เวลาสี่ปีผ่านไปไวเหมือนโกหก ยามนี้เฉินเซียงหรงอายุเท่าๆ กันกับพี่ชายใหญ่เมื่อสมัยมารดาตายจาก กำลังน่ารักน่าเอ็นดูเป็นที่สุด
ครั้งนั้น หลังจากท่านแม่จากไป ท่านย่าของนางก็คล้ายรังเกียจชิงชัง
อนุหาน หานชิงเยว่ อนุซู ซูเหมยเหนียง และอนุจาง จางเหม่ยเหมย ไม่ว่าสะใภ้ที่เหลือคนใดก็ล้วนเข้าหน้าท่านย่าของนางไม่ติดทั้งนั้นท่านย่าของนางไม่เคยปริปากบ่นระบายว่าเป็นเพราะเหตุใดจึงได้ตั้งแง่รังเกียจสะใภ้รอง สะใภ้สาม และสะใภ้สี่ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสตรีที่ตนคัดเลือกเข้าจวนมาด้วยตนเองทั้งนั้น ทำเพียงมักอบรมสั่งสอนให้เด็กน้อยอย่างนางคอยระมัดระวัง ไม่เข้าใกล้อนุหาน อนุซู อนุจาง รวมถึงคนจากเรือนของพวกนางทั้งสาม และไม่ดื่มกินใช้สอยสิ่งใดที่มาจากพวกนางทั้งนั้น
แม้จะสงสัย แต่เพราะเด็กน้อยอย่างนางสาบานเอาไว้แล้วว่าจะเป็นเด็กดี เด็กดีสมควรจะเชื่อฟังผู้ใหญ่ นางจึงไม่เคยปริปากถามอะไรให้ท่านย่าขุ่นเคืองหรือลำบากใจ ท่านย่าบอกอะไรนางก็ทำตามทุกอย่าง ท่านย่าสอนอะไรให้ นางก็ใส่ใจทำตาม ตั้งแต่เมื่อสองสามปีก่อนจนถึงตอนนี้ ท่านย่าบอกให้ไปซ้าย นางก็ไปซ้าย ท่านย่ากล่าวว่าครั้งนี้ต้องไปทางขวา นางก็ขยับตัวไปทางขวาอย่างไม่อิดเอื้อน ทั้งยังยึดหลักสี่คุณธรรมสามคล้อยตามเป็นที่ตั้ง
สี่คุณธรรมก็คือการมีคุณธรรมที่ดี ดำรงตนอยู่ในกรอบของศีลธรรมจรรยา กิริยาล้วนงดงามจำเริญตา มีมธุรสวาจา พูดหวานขานเพราะ นอบน้อม อ่อนหวาน ซื่อสัตย์เชื่อถือได้ ไม่กลิ้งกลอก เล่นลิ้น ทั้งยังรู้จักระวังรักษารูปร่างหน้าตารวมไปถึงการแต่งกายให้งดงามเหมาะสมอยู่เสมอ การบ้านการเรือน เย็บปักถักร้อย พิณ ภาพ หมาก อักษร ล้วนชำนาญสิ้นทุกสิ่ง
สามคล้อยตามก็คือ ยามยังไม่ออกเรือนเชื่อฟังบิดา ออกเรือนแล้วเชื่อฟังสามี สิ้นสามีเชื่อฟังบุตรชาย...
สำหรับนางที่ยังเล็กนัก และต่อให้เติบใหญ่ถึงวัยออกเรือนก็ไม่มีความคิดที่จะแต่งให้ผู้ใดทั้งนั้น จึงไม่ต้องคิดพะวงเรื่องเชื่อฟังสามีเชื่อฟังบุตร ที่นางใส่ใจที่สุดมีเพียงการเชื่อฟังบิดา กระทำตนเป็นบุตรสาวที่ดีที่บิดาจะรักและภาคภูมิใจเท่านั้น แน่นอนว่าความรักและเชื่อฟังนี้ยังเผื่อแผ่ไปถึงพี่ชายใหญ่ของนาง หากพี่ชายใหญ่กล่าวว่าให้นางไปซ้าย นางจะไม่มีทางก้าวขาไปทางขวาแน่ๆ
ผู้กระทำดี สวรรค์ย่อมมองเห็น ดูเหมือนจะเป็นเพราะนางประพฤติตนดีเช่นนี้ ท่านพ่อจึงยังไม่ยอมตกลงปลงใจให้นางหมั้นหมายกับบุตรชายของท่านลุงของนางที่เป็นถึงอนาคตจวิ้นหวัง สามารถรับสืบทอดบรรดาศักดิ์จวิ้นหวังต่อจากบิดาได้ แตกต่างจากทายาทของจวิ้นหวังทั่วๆ ไป หนำซ้ำบุตรชายของพี่ชายท่านนั้นยังสามารถรับสืบทอดบรรดาศักดิ์จวิ้นหวังต่อจากพี่ชายท่านนั้นได้อีกทอด ผู้คนข้างนอกจวนกล่าวกันว่าท่านพ่อของนางหวังสูง กระทั่งจวิ้นหวังจ๋างจื่อ[1]ก็ยังไม่อยู่ในสายตา ลอบพูดกันว่าบิดาคิดจะให้นางแต่งกับองค์ชายที่ได้รับความโปรดปรานสักองค์ กลายเป็นสะใภ้หลวงที่สูงส่ง และไม่แน่ว่าอาจได้เป็นถึงพระชายาในองค์รัชทายาท
ชายารัชทายาทที่ใดกัน? ผู้อื่นไม่รู้ความจริงจึงกล่าวกันไปเช่นนั้น ความจริงทั้งหมดก็เพียงแค่เด็กน้อยอย่างนางกระทำตนเป็นเด็กดีมาเสมอ สวรรค์จึงตอบรับคำขอของนาง ดลใจให้ท่านพ่อผู้แสนดีเลือกบอกปัด ไม่ยอมรับการหมั้นหมายกับตระกูลของท่านลุงของนางเสียที...นึกถึงอนาคตที่ปลอดภัยไร้สามีของตนเองแล้ว นางสุขใจนัก!
เสี่ยวเซียงหรงปักลายดอกเหมยลงบนผ้าผืนไม่ใหญ่ไม่เล็กอย่างเป็นสุขใจ ใบหน้างดงามเกินวัยมีรอยยิ้มพริ้มเพราเฉิดฉันประดับอยู่บนนั้น
เฉินเซียงหรง แม้เพิ่งจะอายุได้เจ็ดขวบครึ่ง แต่รูปโฉมที่ได้มาจากบิดาและมารดาอย่างละส่วน ปั้นแต่งให้เครื่องหน้าของนางงดงามราวกับจิตรกรบรรจงแต้ม ไม่ว่าจะเป็นใบหน้าเรียวเล็ก ตาหงส์คู่งาม จมูกจิ้มลิ้มน่ารักที่ถูกเสกสรรเอาไว้อย่างพอเหมาะพอดี ขนตาที่งอนยาวเป็นแพ ริมฝีปากหยักได้รูป และฟันที่ทั้งขาวราวกับมุกน้ำดีซ้ำยังเรียงตัวกันอย่างเป็นระเบียบ ทุกส่วนบนใบหน้าของนาง แยกมองก็งดงาม ยามมองรวมๆ กันแล้วก็ยิ่งงดงามไปกันใหญ่ ท่านย่าที่ไม่เคยพูดปดของนางยังกล่าวชมนางบ่อยๆ ว่ารูปโฉมเช่นนี้ นับว่าล่มบ้านล่มเมืองได้ทีเดียว
ล่มบ้านล่มเมืองอะไรกัน นางเป็นเพียงเด็กหญิงตัวน้อยๆ ในเรือนหลัง ไม่ใช่ท่านเซียนหรือขุนศึกทหารหาญอย่างท่านลุงจวิ้นหวังของนางเสียเมื่อไหร่ สองมือของนางก็น้อยๆ เท่านี้ จะเอาปัญญาที่ใดไปล่มบ้านล่มเมือง?
แน่นอนว่านางย่อมต้องถามเรื่องนี้กับท่านย่า ผลที่ได้ก็คือ ท่านย่าของนางกลับหัวเราะ แล้วกล่าวว่า “หลานรักของย่าช่างจิตใจใสซื่อบริสุทธิ์ น่ารักน่าเอ็นดูมากจริงๆ!”
โธ่...ท่านย่าเจ้าขา นั่นไม่ใช่คำตอบเสียหน่อย!
แม้จะรู้สึกว่านั่นไม่ใช่คำตอบ ทว่าเสี่ยวเซียงหรงก็ไม่มีความคิดอยากเซ้าซี้ซักไซ้ให้ท่านย่าต้องวุ่นวายใจ...
ก็บอกแล้วว่านางเป็นเด็กดี...ดีมากๆ
เกี่ยวกับเรื่องความงามที่ท่านย่ากล่าวว่าถึงขั้นล่มบ้านล่มเมืองอะไรนี่ ผู้อื่นกล่าวกันว่า เด็กน้อยอย่างนาง เพิ่งจะเจ็ดขวบปี ไม่ได้แต่งหน้าทาปาก กลับงดงามสะกดสายตาผู้คนจนไม่รู้จะสรรหาคำใดมากล่าว กระทั่งคนผิวงามอย่างอนุหานยังยกย่องไม่ได้ขาด คอยกล่าวว่าผิวดีๆ ผมงามๆ และรูปหน้าเช่นนี้ นับแต่นี้ก็ไม่ต้องเสริมเติมแต่งหรือบำรุงรักษาประทินผิวอะไรให้วุ่นวาย ด้วยที่เป็นอยู่ในตอนนี้ก็ดูงดงามตามธรรมชาติดีอยู่แล้ว เครื่องประดับ เสื้อผ้าแพรพรรณชั้นดีทั้งหลายก็เช่นกัน ของเช่นนั้นสวมใส่เข้าไปก็รังแต่จะแข่งความงามกับคนงามเช่นนาง ไม่สู้นางแบ่งปันข้าวของเหล่านั้นให้พี่หญิงน้องหญิงที่ไม่ได้งดงามเท่าตนเองยังดีกว่า ไม่เพียงเป็นการช่วยเหลือพี่หญิงน้องหญิงของตนให้ได้มีหน้ามีตา ยังนับได้ว่าเป็นการช่วยให้พี่หญิงน้องหญิงของตนได้มีโอกาสอยู่ในสายตาผู้คนเช่นคนงามอย่างนางบ้าง
เซียงหรงไม่ใช่คนเขลา นางรู้ดีว่าผู้เป็นมารดาย่อมรักถนอมบุตรธิดา ยามท่านแม่ของนางยังอยู่ก็เป็นเช่นนี้ มีของดีใดก็อยากให้นางได้ใช้สอยทั้งนั้น อีกทั้งตัวนางเองก็ไม่ได้เดือดร้อนขัดสนสิ่งใด ดังนั้นนางจึงไม่เคยคัดค้านใดใดเลยสักคำ
มิใช่ว่าการแบ่งปันเช่นนี้ก็นับเป็นการทำดีหรอกหรือ? นางไม่อยากแย่งชิงกับแค่สิ่งนอกกายเหล่านี้กับผู้ใดให้วุ่นวายทั้งนั้น
ด้วยเหตุนี้ ไม่ว่าจะมีเครื่องประดับ มีแพรพรรณ มีเสื้อผ้าชุดใหม่ๆ มีของดีใด เซียงหรงก็ล้วนยอมมอบให้พี่หญิงน้องหญิงตามความต้องการของพวกนางทั้งสิ้น มีสิ่งเดียวเท่านั้น ที่จะอย่างไรคุณหนูสามอย่างนางก็ไม่คิดมอบให้ใครทั้งนั้น สิ่งนั้นก็คือกำไลหยกขาวโลหิตวงใหญ่ ที่ท่านแม่ผู้ล่วงลับนำมาห้อยคอนางไว้นับตั้งแต่จำความได้
สำหรับนาง ของสิ่งนี้ก็คือตัวแทนของมารดาที่ตายจาก นางไม่อาจตัดใจนำของสำคัญเพียงชิ้นเดียวชิ้นนี้ไปมอบให้ผู้อื่นได้จริงๆ
พี่หญิงน้องหญิงของนาง รวมถึงอนุหาน อนุซู และอนุจาง ล้วนไม่มีผู้ใดรู้ว่านางมีของสิ่งนี้ ในเมื่อไม่มีใครรู้แต่แรกว่ามีของสิ่งนี้ และไม่เคยมีใครเอ่ยปากขอ นางที่ไม่ได้เอาของชิ้นนี้ออกมามอบให้คนอื่นๆ คงไม่ถึงกับกลายเป็นเด็กไม่ดีกระมัง ก็ของสิ่งนี้น่ะ เป็นของนางมาตั้งแต่แรก นางไม่ได้ไปลักขโมยหรือแย่งชิงเอาของของใครมาสักหน่อย...
เซียงหรงกวาดตามองลายปักบนผ้าในมือด้วยความพึงพอใจ
พูดกันตามเนื้อผ้าแล้ว บุตรสาวสกุลเฉินอย่างนางปักลายดอกเหมยได้ยิ่งกว่างดงามวิจิตรบรรจง ทั้งยังให้ความรู้สึกว่าเหมือนของจริงราวกับมีผู้หยิบเอาดอกเหมยมาวางไว้บนผืนผ้า เพียงจ้องมองนานหน่อยก็รู้สึกราวกับว่าได้กลิ่นดอกเหมยหอมละมุน
ที่จริงแล้ว ภาพดอกไม้ที่งดงามเช่นนี้ ท่านแม่ของนางเป็นผู้ริเริ่มปักเอาไว้ เด็กน้อยอย่างนางเพียงชื่นชอบ ทั้งยังระลึกถึงมารดา จึงลอกเลียนวิธีการปักและลวดลายมาจากเสื้อผ้าที่ท่านแม่เคยปักเอาไว้เท่านั้น
หากท่านแม่ได้เห็นผ้าปักผืนนี้ ท่านแม่จะภูมิใจหรือไม่?
ท่านแม่จะกล่าวชื่นชมอย่างไรบ้างนะ?
เพียงคิดว่ามารดาจะภาคภูมิใจในตัวนางและชื่นชมนางอย่างไรบ้าง เซียงหรงก็สุขใจนัก
“โอ้โห...น้องสาม! ผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ช่างปักได้งดงามนัก พี่ใหญ่ขอได้หรือไม่!”
เสียงที่ดังขึ้นทำลายความเงียบสงบของอุทยาน ทำเอาเซียงหรงตกใจจนเผลอทำเข็มปักผ้าปักมือตนเอง
[1] ทายาทผู้สืบทอดของจวิ้นหวังหมวกเหล็ก(จวิ้นหวังที่สามารถส่งต่อบรรดาศักดิ์จวิ้นหวังให้ทายาทของตนเองได้)
ตลอดการเดินทางไปยังหมู่บ้านว่อหลงที่มีซู่ซินรออยู่ หลี่จือหลินซื้อรถม้าคันหนึ่งให้นางนั่งอยู่ด้านใน ส่วนตัวเขาขับรถม้าด้านนอก เขาให้เหตุผลว่าจะทำให้การเดินทางสะดวกขึ้นนั่นก็จริงอยู่นับตั้งแต่มีรถม้า นางก็ไม่เคยต้องนอนบนพื้นหินพื้นหญ้าให้เจ็บหลังปวดเอว หรือคันเนื้อคันตัวเหมือนก่อนหน้านี้หลังจากที่เปิดเผยตัวตนแล้ว หลี่จือหลินปฏิบัติต่อนางอย่างดียิ่ง ไม่ว่านางอยากกินอยากดื่มอะไร เมื่อผ่านเข้าไปในหมู่บ้านหรือเมืองเล็กๆ ก็จะหาซื้อให้นางทุกอย่าง หากเป็นกลางป่ากลางเขา ไม่ว่าจะจับสัตว์ใดได้เขาก็จะแบ่งเนื้อส่วนที่ดีที่สุดให้นาง ปรุงรสด้วยเกลือหรือเครื่องเทศต่างๆ เท่าที่จะหาได้เพื่อให้นางเจริญอาหารยิ่งขึ้น ทั้งยังบ่นพึมพำทุกคืนว่านางผอมลงไม่น้อย ไม่เต็มไม้เต็มมือ...น่าเกลียดที่สุด ปากบอกว่านางผอมเกินไป แต่ใครกันที่คอยจับนางกินทุกคืน!คนเจ้าเล่ห์พรรค์นั้นตั้งใจทำให้นางได้พักผ่อนเต็มที่ในเวลากลางวันเพื่อรับใช้เขาในเวลากลางคืนชัดๆ!แม้จะรู้เช่นนั้น แต่เซียงหรงก็ไม่สามารถหลบเลี่ยงอ้อมกอดนั้นได้เลยเวลากลางคืนช่างหนาวเหน็บนัก แม้ว่าจะเหนื่อย
“ตอนที่เจ้ายังเป็นทารก ข้าจำได้ ในตอนนั้นข้าบอกเจ้าว่า ข้าจะคอยปกป้องเจ้าไปชั่วชีวิต...คำพูดประโยคนั้นเป็นทั้งคำสัญญาและคำสาบานแรกในชีวิตข้า” หลี่จือหลินพูดพร้อมกับยิ้มจางๆ “ในเทศกาลหยวนเซียวคืนนั้น ตอนที่ข้าซื้อถังหูลู่ให้เจ้า เจ้าคงไม่รู้หรอกว่ารอยยิ้มที่เจ้ามอบให้ข้ายามนั้นทั้งงดงามอ่อนโยนและหวานล้ำเพียงใด เพราะจดจำภาพนั้นได้ ข้าจึงไม่เคยยอมแพ้ในสงคราม ทุกครั้งที่เพลี้ยงพล้ำ ข้ามักคิดเสมอว่าจะต้องได้กลับมาเจอเจ้าเพื่อทำตามคำสัญญาสาบานและจะต้องปกป้องรอยยิ้มที่บริสุทธิ์งดงามเช่นนั้นเอาไว้ให้ได้ หรงเอ๋อร์ ข้าออกศึกมากมาย แม้กึ่งหนึ่งเพื่อบ้านเมือง แต่อีกกึ่งหนึ่งล้วนเป็นเพราะแผ่นดินเทียนจินคือบ้านของเจ้า เพราะที่แห่งนี้มีคนที่ข้าต้องการปกป้องเอาไว้อย่างเจ้าอยู่ข้างหลัง”เซียงหรงได้แต่จ้องเขาด้วยความงุนงง นางไม่เคยจำเรื่องราวเหล่านี้ได้เลย แต่เขากลับเล่าได้ละเอียดอย่างไม่น่าเชื่อ อีกทั้ง…เรื่องสาเหตุที่เขาออกรบและไม่เคยยอมแพ้จนมีชีวิตรอดกลับมาก็ช่าง…เขายังกล่าวต่อไป “หลายปีผ่านไป ข้าคิดว่าเจ้าอาจลืมข้าไปแล้ว แต่ข้ากลับไม่เคยล
หลี่จือหลินไม่อยากให้นางตั้งกำแพงในใจอีก ไม่ว่าอย่างไรเขากับนางก็ลงเอยกันไปแล้ว ไม่ว่านางจะยินดีแต่งให้เขาหรือไม่ นางก็หนีไปไหนไม่ได้อีกแล้วอยู่ดี…ทว่าเขาเองก็ยังอยากให้นางแต่งให้เขาด้วยความยินดี ไม่ใช่ด้วยความไม่เต็มใจเช่นนั้นเขาค่อยๆ ปัดปอยผมที่ล้อมกรอบหน้านางออก บีบนวดเนื้อตัวที่ปวดเมื่อยจากการร่วมรักเมื่อคืนพลางพูดเบาๆ เมื่อรำลึกถึงความทรงจำเมื่อเนิ่นนานมาแล้ว“เจ้ารู้ไหมว่าทำไมข้าถึงยืนยันที่จะแต่งงานกับเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะอยากหนีข้าไปให้ไกลแค่ไหนก็ตาม” หลี่จือหลินเอ่ยขึ้น น้ำเสียงของเขาแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความหนักแน่น ดวงตาคู่คมมองลึกเข้าไปในดวงตาของเซียงหรงที่เต็มไปด้วยความเคลือบแคลง“จะยังมีอะไรได้ นอกจากความดื้อด้านอยากเอาชนะคะคานของท่าน” นางตอบเสียงแข็ง ลุกขึ้นนั่งหันหน้าหนีราวกับไม่อยากรับฟังคำใดจากเขาอีกแต่หลี่จือหลินไม่ได้โกรธ เขายิ้มบางๆ ก่อนจะลุกขึ้นนั่งเคียงข้างนาง แววตาอ่อนโยนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด“ไม่รู้เจ้ายังจำถังหูลู่ในเทศกาลหยวนเซียวได้หรือไม่”เซียงหรงขมวดคิ้วทั
“หรงเอ๋อร์…ชายหญิงร่วมเตียง จะเป็นอันใดกันได้ นอกจากสามีภรรยา” เขาพูดเสียงนุ่ม “อีกอย่าง เจ้าคิดว่าหากเฉินกั๋วกงได้ทราบ เขาจะไม่บังคับให้เจ้าแต่งงานจริงหรือ ต่อให้เป็นคุณชายใหญ่จวนเจ้าที่เจ้าคิดว่าจะเข้าข้างเจ้าแน่ๆ หากเป็นเรื่องนี้...เชื่อเถิดว่าเขาเองก็จะต้องเกลี้ยกล่อมให้เจ้ายอมแต่งให้ข้าเช่นกัน”คนฟังหน้าซีดเผือดลงทุกขณะ ยิ่งเมื่อเอ่ยถึงว่าเขาจะบอกบิดาและพี่ชายนางเกี่ยวกับเรื่องนี้ เซียงหรงก็ยิ่งรู้สึกราวกับถูกหลอกขึ้นมาทันทีไม่หรอก...ไม่ได้รู้สึก...นางถูกหลอกจริงๆ นั่นล่ะ!ใบหน้าหวานล้ำเผือดซีด ความเจ็บปวดตรงกึ่งกลางกายราวกับจะส่งเสียงหัวเราะเย้ยหยันความโง่เขลาของนางนางวิ่งวนอ้อมไปทั่ว แต่สุดท้ายแล้วก็กลับตกอยู่ในเงื้อมมือของเขาเช่นเดิมราวกับตัวตลก ราวกับสัตว์ที่ติดในกรง ต่อให้นางจะวิ่งไปข้างหน้าเช่นไร ก็มีเพียงกับดักที่รออยู่เท่านั้น“หากเจอท่านกั๋วกงแล้ว ข้าจะรีบปรึกษาว่าเราจะเร่งแต่งงานกันให้เร็วที่สุด ยังต้องหาฤกษ์ยาม ต้องดูก่อนว่าท่านพ่อตาต้องการสิ่งใดเป็นพิเศษ อ้อ
ยามรุ่งอรุณแรกของวันใหม่ แสงแดดอ่อนๆ สาดส่องลอดเข้ามาผ่านปากถ้ำ เสียงนกร้องแว่วดังจากบนยอดไม้ ช่วยเสริมให้บรรยากาศดูเงียบสงบ แต่ภายในถ้ำเล็กๆ นั้นกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลายที่ปะทุอยู่ในใจคนทั้งสองเฉินเซียงหรงค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาพร้อมความเจ็บปวดที่แล่นแปลบไปทั้งร่างเพียงนางขยับตัวเล็กน้อย ความเจ็บและเมื่อยล้าเนื้อตัว รวมถึงความปวดร้าวจากสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ทำให้นางข่มความเจ็บใจเอาไว้แทบไม่ไหว น้ำตาพลันเอ่อคลอเบ้าอีกครั้งหลี่จือหลินที่นอนตะแคงร่างหันหน้าเข้าหานางกลับอยู่อย่างเงียบๆ ใบหน้าหล่อเหลาที่มักประดับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์กลับดูซีดเซียวและเต็มไปด้วยความสำนึกผิด แววตาของเขาดูหม่นแสงราวกับแบกรับทุกความผิดบาปบนโลกนี้ไว้ "เจ้าเจ็บมากหรือไม่?" เสียงของเขาแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงเซียงหรงเบือนหน้าหนี ไม่อยากมองหน้าเขาอีกแม้แต่น้อยนางกัดริมฝีปากแน่น พยายามลุกขึ้นด้วยตนเอง แต่เพียงแค่ขยับตัวเพียงนิด กลางกายที่ยังคงทั้งบวมทั้งแดงก็ส่งความเจ็บปวดจนต้องทรุดฮวบลงไปอีกครั้งหลี่จือหลินรีบประคองนางไว้ เขากุมมือนางเบาๆ แต่เซียงหรงกลับสะบั
หลี่จือหลินนิ่งไปครู่หนึ่ง ดวงตาของเขาฉายแววความเจ็บปวดและสับสน ก่อนที่เขาจะถอนหายใจยาว ปล่อยนางให้เป็นอิสระ รู้สึกได้ถึงความชื้นแฉะที่อก…พอเดาได้ว่ารอยกระบี่ฟันซึ่งได้จากการร่วมต่อสู้กับกลุ่มนักฆ่าที่หานชิงเยว่ส่งมาสังหาร ‘ตงหลิน’ องครักษ์ที่เขาวางตัวให้คอยติดตามคุ้มกัน เฉินเซียงหรงในที่แจ้ง ปริแยกเพราะแรงผลักของนางเมื่อครู่“เจ้าไม่เข้าใจอะไรเลยสักนิด เฉินเซียงหรง” เสียงของเขาอ่อนลงเล็กน้อย “สำหรับข้า สัมพันธ์ระหว่างเราจะไม่ใช่และไม่มีทางเป็นสิ่งที่ทำเพื่อตัดความสัมพันธ์ แต่เป็นสิ่งที่ข้าหวังจะทำเพื่อให้เราสองคนผูกพันกันตลอดไป”เซียงหรงบอกอย่างปลดปลง “ท่านต่างหากที่ไม่เข้าใจอะไรเลยสักนิด เรื่องนั้นก็ช่างเถอะ สำหรับข้า ขอเพียงไม่ต้องแต่งงาน หากท่านเพียงอยากได้ร่างกาย ท่านก็เอามันไปเถิด”ขอเพียงไม่ต้องแต่งงาน...อย่างนั้นหรือ?เพียงเพื่อหลีกเลี่ยงเขา ต่อให้ต้องพลีกายให้ชายอื่น นางก็ไม่สนใจแม้จะต้องขึ้นเตียงกับเขา นางก็ยังดื้อด้านไม่ยอมแต่ง!หลี่จือหลินมองสตรีตรงหน้าด้วยแววตาเจ็บ