป็นอันใด” นางหงซื่อกรีดร้องออกมา ก่อนจะวิ่งเข้ามาดูบุตรชายของนาง

นางฮั่วซื่อแทบจะเป็นลม เมื่อนางหงซื่อพลิกร่างของบุตรชายนางขึ้นมา เลือดไหลออกจากจมูกและปากของจางเฉิงอย่างน่าหวาดกลัว แม้แต่หลินเยว่ที่มองจากในห้องนางยังอดที่จะตกใจไม่ได้

“ไอ้ตัวซวย เจ้าทำอันใดกับอาเฉิง เหตุใดเขาถึงเป็นเช่นนี้” นางหงซื่อกรีดร้องออกมาสุดเสียง

“อาสะใภ้ ท่านถามบุตรชายของท่านดีหรือไม่” จางเลี่ยงมองจ้องนางอย่างดุดัน

นางหงซื่อเคยเห็นแววตาเช่นนี้ของเขาเสียที่ไหน นางอดจะหวาดกลัวไม่ได้ ที่จางเฉิงเป็นเช่นนี้ คงเป็นฝีมือของจางเลี่ยงรุ่ยอย่างแน่นอน

“นางฮั่วซื่อที่ได้สติกลับคืนมาแล้ว นางก็เดินหาไม้ เพื่อจะทุบตีจางเลี่ยงรุ่ยทันที

“ท่านย่า หากท่านตีข้า ข้าจะนำเรื่องที่อาเฉิงทำไปแจ้งสำนักศึกษา” ครั้งนี้ เขาไม่ยอมให้นางฮั่วซื่อทุบตีเช่นทุกครั้งที่ผ่านมาอีกแล้ว

มือที่ยกไม้ขึ้นสูงของนางฮั่วซื่อหยุดชะงักทันที นางรู้ว่าจางเฉิงคงทำบางสิ่งกับจางเลี่ยงรุ่ยอย่างแน่นอน เพียงแต่ไม่รู้ว่าทำอันใด ถึงทำให้คนที่ยอมถูกรังแกเช่นเลี่ยงรุ่ย ครั้งนี้เขากลับไปยอมเช่นเดิม

“เกิดอันใดขึ้นกันแน่” หลินเยว่คว้ามือของเลี่ยงรุ่ยไปจับ

นางถึงได้รู้ว่าตัวของเขาสั่นอยู่ไม่น้อย ไม่รู้เป็นเพราะความโกรธหรือกลัวกันแน่

“เจ้าจะพูดได้หรือยังว่าเกิดเรื่องอันใด” ครั้งนี้เป็นนางฮั่วซื่อที่ตะคอกถามออกมา

“หลานชายของท่านจะแอบเข้าไปในห้องของข้า ด้านในห้องยังมีอาเยว่นอนพักอยู่ เพียงเท่านี้พวกท่านคงรู้ว่าเขาคิดจะทำอันใด” แววตาของเลี่ยงรุ่ยแข็งกร้าวอย่างน่ากลัว จนนางฮั่วซื่อยังต้องถอยหลังออกห่าง

“ไม่มีทาง อาเฉิงไม่มีทางคิดทำเรื่องเช่นนี้” นางหงซื่อกรีดร้องออกมา

บุตรชายของนางไม่มีทางใฝ่ต่ำเข้าหาพี่สะใภ้อย่างแน่นอน นางไม่มีทางเชื่อ ถึงแม้หลินเยว่นางจะมีใบหน้าที่งดงามก็ตาม

แต่เมื่อมองไปทางหลินเยว่ที่เพิ่งลุกขึ้นจากที่นอน สาบเสื้อของนางยังไม่ได้ถูกจัดให้เรียบร้อยจึงพอจะดูรู้ว่าหน้าอกของนางใหญ่โตมากเพียงใด ดวงตาของนางหงซื่อก็จ้องมองไปทางหลินเยว่อย่างมุ่งร้าย

“มิใช่ว่าเมียของเจ้าให้ท่าอาเฉิงหรอกรึ”

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • พ่อบัณฑิตหน้าขาว ข้าจะเลี้ยงดูท่านเอง   เจ้าขาดน้ำตาลรึ

    สามีของนางมิได้สนใจบุตรสาวคนโตมากนัก จึงเป็นเรื่องง่ายที่นางจะพูดให้เขาเห็นด้วย แต่เขาก็ยังคงเป็นห่วงหลินเยว่ที่ต้องเข้าตระกูลจางที่เป็นเพียงชาวบ้านเท่านั้นจึงได้มอบสินเดิมให้นางติดตัวไปถึงห้าร้อยตำลึงเงิน แต่เป็นนางที่เก็บเงินไว้กับตัว โดยแบ่งใส่สินเดิมให้หลินเยว่ไปเพียงยี่สิบตำลึงเงินเท่านั้น หากสามีนางรู้เรื่องนี้ขึ้นมาคงจะตำหนินางไม่น้อย“แม่ต้องส่งคนไปสืบเรื่องที่หมู่บ้านจิ่วหานเสียหน่อยแล้ว” ความจริงนางเจินซื่อให้คนไปแจ้งนางฮั่วซื่อให้ทรมานหลินเยว่จนไม่อาจเข้ามาในเมืองได้ก็เท่านั้นหากเป็นเช่นนี้ เรื่องทั้งหมดที่นางทำไว้ สามีของนางก็ไม่มีทางรู้อย่างแน่นอน แม้แต่ตู้ฮุ่ยเหอเขาก็รู้จากซินเซียนว่า หลินเยว่นางมีเงินติดตัวไปห้าร้อยตำลึง ในตอนแรกเขาก็จะนำเงินไปมอบให้นางเพิ่มอีก แต่ซินเซียนนางเอ่ยท้วงไว้“หากพี่สาวมีเงินมาไป ข้าคิดว่าไม่ดีเจ้าค่ะ มิเช่นนั้นจะเกิดภัยกับนางได้ ที่ท่านพ่อมอบให้ไปก็เพียงพอให้นางใช้รักษาตัว ทั้งยังมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นแล้วเจ้าค่ะ” ภรรยารักพูดเช่นนี้เขาจะไม่ฟังได้อย่างไรนางเจินซื่อรีบพาซินเซียนไปนั่งรอที่ห้องโถง เผื่อว่าหลินเยว่นางกลับมาเยี่ยมบ้านเดิม นาง

  • พ่อบัณฑิตหน้าขาว ข้าจะเลี้ยงดูท่านเอง   เป็นนางใช่หรือไม่

    หากนางจะต้องไปอีกสองร้านก็กลัวว่าจะกลับไปเอาของที่ฝากไว้ และไปที่เกวียนที่จอดรออยู่หน้าประตูเมืองไม่ทันร้านเครื่องหอมที่เลี่ยงรุ่ยพามา เป็นร้านใหญ่ไม่น้อย แต่ของด้านในก็มีเพียงแค่ถุงหอมกับกำยานที่ใช้จุดเท่านั้น กลิ่นที่มีก็เป็นกลิ่นหอมอ่อนๆนางหยิบถุงหอมขึ้นมาดูอย่างสนใจ กลิ่นมีให้เลือกอยู่ไม่น้อย แต่นางก็ยังไม่เข้าใจว่าเพียงแค่ห้อยไว้ที่เอว จะส่งกลิ่นหอมออกมาได้มากเพียงใด หลินเยว่จึงได้ซื้อกลับมาหนึ่งถุง ตอนที่จ่ายเงินมือของนางก็สั่นไม่น้อย เพราะต้องเสียเงินไปถึงสองตำลึงเงินราคาที่นางเสียไปเป็นราคาที่ถูกที่สุดในร้านแล้ว นางไม่อยากจะเชื่อ เพียงแค่ถุงผ้าปักลวดลายสวยๆ ใส่กลีบดอกไม้แห้งเพียงเล็กน้อย จะมีราคานับสิบตำลึงเงิน ของนางที่ซื้อกลับมา ถุงผ้ามิได้มีลวดลายอันใด ราคาจึงเพียงแค่สองตำลึงเงินเท่านั้นหลินเยว่ มิได้เอาถุงหอมห้อยไว้ที่เอว เพราะนางลองแล้ว กลิ่นที่ออกมาก็ไม่เห็นจะชัดเจนเท่าไหร่ นางจึงลองใส่ไว้ในอกเสื้อของนางแทน“เจ้าทำอันใด” เลี่ยงรุ่ยตกใจไม่น้อย เมื่อเห็นหลินเยว่นางล่วงเข้าไปในสาบเสื้อระหว่างที่เดินอยู่บนถนน“ข้าว่าห้อยไว้ที่เอว กลิ่นมันไม่หอมมากนัก จึงลองใส่ไว้ที่อกเสื

  • พ่อบัณฑิตหน้าขาว ข้าจะเลี้ยงดูท่านเอง   เข้าเมืองซื้อของ

    นางคิดว่าเขาเคยชินกับที่นอนแข็งๆ ที่มีเพียงเตียงไม้ไผ่ปูทับด้วยผ้าบางๆ“ไม่ใช่” เลี่ยงรุ่ยได้ทีก็ขยับไปจนชิดกับนาง“ที่นอนกว้างขวาง ท่านจะมานอนเบียดข้าเพื่ออันใด” นางลุกขึ้นไปมองที่นอนฝั่งของเลี่ยงรุ่ยที่กว้างจนคนอีกคนมานอนได้อย่างสบาย“ข้าอยากนอนใกล้เจ้า” หลินเยว่เบิกตากว้างมองเลี่ยงรุ่ยคืนนี้ที่ทั้งคู่นอนด้วยกัน เป็นเพียงคืนที่สามเท่านั้น เขาก็ทำหน้าหนาอยากนอนใกล้นางเสียแล้ว“เอ่อ นอนนิ่งๆ เล่า ห้ามขยับอีก ข้าจะนอนแล้ว” นางพลิกตัวหันหนีไปอีกข้าง เพราะไม่อยากให้เขาเห็นว่านางกำลังหน้าแดงเลี่ยงรุ่ยมิได้ขยับตัวอีก จนเมื่อหลินเยว่นางหลับสนิท เขาก็ลืมตาขึ้น พร้อมทั้งดึงนางเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดแทนรุ่งเช้าเมื่อหลินเยว่นางตื่นขึ้น นางจึงได้รู้ว่าตัวนางอยู่ในอ้อมกอดของเลี่ยงรุ่ย นางจึงนอนนิ่งไม่ยอมขยับ เลี่ยงรุ่ยที่รู้ว่านางตื่นแล้วแต่ไม่ยอมที่จะขยับตัวก็รู้สึกขบขันไม่น้อย เขาจึงกระซิบข้างหูของนาง“ตื่นแล้วเหตุใดถึงไม่ลุกเล่า” เสียงทุ้มต่ำยามตื่นนอนของเขา ทำให้นางอดจะขนลุกไม่ได้หลินเยว่รีบพลิกตัวหนีไปอีกด้านทันที นางยกผ้าห่มขึ้นมาคลุมจนมิด เพราะตัวนางคิดว่าเป็นตัวเองที่เผลอเข้าไปกอดเขาตอนที

  • พ่อบัณฑิตหน้าขาว ข้าจะเลี้ยงดูท่านเอง   เรือนหลังใหม่

    ทั้งสองเดินไปที่เรือนหลังใหม่ทันที โดยไม่ได้หยุดฟังหรือสนใจคำพูดของชาวบ้านที่ต่อว่านางฮั่วซื่อ หรือสะใจที่เห็นคนอื่นเป็นทุกข์ทั้งคู่มีเพียงห่อผ้าและหีบสินเดิมของหลินเยว่เท่านั้น เมื่อมาถึงเรือนก็ไม่ต้องเก็บสิ่งใดมากนัก เพียงนำไปวางไว้ในห้องเท่านั้นแม้แต่เครื่องครัวหรือเครื่องเรือนก็ไม่แบ่งให้ทั้งสองไปใช้ในเรือนของนางกุ้ยเลยสักชิ้นข้าวของที่เรือนของมารดาเลี่ยงรุ่ย ต่างถูกนางฮั่วซื่อและนางหงซื่อไปขนมาไว้ที่เรือนตระกูลจางหมดแล้ว ตอนนี้จึงมีเพียงแค่เรือนเปล่าๆแต่ทั้งสองไม่รู้เลยว่า เลี่ยงรุ่ยสร้างเครื่องเรือนด้วยตนเองนำไปเก็บไว้ที่เรือนบ้างแล้ว แม้เรือนจะไร้คนอยู่อาศัย แต่ตัวเขาก็ไปเก็บกวาดอยู่เสมอ เรือนจึงไม่ได้ทรุดโทรมมากนัก“เจ้านั่งพักก่อนดีหรือไม่ ข้าจะไปทำความสะอาดเรือนให้เอง” เลี่ยงรุ่ยลูบใบหน้าของนางอย่างปวดใจ ที่ต้องพานางมาลำบากเช่นนี้“ข้ามิได้เหนื่อยอันใด ประเดี๋ยวทำความสะอาดเสร็จค่อยพักก็ได้”หลินเยว่นางนำของทำความสะอาดออกมาจากมิติ เมื่ออยู่เพียงลำพังเช่นนี้ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะมีผู้อื่นมาเห็นสิ่งของที่นางนำออกมาเมื่อมีไม้กวาดกับไม้ถูพื้นที่นางนำออกมา ทุกอย่างก็ดูเหมือนจะง่า

  • พ่อบัณฑิตหน้าขาว ข้าจะเลี้ยงดูท่านเอง   ตัดขาดตระกูลจาง

    เมื่อเขามีครอบครัวเป็นของตนเองจึงไม่อยากให้ภรรยาถูกรังแกไปด้วย วันนี้เขาก็รู้จากลูกสะใภ้ว่าหลินเยว่นางต้องซักผ้าให้คนทั้งเรือน ทั้งยังเปิดให้ดูร่องรอยที่นางถูกนางฮั่วซื่อทุบตีอีกด้วย“เอาเถิด เช่นนั้นก็นำที่นาและเงินในส่วนของอาซางมาให้อารุ่ยเสีย” เขาหันไปบอกจางซุนและนางฮั่วซื่อ“เหอะ ข้าไม่ให้ ตั้งแต่มันเกิดมาครอบครัวข้าต้องสูญเสียไปไม่น้อย ตอนจะไปยังคิดจะมาเอาของ ของข้าไปอีกรึ” นางฮั่วซื่อเท้าสะเอวต่อว่าเลี่ยงรุ่ยผู้นำหมู่บ้านก็ดูเหมือนจะไม่พอใจอย่างยิ่งที่นางฮั่วซื่อดื้อรั้นเช่นนี้ เขากำลังจะอ้าปากต่อว่า แต่เสียงของเลี่ยงรุ่ยก็ดังขึ้นมาเสียก่อน“ท่านลุงจิ่ว ส่วนของบิดาข้า ข้าไม่ต้องการขอรับ แต่ข้าขอส่วนที่เป็นสินเดิมของท่านแม่คืนก็พอขอรับ” เขาเอ่ยอย่างนอบน้อมกับผู้นำหมู่บ้าน“ไปนำมาคืนอารุ่ยเสีย” ผู้นำหมู่บ้านก็เห็นด้วยกับเลี่ยงรุ่ย“ส่วนนี้ก็ไม่ได้” นางฮั่วซื่อหันหน้าไปทางอื่น“เพ้ย ของอาซางก็ไม่ให้ ที่นากับบ้านของอากุ้ยเจ้าก็ไม่ให้อีกรึ เช่นนั้นก็ไปที่ว่าการ ให้ท่านนายอำเภอตัดสินเสีย”จางซุนสะดุ้งเล็กน้อย เมื่อได้ยินว่าจะไปที่ว่าการ เขาลากตัวมารดาออกไปคุยห่างจากผู้อื่นเล็กน้อย“ท

  • พ่อบัณฑิตหน้าขาว ข้าจะเลี้ยงดูท่านเอง   ข้าอยากให้ท่านได้ทำตามใจ

    หลินเยว่เบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อหู นางนอนอยู่ในห้องเฉยๆ ทำไมถึงได้ดึงนางเข้าไปเกี่ยวข้องได้เล่า“ท่านอาสะใภ้ ท่านพูดให้ดีเสียหน่อย ข้าจะให้ท่าบุตรชายของท่านเพื่ออันใด” หลินเยว่เอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ“หึ ดูเสื้อผ้าของเจ้าสิ เช่นนี้ไม่ใช่ให้ท่าแล้วจะเรียกว่าอันใด”หลินเยว่นางจึงได้ก้มลงมองเสื้อผ้าของนาง นางอดที่จะกลอกตาอย่างเบื่อหน่ายไม่ได้ เพียงแค่เปิดนิดหน่อย นางไม่ได้แก้ผ้ากวักมือเรียกให้เขาเข้ามาในห้องของนางเสียเมื่อไหร่“เหอะ หากข้าแก้ผ้าเรียกเขาเข้ามาค่อยมากล่าวหาข้า ข้านอนอยู่ในห้องจะให้เสื้อผ้าเรียบร้อยเช่นเดิมก็คงจะแปลก” นางเถียงอย่างไม่ยินยอม“ท่านย่าข้าต้องการแยกเรือน” จางเลี่ยงรุ่ยเอ่ยขึ้นมา ก่อนที่ทั้งหมดจะเถียงกันไปมากกว่านี้“เจ้าว่าอันใดนะ” นางฮั่วซื่อเอ่ยถามอย่างไม่อยากเชื่อ“ข้าต้องการแยกเรือน ในเมื่ออาเฉิงคิดจะเข้าหาอาเยว่ ครั้งต่อไปเขาก็อาจจะทำอีกได้” ครั้งนี้เลี่ยงรุ่ยไม่ยอมอ่อนข้อให้อีกแล้ว“เพ้ย เจ้ากล้ารึ”“ต่อให้ข้าแยกออกไปต้องอดตาย ข้าก็ขอไปตายดาบหน้า แต่หากท่านย่าไม่ยอมให้ข้าแยกเรือน ข้าจะนำเรื่องที่อาเฉิงทำในวันนี้ไปแจ้งท่านอาจารย์ที่สำนักศึกษา”“เจ้า เจ้า

  • พ่อบัณฑิตหน้าขาว ข้าจะเลี้ยงดูท่านเอง   มิใช่เมียเจ้าให้ท่ารึ

    แต่หลินเยว่นางก็ยังร้องออกมา “อู๊ยยย” เมื่อตุ่มน้ำแตกออกนางก็แสบมือไม่น้อย“ใกล้เสร็จแล้ว” เขาเป่าลมใส่มือให้นางอย่างใส่ใจ“อย่าได้พูดเรื่องหย่าขึ้นมาอีกเข้าใจหรือไม่ แล้วก็นำของออกมาวางไว้ที่เดิมด้วย” เขาจับมือของนางไว้ พร้อมทั้งมองนางอย่างคาดคั้น“เลี่ยงรุ่ย ข้าอยู่ที่นี่ได้เพียงแค่สองวัน ข้าก็เริ่มจะทนไม่ไหวแล้ว หากเป็นเช่นนี้ต่อไปข้าคงได้ตบตีกับพวกนางแน่ แล้วเจ้าจะทำเช่นไร” นางเอ่ยถามเขาออกมา เพราะรู้ดีว่าเรื่องความกตัญญูของคนในยุคนี้มาเป็นอันดับหนึ่งหากหลานสะใภ้ตบดีกับท่านย่าของสามี ชื่อเสียงของนางและของเขาก็คงจะถูกครหาไม่น้อย ไม่ใช่ว่าจางเลี่ยงรุ่ยจะไม่เข้าใจนาง เพียงแต่ว่าตอนนี้เขายังไม่อาจหาทางออกเรื่องการแยกเรือนออกไปได้“เจ้าใจเย็นอีกนิดได้หรือไม่ ข้ากำลังหาทางจัดการเรื่องนี้อยู่” เขามองนางอย่างขอความเห็นใจเขาก็ไม่อยากจะเสียนางไปเช่นกัน หลินเยว่นางเป็นคนเดียวที่เดือดร้อนแทนเขา เมื่อเขาถูกคนในเรือนรังแกตั้งแต่วันแรกที่พบนาง นางก็เอ่ยถามเขาเรื่องกินข้าวแล้วหรือยัง เหนื่อยมากหรือไม่ นางคงไม่รู้ว่าคำพูดเช่นนี้ไม่เคยมีผู้ใดพูดกับเขามาก่อน ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นหัวใจอยู่ไม่น้อย“

  • พ่อบัณฑิตหน้าขาว ข้าจะเลี้ยงดูท่านเอง   การซักผ้าแบบใหม่

    เมื่อมาถึงริมแม่น้ำก็มีชาวบ้านอยู่ไม่น้อยที่นั่งซักผ้าอยู่ พอเห็นเลี่ยงรุ่ยแบกตะกร้าผ้ามาให้หลินเยว่ก็อดจะกระซิบพูดคุยกันไม่ได้ บางคนเห็นใจนางที่เป็นถึงคุณหนูแต่ต้องแต่งเข้ามาเป็นหลานสะใภ้ของนางฮั่วซื่อที่ปากร้ายใจแคบ บางคนก็ยินดีในคราวเคราะห์ของผู้อื่นหลินเยว่นางไม่สนใจว่าผู้ใดจะมองนางหรือนินทานางเช่นไร เมื่อเลี่ยงรุ่ยวางตะกร้าลง นางจึงให้เขาไปดูกับดักสัตว์ที่เขาวางไว้“เจ้าทำไหวแน่หรือ” เขามองนางอย่างเป็นห่วง เพราะรู้ดีว่านางคงไม่เคยซักผ้าเช่นนี้“เอาเถิด ท่านไปจัดการเรื่องของท่านเถิด” นางจะทำไหวได้อย่างไรแต่ในเมื่อต้องการให้นางซัก จะออกมาเป็นเช่นไรก็จะต่อว่านางไม่ได้เช่นกัน“ประเดี๋ยวข้าจะกลับมาแบกกลับเรือนเอง เจ้าซักเสร็จแล้วรอข้าอยู่ที่นี่เล่า”“อืม ไปเถิด”หลินเยว่นั่งลงที่ก้อนหินริมน้ำ นางนำเสื้อผ้าออกมากองทั้งหมด ก่อนจะเริ่มต้นซักที่ละตัว นางไม่ได้ดูว่าผู้อื่นซักผ้าเช่นไร นางมีวิธีของนางเมื่อสตรีที่อยู่ริมน้ำเห็นการซักผ้าของหลินเยว่ ต่างก็ต้องร้องอุทานออกมาอย่างตกใจ ถึงกับมีสตรีใจกล้าเอ่ยถามนางด้วยว่ากำลังทำอะไร“ภรรยาอารุ่ยเจ้าซักผ้าไม่เป็นรึ เหตุใดถึงทำเช่นนั้น” หลินเยว่ห

  • พ่อบัณฑิตหน้าขาว ข้าจะเลี้ยงดูท่านเอง   งานเรือนให้เมียเจ้าทำ

    หลินเยว่มองหน้าจางเลี่ยงรุ่ยอย่างเหนื่อยใจ “เหตุใดท่านต้องยอมมากถึงเพียงนี้ด้วย”“ต่อให้ท่านย่าจะดุด่าข้าหรือทุบตีข้า อย่างน้อยนางก็ให้ที่หลับนอนและอาหารกับข้าทุกมื้อ” แม้จะกินไม่อิ่มท้องก็ตาม“เลี่ยงรุ่ย ท่านมีทางเลือกอื่นมากมาย เหตุใดต้องทนด้วยเล่า” หากนางโดนกระทำเพียงนี้ไม่รู้ว่าจะทนได้เท่าเขาหรือไม่“ข้าโดนเช่นนี้มาตั้งแต่เล็กแล้ว จะมาบอกว่าตอนนี้ทนไม่ได้ก็คงจะน่าขันไม่น้อย” แววตาของเขาเศร้าลง เมื่อนึกถึงเรื่องที่ตนต้องทนโดนโขกสับเยี่ยงทาสมานานนับสิบเก้าปี“ท่านเคยคิดจะแยกบ้านหรือไม่” นางยื่นหน้าเข้าไปถาม“เคย แต่จะแยกไปที่ใดเล่า ท่านย่าคงไม่ยอมแน่” เพราะเขาเป็นแรงงานของบ้านจะให้แยกตัวไปคงไม่มีใครยอม“เอาเถิด เรื่องนี้ค่อยว่ากัน หากเจ้าจะออกไปข้าก็ไม่ห้าม แต่เลี่ยงรุ่ย ข้าไม่เหมือนท่าน ข้าทนการถูกรังแกไม่ได้ หากต่อไปต้องโดนมากกว่านี้ ข้าคงต้องขอแยกทางกับท่าน” นางเอ่ยออกมาตรงๆ ถ้าจะให้ทั้งชีวิตนางมาทิ้งอยู่ในสภาพเช่นนี้นางก็ไม่เอาเช่นกันต่อให้ได้สามีที่ดีเช่นเขานางก็ไม่ต้องการ ต่อไปหากนางคิดจะสร้างตัว ไม่ใช่ว่าต้องยกเงินที่หามาได้ให้ท่านย่าของเขาเสียหมดเลยรึจางเลี่ยงรุ่ยเข้าใจควา

สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status