อันลี่ซินรู้สึกว่าใบหูของนางร้อนราวกับจับไข้ อีกทั้งใบหน้าก็รุ่มร้อนดุจอยู่หน้าเตาทำขนมก็มิปาน เมื่อเว่ยอ๋องมองและตรัสกับนางด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนเช่นนี้ รถม้าเคลื่อนมาถึงด้านหน้าจวนก่อนที่ผู้ที่อยู่ด้านนอกจะแจ้งบอกท่านอ๋องว่ามาถึงจวนราชครูแล้ว
“เอาล่ะ ข้าจะไปส่งเจ้าเข้าจวนก่อน”
“มิต้องก็ได้เพคะเพียงแค่ลำบากพระองค์ต้องมาส่งถึงจวนก็เป็นการรบกวนมากพอแล้ว หม่อมฉันเข้าไปเองได้เพคะ”
“เช่นนั้นก็ได้ ข้าจะพาเจ้าลงเองรอเดี๋ยวนะ”
เว่ยอ๋องเดินออกมาและค่อย ๆ พยุงนางลงมาจากรถม้า เขายืนส่งนางหน้าจวนก่อนที่ลี่ซินจะถวายคำนับและเดินเข้าจวนไป เว่ยอ๋องที่ยืนส่งมองเห็นร่างบางที่เดินพ้นสายตาไปจึงหันมาสั่งการ
“ส่งคนของเราให้มาคุ้มกันนางสักสองคนและคอยรายงานความเคลื่อนไหวในจวนราชครูอัน”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ตำหนักเว่ยอ๋อง
เว่ยอ๋องกลับไปถึงจวนแล้วหลังจากที่ต้าอู๋สั่งให้องครักษ์ในสังกัดของท่านอ๋องไปเฝ้าคุ้มกันสกุลอัน เมื่อต้าอู๋เดินเข้ามาจึงรีบรายงานเหตุการณ์ในวันนี้ทันที
“ว่าอย่างไรบ้าง”
“ทูลท่านอ๋อง วันนี้แม่นางเฟิ่งจงใจไปดักรอคุณหนูอันที่ร้านเครื่องประดับ อีกทั้งยังหลอกถามเรื่องส่วนตัวของพระองค์และเรื่องงานหมั้นหมายกับคุณหนูอันพ่ะย่ะค่ะ”
“คิดเอาไว้ไม่ผิด เช่นนั้นอวี้อ๋องคงมิได้บังเอิญที่จะไปที่นั่นสินะ”
“เห็นว่าทั้งสองนัดพบกัน แต่คุณหนูเฟิ่งจงใจที่จะไปช้าเพื่อให้เกิดเรื่องนี้ขึ้นพ่ะย่ะค่ะ”
“เฮ้อ… เหตุใดอันลี่ซินจึงไม่พูดเรื่องนี้กับข้าเลย แล้วนางตอบเฟิ่งถงหลินว่าอย่างไร”
“นางว่าเรื่องการหมั้นหมายเป็นเรื่องของผู้ใหญ่บิดามารดาเป็นผู้จัดการ หากว่า เอ่อ...”
“พูดต่อ”
“หากว่าคุณหนูเฟิ่งไม่พอใจคงต้องไปทูลถามฝ่าบาทเอง เพราะผู้ที่ประทานราชโองการคือฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
“ฮ่า ๆ ๆ นางมิใช่คนที่เฟิ่งถงหลินจะล่วงล้ำได้อย่างที่คิด นางยอดเยี่ยมกว่าที่ข้าคาดเอาไว้มากนัก ถึงกับกล้ายกเสด็จพ่อออกมาข่มขู่เฟิ่งถงหลิน บุตรสาวท่านราชครูไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ ดูท่าข้าจะปรามาสนางเกินไปเสียแล้วสินะ”
“ท่านอ๋อง เหตุใดพระองค์จึงหัวเราะพ่ะย่ะค่ะ”
“เฟิ่งถงหลินหาเรื่องใส่ตัวเอง นางเพียงแค่อยากจะหยั่งเชิงอันลี่ซิน แต่กลับถูกตอกกลับจนหน้าหงาย จะไม่ให้ข้าขำได้เช่นไรกัน”
เขาดูแคลนอันลี่ซินมากเกินไปเสียแล้ว คิดไม่ถึงเลยว่านางจะกล้าสวนกลับคำพูดที่ทำเอาคนอย่างเฟิ่งถงหลินซึ่งเป็นบุตรสาวแม่ทัพใหญ่ตอบกลับนางไม่ได้ อีกทั้งยังสงวนท่าทีและไม่ให้อีกฝ่ายล่วงรู้ความคิดได้นับว่ายอดเยี่ยม
“ก็นับว่าไม่เสียแรงที่เป็นบุตรีท่านราชครู ดูแล้วก็ยังพอมีชั้นเชิงอยู่บ้างนับว่าไม่เลวเลยอันลี่ซิน”
“ท่านอ๋อง รายงานทางชายแดนบอกว่ากองทัพของแคว้นหลันเริ่มเคลื่อนพลเข้ามาชิดเมืองหลวงเต็มทีแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“พวกมันมาเท่าไหร่ มีการเคลื่อนไหวอย่างไรบ้าง”
“เห็นบอกว่าหากมองด้วยตาน่าจะไม่เกินสองพันแต่ที่ยังรั้งอยู่หัวเมืองไม่ทราบจำนวนที่แน่ชัดพ่ะย่ะค่ะ”
“ศึกครั้งนี้ไม่ง่ายเลย ได้ข่าวว่าองค์รัชทายาทของแคว้นหลันนำทัพด้วยตัวเอง พวกเขาอยากได้ดินแดนที่ติดเขาลั่วซางทางเหนือของเราจึงไม่ยอมแพ้ ชัยภูมิด้านนั้นเอื้อประโยชน์กับพวกแคว้นหลัน เราคงต้องวางแผนรับมือให้ดีกว่าเดิม”
“เห็นว่าอวี้อ๋องขอเข้าเฝ้าฝ่าบาทเพื่อจะออกศึกเองพ่ะย่ะค่ะ”
“อะไรนะ เขาหรือ… ตั้งแต่เมื่อใดกันเหตุใดสายข่าวของเขาถึงได้ว่องไวกว่า”
“กระหม่อมเองก็พึ่งได้รับรายงานมา จึงได้รีบมาแจ้งต่อพระองค์พ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนี้นี่เอง มิน่าเล่า”
“ท่านอ๋อง…”
“หลอกล่อให้ข้าออกไปช่วยอันลี่ซิน ตลบหลังรีบกลับไปเข้าเฝ้าเพื่อขอออกศึกชายแดน หึหึ นับว่าแผนการที่ไม่เลวเลย แล้วเสด็จพ่อว่าอย่างไร”
“ทรงประทานอนุญาตให้อวี้อ๋องรับศึกนี้พร้อมกับกองทัพหลวงอีกสองพันนายพ่ะย่ะค่ะ”
“เอาเถอะพวกเราก็แค่เตรียมกำลังเสริมเอาไว้ก็แล้วกัน หากทัพใหญ่พลาดพลั้งขึ้นมาจะได้ช่วยทัน”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“มีอะไรอีก”
เว่ยอ๋องหันไปมองหน้าองครักษ์คนสนิทเมื่อเห็นท่าทีที่อึกอักของเขา
“มีอะไรก็พูดมาเถอะ”
“คือว่าวันนี้ตอนที่พระองค์ไปส่งคุณหนูอันที่จวน คุณหนูเฟิ่งมาขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
จอกชาในพระหัตถ์ชะงักก่อนจะถึงริมฝีปาก เขาวางลงก่อนจะหันไปมองแผ่นรายงานเกี่ยวกับการศึกที่ชายแดน
“หากครั้งต่อไปนางมาอีก ก็บอกไปว่าข้าไม่สะดวกพบนาง”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“ออกไปเถอะข้าจะอ่านรายงานที่เหลือเอง”
ต้าอู๋เดินออกไปพร้อมกับปิดประตูให้ ซ่างเจวี๋ยเมื่อเห็นว่าประตูปิดลงแล้วจึงวางรายงานที่แสร้งยกขึ้นอ่านลงก่อนจะลุกไปที่หน้าต่างมองดวงจันทร์และนึกย้อนกลับไปวันที่มีงานเลี้ยงในวังหลายวันก่อน
“หม่อมฉันอยากจะมาอธิบายเรื่องราชโองการ หม่อมฉันไม่คิดเลยว่าจะเป็นเช่นนี้”
“เจ้าไม่ต้องคิดมากหรอกข้า…”
“แต่ว่าหม่อมฉันหาได้ต้องการเช่นนั้นไม่ หม่อมฉันคิดว่า… จะเป็นพระองค์”
“เฟิ่งถงหลิน ในเมื่อมีราชโองการออกมาแล้วเจ้าก็ยอมรับเถิดนะ ที่ข้าเอ่ยปากถามกับเจ้าก่อนจะเข้าไปที่งานเลี้ยงนั่น ข้าเพียงแค่คิดว่าหากต้องแต่งงานจริง ๆ ก็อยากจะแต่งงานกับผู้ที่เหมาะสม แต่ในเมื่อสวรรค์ลิขิตมาเป็นเช่นนี้ก็คงต้องยอมรับ”
“แต่ว่า! เหตุใดหม่อมฉันจึงต้องแต่งกับองค์ชายใหญ่ทั้ง ๆ ที่ดินแดนบูรพานั้นยิ่งใหญ่มากกว่าอีกทั้ง..”
“เฟิ่งถงหลิน ข้าขอเตือนเจ้าสักหน่อยหากเจ้าจะเอ่ยสิ่งใดควรคำนึงถึงอวี้อ๋องเป็นหลัก ในยามนี้เจ้าเป็นว่าที่คู่หมั้นของอวี้อ๋องแล้ว มิควรพูดเรื่องเช่นนี้อีก”
“เช่นนั้นเมื่อครู่นี้เรื่องที่พระองค์ถาม หรือว่ามิได้มีใจชอบพอหม่อมฉันมาก่อนงั้นหรือเพคะ พวกเรารู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก ท่านเองก็สนิทกับพี่ใหญ่ข้าอีกทั้ง… พี่ซ่างเจวี๋ยท่านยอมให้ข้าแต่งงานกับเขาได้จริงหรือ”
เว่ยซ่างเจวี๋ยหันไปมองอันลี่ซินที่กำลังคำนับลาอวี้อ๋องอยู่ด้านหน้าสวน เขาแทบไม่ได้สนใจที่เฟิ่งถงหลินคร่ำครวญเลยด้วยซ้ำไปเพราะรู้ว่านางต้องการสิ่งใด อีกอย่างก่อนหน้านี้แม้ว่าเขาจะต้องการทาบทามนางเรื่องแต่งงานก็เพียงเพื่อจะดูทิศทางลมเท่านั้น และดูเหมือนว่านางเองก็อยากรู้ว่าเขาจะสามารถครอบครองตำแหน่งสูงสุดนั้นได้หรือไม่
“เจ้าควรรู้ว่าราชโองการโอรสสวรรค์เมื่อประกาศแล้วหากไม่มีเหตุผลที่ดีมากพอจะยกเลิกมิได้ อีกอย่างตอนที่เจ้าได้ทราบเรื่องในห้องโถงเจ้าก็ดูมิได้ขัดข้องอันใดนี่”
เขานึกกลับไปถึงอันลี่ซินที่ตกใจจนตัวแข็งทื่อเป็นหิน เขาเดินจนถึงตัวนางอยู่แล้วตอนที่ราชโองการประกาศจบ แต่นางยังคงตกใจไม่หายเพราะคาดไม่ถึงว่าตัวเองจะได้รับคัดเลือกให้เป็นว่าที่คู่หมั้นของเขา
“ท่านก็ทราบว่าข้ารู้สึกเช่นไร ข้ามิได้มีใจรักอวี้อ๋องแต่กับท่าน…”
เขาไม่อยากจะพูดกับนางให้มากความไปเกินกว่านี้ ในเมื่อสวรรค์กำหนดแล้วเขาเองก็มิได้ขัดข้องอันใด เดิมทีหมั้นกับบุตรของแม่ทัพใหญ่อาจจะดีก็จริง แต่หากได้เป็นบุตรเขยของท่านราชครูที่มีอำนาจเหนือเสนาบดีและแม่ทัพใหญ่อย่างเฟิ่งฉวน นั่นมันก็ดีสำหรับเขามากกว่ามิใช่หรือ
“ในเมื่อราชโองการออกมาเช่นนี้ข้าเองก็ทำได้เพียงแค่ยอมรับมัน บัดนี้ผู้ที่เป็นคู่หมั้นของข้าคืออันลี่ซินเจ้าเองก็เป็นคู่หมั้นของอวี้อ๋อง จากนี้ข้าคิดว่าพวกเราไม่ควรพบกันตามลำพังอีก หากไม่มีสิ่งใดแล้วข้าคงต้องขอตัวก่อน”
“เดี๋ยวก่อนเพคะ”
“เจ้ายังมีสิ่งใดอีก”
“หากว่าอันลี่ซินมิได้ยินยอมหมั้นหมายกับพระองค์และขัดราชโองการ ท่านอ๋องจะยังตรัสเช่นนี้อยู่หรือไม่เพคะ”
“เอ่อ หม่อมฉันมิได้หมายความเช่นนั้น หากว่าพระองค์ทรงมีเหตุจำเป็นจริง ๆ ก็มิใช่ว่าจะทำมิได้...”“ช่างเถอะ ที่เจ้าพูดมาข้าก็พอเข้าใจได้ เจ้าก็ทำในสิ่งที่สมควรทำเถอะข้าขอตัวกลับก่อน”นางมิทันได้พูดสิ่งใดท่านอ๋องก็รีบเดินจากไปโดยมิทันให้นางได้เอ่ยลา ในใจของอันลีซินเริ่มรู้สึกผิดขึ้นมาโดยฉับพลัน เพราะความอยากเอาชนะเขานางจึงหาข้ออ้างที่จะเลี่ยง แต่ที่ท่านอ๋องตรัสมานั้นก็มิใช่ว่าจะไม่มีความจริง นางเองก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดบิดาจึงได้เชิญให้เฉินลู่พักอยู่ที่จวนต่อหน้าพระพักตร์ท่านอ๋องเช่นนี้“ข้าควรจะทำเช่นไรดีเล่า นี่ท่านพ่อจงใจหาเรื่องให้ข้าใช่หรือไม่”“คุณหนูเจ้าคะ ท่านอ๋องกลับไปแล้วเจ้าค่ะ”“ข้ารู้แล้ว อาหรูเจ้าให้สาวใช้สักสองสามคนไปหาพ่อบ้านหลงเพื่อช่วยเขาจัดที่พักให้คุณชายเฉิน”“เจ้าค่ะ” ตำหนักท่านอ๋องเมื่อเว่ยอ๋องเสด็จกลับและเดินตึงตังเข้ามาด้านในตำหนัก ทุกคนก็เริ่มรู้ว่าคงจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเป็นแน่ เมื่อเว่ยอ๋องสั่งให้ต้าอู๋เฝ้าอยู่เพียงด้านนอกและเข้าไปยังห้องอักษรพร้อมกับเก็บตัวเงียบอยู่ในนั้นเพื่อระบายอารมณ์“เจ้ามันไม่รู้ความ ไม่รู้จริง ๆ หรือว่าคนผู้นั้นคิดสิ่งใดอยู่ นี่เจ้าโง่ด
“ขอบพระทัยท่านอ๋อง กระหม่อมสบายดีพ่ะย่ะค่ะ”“น่าแปลกนะที่พบเจ้าที่นี่ ได้ข่าวว่าพึ่งมาถึงเมืองหลวงแต่เหตุใดจึงไม่รีบไปรายงานตัวเหมือนกับขุนนางคนอื่น ๆ แต่กลับมาที่จวนสกุลอันก่อน”อันลี่ซินรินน้ำชาและเดินไปถวายท่านอ๋อง เมื่อนางวางจอกชาเสร็จเขาก็ดึงนางให้มานั่งข้าง ๆ อย่างจงใจ ราวกับต้องการให้อีกฝ่ายทราบว่าเขาคือผู้ใดและเกี่ยวข้องกับอันลี่ซินเช่นไร ซึ่งเฉินลู่นั้นรับรู้สัญญาณข่มขู่ได้ในทันทีเช่นกัน“ไม่ทราบว่าพระองค์จะเสด็จมาที่นี่กะทันหัน มีธุระอันใดเร่งด่วนหรือเพคะ”“เรื่องนี้เอาไว้เราค่อยคุยกันส่วนตัวดีกว่า อีกอย่างที่นี่ยังมีแขก”เขาพูดพลางหันไปมองอีกฝ่ายอย่างจงใจ ราชครูอันหันมามองทั้งสองก่อนจะรีบห้ามทัพที่ไร้ดาบตรงหน้าทันที“จริงสิเฉินลู่ในเมื่อเจ้าพึ่งจะเข้ามาเมืองหลวงคงยังไม่มีจวนพักสินะ ตอนนี้เจ้าพักอยู่ที่ใดเล่า”“ศิษย์คงจะไปพักจวนเดิมของท่านพ่อก่อนที่จะย้ายไปเรือนพระราชทานหลังใหม่ขอรับท่านอาจารย์”“จวนนั้นยังพักได้อยู่งั้นหรือ ข้าว่าไม่น่าจะสะดวกอีกอย่างจวนนั้นอยู่ไกล เอาเช่นนี้ก็แล้วกันข้าจะให้พ่อบ้านหลงสั่งให้คนจัดห้องพักให้เจ้าที่เรือนทางตะวันตก ระหว่างที่รอจวนพระราชทานก็พั
“แต่หากครั้งนี้คุณหนูเฟิ่งยังแอบติดตามพระองค์ไปอีก จะทำเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ”“เจ้าถามก็ดีแล้ว เสด็จพ่อทรงสั่งการให้กองทัพของเฟิ่งฉวนตรึงกำลังรักษาเมืองหลวง ครั้งนี้มีอวี่เหริน (องค์ชายห้า) คอยกำกับกองทัพแทนเฟิ่งฉวนที่ถูกลดอำนาจลงเหลือเพียงรองแม่ทัพเท่านั้น”“ถึงจะมีองค์ชายห้าอยู่แต่ว่า…”“หากนางกล้าออกจากจวนคนของเราก็จะทราบทันที อีกอย่างข้าไม่ห้ามที่นางจะมาวุ่นวายที่นี่เพราะถึงอย่างไรนางต้องมาแน่ ลูกหมาป่าหรือจะสู้แม่เสือที่เฝ้าถ้ำอยู่ แม้จะไม่ได้กางกรงเล็บง่าย ๆ ข้าเชื่อว่าแค่ข่มขู่ ลูกหมาป่าก็สู้นางไม่ได้แล้ว”“เหตุใดพระองค์ดูมั่นพระทัยในตัวคุณหนูอันนักเล่าพ่ะย่ะค่ะ หรือว่าเพราะ…”“อย่าพูดเหลวไหล ที่ข้าเลือกอันลี่ซินเพราะนางเป็นคนที่รู้จักธรรมเนียมมารยาท อีกทั้งนางที่อ่อนนอกแข็งในและใช้สติในการแก้ปัญหาย่อมเหมาะสมกว่าผู้ที่ใช้แต่อารมณ์และไร้สติอย่างบุตรแม่ทัพเฟิ่งผู้นั้นแน่นอน”“ท่านอ๋อง พระองค์มิได้มีใจชอบพอนางบ้างหรือพ่ะย่ะค่ะ”“เจ้ารีบนำหนังสือนี้ออกไปส่งให้คนของเราที่นอกเมือง เตรียมการให้พร้อมก่อนที่จะออกศึกในอีกเจ็ดวันข้างหน้า”“พ่ะย่ะค่ะ”เว่ยอ๋องตัดบทองครักษ์ข้างกายในทันที เขามิอาจ
“หม่อมฉันมิได้โกรธพระองค์ เพียงแต่ว่าข่าวลือในเมืองหลวงที่หนาหูนั่นทำให้ไม่อยากเสียเวลา และไม่อยากสร้างความลำบากพระทัยให้พระองค์จึงเลือกที่จะวางเฉยปล่อยเรื่องนี้ให้เงียบไปเอง แต่ไม่คิดว่าข้าศึกจะมาประชิดเมืองทางตะวันออกอีก”“เช่นนั้นที่เจ้าทำเมินเฉยต่อข้าและไม่มาพบที่ตำหนักก็เพราะเรื่องนี้งั้นหรือ เจ้ากล้าพูดหรือว่าเจ้าไม่โกรธข้าเลยแม้แต่นิดเดียวลี่ซิน”“หม่อมฉัน… ยอมรับเพคะว่ามีเคืองใจพระองค์อยู่บ้าง แต่ว่าท่านพ่อบอกเสมอว่าให้ถือหน้าที่ของตัวเองเป็นสำคัญ การที่หม่อมฉันเลือกที่จะไม่สนใจและเพิกเฉยต่อข่าวลือทำให้ข่าวนั้นไม่มีความสำคัญอีกต่อไป”“แต่การที่เจ้าไม่ยอมพบข้า จงใจหลบหน้าข้านี่ก็เป็นสิ่งที่เจ้าปฏิเสธไม่ได้นะ”“ที่หม่อมฉันทำเช่นนั้นอาจจะไม่ถูกก็จริง แต่ว่าทุกครั้งที่พระองค์ไปที่จวนก็มิได้มีครั้งใดที่ตั้งใจจะไปหาหม่อมฉันนี่เพคะ”“ข้า…”ใช่แล้ว ทุกครั้งที่เขาไปที่จวนสกุลอันก็เพียงแค่หาเหตุผลอื่นโดยมิได้ตั้งใจจะไปหานางจริง ๆ แต่คนเช่นเว่ยอ๋องที่มีทิฐิสูงย่อมไม่กล้ายอมรับอยู่แล้วว่าจะไปง้อนาง แม้ว่านางจะเพียงแค่รอให้เขาแสดงความจริงใจแต่ก็ไม่เคยมีเลยสักครั้ง ดังนั้นนี่คือสิ่งที่นางลง
ฝ่าบาทมองเห็นเนตรที่ตื่นเต้นและโมโหจนนึกลอบขำอยู่ไม่น้อย มิใช่ว่าพระองค์จะไม่รู้เห็นสิ่งใดเลย ก่อนหน้านี้ก็ทรงเรียกราชครูอันมาไถ่ถามแล้วและพบว่าเว่ยอ๋องเองก็อยู่ไม่เป็นสุขเช่นกัน เมื่อบุตรีของราชครูวางเฉยและไม่มาพบหน้าเขาเลยตั้งแต่กลับจากศึกแดนเหนือมาได้เกือบสองเดือน“ไม่คิดว่าเจ้าจะเป็นคนที่รักษาสัญญาเช่นนี้ เจ้าคงมิได้กลัวราชครูอันโกรธใช่หรือไม่ หากว่าพ่อจะประทานสตรีสกุลเฟิ่งให้เจ้าอีกคน”“มิใช่พ่ะย่ะค่ะเพียงแต่ว่าตามที่ลูกรายงานให้พระองค์ทราบ สตรีผู้นี้สร้างความวุ่นวายให้กองทัพ อีกทั้งเฟิ่งฉวนยังใช้เรื่องนี้มาต่อรองกับลูกเพื่อให้ช่วยตัวปัญหาเช่นนาง ลูกไม่มีทางรับสตรีเช่นนี้เข้ามาในตำหนักไม่ว่าจะด้วยฐานะใด ขอเสด็จพ่อโปรดทรงอภัยที่ลูกมิอาจรับได้พ่ะย่ะค่ะ”“อืม เช่นนั้นก็ตามแต่ใจเจ้าก็แล้วกัน จริงสิเรื่องข้าศึกที่ดินแดนตะวันออกที่เริ่มก่อกบฏเจ้าคิดว่าจะจัดการเช่นไร”“ตอนนี้ลูกสั่งให้กองทัพส่วนหนึ่งดักซุ่มรอดูเหตุการณ์ อีกส่วนหนึ่งเข้าไปสืบข่าวและพบว่าสิ่งที่พวกเป่ยลี่ต้องการคือเหมืองแร่เหล็กสำหรับผลิตอาวุธพ่ะย่ะค่ะ”“เจ้าคิดว่าศึกครั้งนี้จะรุนแรงกว่าศึกกับแคว้นหลันหรือไม่ ครั้งก่อนแคว
“ให้ตายสิแล้วคนที่เดือดร้อนก็เป็นพวกข้า เช่นนั้นแล้วควรทำเช่นไรดีเล่าขอรับ”“ก็ต้องให้ท่านอ๋อง….”หมัวมัวพูดกับองครักษ์ต้าอู๋ แต่กลับไม่รู้เลยว่าผู้ที่ลอบแอบฟังอยู่อีกฝั่งหนึ่งกำลังยิ้มและรีบเดินกลับไปที่ห้องอักษรมองภาพวาดตรงหน้าอีกครั้ง“อันลี่ซินข้าจะดูสิว่าครั้งนี้เจ้าจะปฏิเสธไม่พบข้าได้เช่นไรกัน”วันถัดมา / หลังประชุมราชสำนัก“อาจารย์ขอรับ”“ท่านอ๋อง ทรงมีสิ่งใดหรือพ่ะย่ะค่ะ”“คือว่าครั้งก่อนที่ข้ากลับมาจากแดนเหนือ มีกลยุทธ์ศึกอย่างหนึ่งที่ยังไม่เข้าใจ จากที่ท่านเคยสอนข้าจดจำได้ว่ามันอยู่ในตำราหนึ่งในพิชัยยุทธ์ซึ่งอยู่ที่ห้องหนังสือในจวนของท่าน ข้าใคร่อยากจะขอติดตามเพื่อไปยืมตำราเล่มนั้นสักหน่อยขอรับ”“พิชัยยุทธ์ของจักรพรรดิตี้หวันลี่ที่สอง อ้อ เช่นนั้นเชิญท่านอ๋องเสด็จเถิดพ่ะย่ะค่ะกระหม่อมจะพาพระองค์ไปด้วยตนเอง”“ขอบคุณท่านอาจารย์”เว่ยอ๋องเดินตามราชครูอันขึ้นรถม้าไปทันที เขาพูดคุยเรื่องต่าง ๆ กับราชครูจนกระทั่งถึงจวน เมื่อลงจากรถม้าและติดตามราชครูอันเข้าไปในจวนก็เริ่มมองไปทั่ว ๆ จวนราชครูอันทราบดีอยู่แล้วว่าท่านอ๋องมิได้อยากมาหาตำราอย่างที่ตรัสเอาไว้ เพียงแค่จะหาเรื่องมาหาบุตรส