ลมหนาวต้นฤดูพัดผ่านซอกซอยในย่านเมืองเก่าของปักกิ่ง แสงไฟสีส้มจากร้านอาหารส่องลอดผ่านหน้าต่างไม้กลิ่นอายเรโทร เสียงเพลงแจ๊สคลอเบา ๆ ท่ามกลางเสียงหัวเราะของนักท่องเที่ยวทุกอย่างเหมือนฉากในหนังอาร์ต...ยกเว้น โต๊ะหนึ่งริมกระจก ที่ตอนนี้กำลังจะกลายเป็นคาเฟ่โชว์ร้องสดเวอร์ชันเมาเบียร์
“Cheers~”
เสียงแก้วกระทบกันเบา ๆ จากสองสาวไทย ที่ยกเครื่องดื่มขึ้นชนกันด้วยรอยยิ้มสดใส หัวเราะเฮฮาราวกับสนิทกันมาเป็นสิบปี ทั้งที่เพิ่งเจอกันไม่นานในแผ่นดินหิมะละลายแห่งนี้
ดวงใจ สาวไทยหน้าคม ผิวสีน้ำผึ้งเนียนตา อารมณ์ดี ยิ้มง่ายแต่ปากคม
ข้าวหอม หรือที่จีนรู้จักกันในชื่อ สวีฟ่านเฉียน ลูกครึ่งไทย-จีนที่เพิ่งย้ายมาอยู่จีนตอนอายุ 15 หลังแม่เสียชีวิต สองคนนี้เจอกันในช่วงชีวิตที่ต่างคนต่างมองหา "อะไรบางอย่าง" เลยเข้ากันได้ง่าย...เหมือนโชคชะตาจงใจพามาเจอ
“ชัยชนะครั้งนี้ จะกลายเป็นใบเบิกทางให้ร้านของเราแน่นอน เรากำลังจะมีแฟนคลับใช่ไหม!”
ดวงใจยิ้มร่า ประกาศอย่างภูมิใจสองสาวนัดกันมาฉลองที่ร้านริมถนนกลางเมือง หลังคว้าชัยจากการประกวดดีไซน์เนอร์หน้าใหม่
เหล้าเบา ๆ หลายแก้วเริ่มทำงาน แก้มแดงเริ่มขึ้น เสียงหัวเราะเริ่มดัง“แน่นอนอยู่แล้ว! Rice Design จงเจริญ!!” ข้าวหอมตะโกนตอบ พลางยกแก้วขึ้นอีกครั้ง
“จงเจริญ ตึง ตึง!”
“จงเจริญ ตึง ตึง!”
สองสาวทุบโต๊ะประกอบจังหวะกันอย่างออกรส คนโต๊ะข้าง ๆ หันมามองแบบงง ๆ แต่สองสาวไม่สนใจแล้ว...โลกของพวกเธอกำลังหมุนสนุก
“เธอกลับได้ไหม...ดวงจาย~อึก…” ข้าวหอมเสียงอ้อแอ้
“สะ สบม! แปลว่า...สบายมาก~ เอื้อก” ดวงใจยกแก้วพลางเบิกตากว้าง “บ้านฉันอยู่วิทยุ...ไม่สิ สุขุมวิทเจ็ดหนึ่ง! นั่ง BTS จ๊วดเดียวถึง!”
ข้าวหอมหลับตาปุ๊บ น้ำตาซึมทันที
“ฮึก ฮึก...แม่จ๋า...แม่ทิ้งหนูไว้คนเดียว ฮือ หนูคิดถึงแม่ แง้ แง้!”
“โอ๋ เอ๋...อย่าร้องนะ คงดีของดวงจาย~ ม่ายเป็งไร ลาวจะเป็งแม่ให้เธอเอง~” ดวงใจพูดเสียงอ่อน พร้อมยื่นมือกอดเพื่อนแน่น
ทั้งคู่พากันเดินเซซ้ายเซขวา ร้องเพลงไทยมั่ว ๆ ไปตามทางเดินที่มีไฟสลัว กลายเป็นภาพคอมเมดี้โรแมนติกที่อบอุ่นอย่างไม่น่าเชื่อ
เสียงหัวเราะผสมกับเสียงสะอื้น มือที่กอดกันแน่น ลมหนาวที่ปะทะใบหน้า...และความทรงจำที่กำลังถูกสร้างในคืนหนึ่ง ท่ามกลางมหานครที่ไม่เคยหลับ
จากนั้นภาพก็ตัดไป
เช้าวันต่อมา – ภายในห้องพักของเกสต์เฮาส์กลางปักกิ่ง
แสงแดดอ่อนยามเช้าส่องลอดม่านผ้าลงมากระทบปลายเท้าเล็กที่โผล่พ้นผ้าห่ม กลิ่นหอมของกาแฟลอยเจือในอากาศปะปนกับกลิ่นน้ำหอมจาง ๆ ของใครบางคน
“อื้อ~ หอมจังเลย”
เสียงงัวเงียดังขึ้นจากร่างบางที่พลิกตัวไปมาบนเตียงกว้าง โดยที่เธอไม่รู้เลยว่า...นี่ไม่ใช่เตียงของตัวเอง
ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงปลายเตียง มองภาพนั้นเงียบ ๆ ดวงตาคมทอดมองคนตัวเล็กที่นอนกลิ้งไปมาด้วยสายตาเอ็นดู มุมปากของเขาโค้งขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
‘น่ารัก…เกินไปแล้ว’
จังหวะหัวใจของเขาเต้นเร็วขึ้นโดยไม่มีเหตุผล จนเขาเริ่มกลัวว่าคนตรงหน้าจะได้ยินเสียงมัน
ทันใดนั้น—
“เห้ย!!!” เสียงร้องหลงดังลั่น ข้าวหอมเด้งตัวขึ้นนั่งพับเพียบแทบจะในทันที ดวงตาเบิกกว้าง ขณะที่จ้องใบหน้าของชายหนุ่มตรงหน้าอย่างตกใจสุดขีด
...แต่แล้ว เธอกลับยิ้มกว้างขึ้นอย่างมีความหวัง
“ดาวใจ~ เธอสั่ง สแตนดี้ไดออน มาเซอร์ไพรส์ฉันใช่มั้ย!” เธอพูดพลางหัวเราะคิก ขยับตัวลงจากเตียงอย่างช้า ๆ เดินเข้าไปใกล้ร่างสูงตรงหน้าที่นั่งนิ่งอยู่ด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
เขาไม่ขยับ เพียงแต่ลอบยิ้มมุมปาก เพราะรู้แล้วว่าร่างบางตรงหน้ากำลัง “เมาค้าง”
และน่ารักชะมัด…
หมับ! จุ๊บ! ก่อนที่เขาจะตั้งตัวทัน เธอก็พุ่งเข้ากอด พร้อมกับจูบเขา...เต็ม ๆ ปาก
วินาทีนั้น...สมองของไดออนขาวโพลน ร่างกายแข็งทื่อเหมือนถูกสาป ดวงตาเบิกกว้าง ริมฝีปากที่ถูกสัมผัสอุ่น ๆ ยังไม่ทันได้ขยับ
แต่พอได้สบตากับเธอ…สายตาใส ๆ คู่นั้น ประกายระยิบระยับราวกับแสงแรกของเช้าวันใหม่
เขาไม่ลังเล มือใหญ่ยกขึ้นประคองท้ายทอยของเธอเบา ๆ และโน้มตัวลง กดจูบกลับลงไปอย่างแผ่วเบา อ่อนโยนแต่เต็มไปด้วยแรงปรารถนา
ตึกตัก… ตึกตัก…เสียงหัวใจของหญิงสาวดังก้องอยู่ในอก ข้าวหอมเคลิ้มตาปรือ…พร้อมจะตอบรับอารมณ์ทั้งหมดที่กำลังถาโถม
แต่ก่อนที่ทุกอย่างจะเลยไปไกล…
ครืน... ครืน... ครืน...
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นจากโต๊ะข้างเตียงทำให้เขาชะงัก ถอนริมฝีปากออกอย่างเสียดาย สายตาเขายังคงจ้องใบหน้าของหญิงสาวตรงหน้า เหมือนไม่อยากขยับไปไหน
แต่สุดท้าย…เขาก็ถอนหายใจ ลุกขึ้นหยิบโทรศัพท์ แล้วเดินออกจากห้องไป
ข้าวหอมยังยืนงงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่สติจะเริ่มประมวลผล…
“โอ๊ยยย!!! นี่ฉันทำอะไรลงไป…”
ไม่กี่นาทีถัดมา เธอเก็บข้าวของอย่างเงียบเชียบ พยายามย่องออกจากห้องให้เบาที่สุดราวกับขโมยขึ้นบ้าน
บนถนนใหญ่ใจกลางปักกิ่งผู้คนเดินสวนไปมา เสียงรถดังไม่ขาดสาย แต่ในหัวเธอตอนนี้ ไม่มีเสียงใดดังเท่ากับเสียงในใจตัวเอง
“เมาเหมือนหมาเลยแก! เขาจะคิดยังไง โอ๊ย ข้าวหอม…จบแล้ว จบบบบบ!”
เธอซุกหน้าเข้ากับฝ่ามือตัวเอง ขณะเดินหลบสายตาผู้คนออกจากเกสต์เฮาส์หรู ที่เธอ...ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเข้าไปอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่
ไดออน...คนที่เธอเคยติดตามมาตั้งแต่เดบิวต์ คนที่เธอไม่เคยไปคอน ไม่เคยตามตาราง แต่เธอชอบเขา…เพราะเขาเป็นเขา
วันนี้…เธอดัน “จูบเขา” ก่อนด้วยอาการเมา และหัวใจที่ยังไม่ตื่นดี
“ฉันควรลืมเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด…” แต่หัวใจเธอกลับเต้นแรงขึ้นทุกครั้งที่นึกถึงแววตาคู่นั้น
…จะลืมได้ยังไงในเมื่อมันคือจูบแรก และเป็น “คนที่เธอแอบชอบมาทั้งชีวิต”
หลังจากที่ข้าวหอม เก็บกล่องปริศนา ระยะห่างระหว่างเธอกับโต๊ะที่เต็มไปด้วยเพื่อน…เหมือนเพิ่มขึ้นกว่าความเป็นจริง ปลายทางของการเดิน เธอหยุดอยู่ตรงมุมหนึ่งหลังฉากผ้าม่าน ซึ่งมีเพียงไดออนยืนพิงกำแพงอยู่อย่างเงียบ ๆ เขาเงยหน้าขึ้นเพียงเล็กน้อยเมื่อเห็นเธอเดินมา ไม่ได้เอ่ยคำใดออกมาสักนิด มีเพียงแววตาอ่อนโยนคู่นั้นที่สื่อความหมายมากมายจนไม่ต้องพูด เขาเบี่ยงตัวออกเล็กน้อย...เป็นการเปิดทางให้เธอเดินผ่าน แต่เธอกลับหยุดยืนตรงหน้าเขา ระยะห่างระหว่างพวกเขานั้น…แค่นิดเดียว แต่ในใจเหมือนยังมีคำบางคำที่แขวนอยู่กลางอากาศ “มีอะไรหรือเปล่า…” ไดออนถามเสียงเบา เขาไม่ได้จ้องหน้าเธอตรง ๆ แต่หันหน้าเล็กน้อยเหมือนเกรงว่าการจ้องจะรบกวนความรู้สึกเธอ ข้าวหอมหยุด หันมาสบตาเขา ไม่มีคำพูด ไม่มีรอยยิ้ม ไม่มีแม้กระทั่งสีหน้า แต่แววตาของเธอกลับสั่นไหวชัดเจน เธออยากพูด แต่คำที่อยู่ในใจกลับแน่นจนเปล่งออกมาไม่ได้ ไดออนถอนหายใจเบา ๆ เขาไม่ได้เร่งเร้า และไม่ควรถามซ้ำ “ถ้าคุณไม่อยากเล่า…ก็ไม่เป็นไรนะครับ” เขาเอ่ยเสียงเรียบ “แต่ถ้าเมื่อไหร่คุณรู้สึกเหนื่อย…ผมยังคงอยู่ตรงนี้เหมือนเดิม” ข้าวหอมกัดริมฝีปากแน่น แววตาเริ
เสียงชัตเตอร์ดังระรัว ไฟแฟลชวูบวาบไปทั่วล็อบบี้งานแสดงแฟชั่นกลางกรุงโซล พรมเทียมสีทองอ่อนทอดยาวอย่างสง่างาม คนดังทยอยก้าวเดินผ่าน ราวกับแต่ละคนถือบทบาทของตนเองบนเวทีที่ไม่มีสคริปต์ นักข่าวชะเง้อคอเล็งกล้องตามรายชื่อที่ทุกคนจับตามอง—“ดีไซเนอร์สาวดาวรุ่ง” กับ “ศิลปินชายระดับโลก” ที่จะเปิดตัวร่วมกันเป็นครั้งแรก ในขณะที่ด้านหน้าเวทีเต็มไปด้วยเสียง ความเคลื่อนไหว และแสงจ้า...เบื้องหลังกลับนิ่งสนิทอย่างน่าประหลาด ข้าวหอมนั่งอยู่หน้ากระจกโต๊ะเมคอัพ ท่ามกลางเงาสะท้อนของไฟแต่งหน้าที่ขับให้สีหน้าเธอยิ่งดูซีดลง มือข้างหนึ่งกุมสเก็ตสุดท้ายแน่น—มันคือชุดฟินาเล่ที่เธอลงรายละเอียดทุกฝีเข็ม ทุกรอยตะเข็บคือคำที่ไม่ได้พูดออกไป ทุกเส้นด้ายคือความอดทนที่ไม่เคยมีใครเห็น “คุณต้องไปดูโชว์ข้างหน้าแล้วค่ะ ดีไซเนอร์หลัก” เสียงของมินยงดังขึ้นเบา ๆ ราวกับกระซิบข้างหลัง “ถึงจะอยากหลบหน้าเขาแค่ไหน ก็ต้องยืนข้างกันให้คนเห็นนะ...” ข้าวหอมไม่ตอบ เธอเพียงสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วลุกขึ้นช้า ๆ หัวใจเต้นแรงอย่างควบคุมไม่ได้ ขาทั้งสองก้าวออกจากเก้าอี้ แต่ใจยังเหมือนติดอยู่กับอะไรบางอย่างในเงาของกระจก อีกฟากหนึ่งข
ฮอลล์ซ้อมโชว์แฟชั่นก่อนวันจริงเต็มไปด้วยเสียงสั่งงาน เสียงรองเท้ากระทบพื้น เสียงผ้าที่ถูกปรับทรงบนหุ่น และเสียงหายใจของทีมงานที่เริ่มเครียดขึ้นเรื่อย ๆ ทุกมุมของพื้นที่ดูวุ่นวายเหมือนภาพยนตร์ที่ถูกเร่งสปีด ฉากหน้าคือความงดงามเบื้องหลังเวที แต่ฉากหลัง…คือความวุ่นวายที่ไม่เคยบอกใครมินยงเดินเข้ามาพร้อมแฟ้มหนาในมือ สวมสูทเข้ารูปสีเขียวหม่นทรงเฉียบ กับรองเท้าส้นสูงเสียงดังฉับ ๆ จนทุกคนในห้องรู้สึกได้โดยไม่ต้องเงยหน้าดวงตาเธอกวาดมองรอบห้องอย่างเฉียบคม ก่อนเสียงแรกจะดังขึ้นด้วยน้ำเสียงมั่นใจ“ชุดเปิดโชว์ยังไม่ขึ้นงานจริงเหรอ?”เสียงฝีเท้าหยุดลงหน้าโต๊ะคุมแสง“ตัวเดินปิดยังไม่มีคนลอง?”จากนั้น...เสียงสุดท้ายก็ตามมาอย่างเฉียบขาด“แล้วแบบนี้จะขึ้นโชว์พรุ่งนี้ยังไงคะ?”ความเงียบปกคลุมในเสี้ยววินาที ทุกคนเหมือนหยุดหายใจกลัวว่าเสียงของตัวเองจะเป็นเป้าถัดไปแน่นอนว่า…ความกลัวไม่ได้มีผลกับ บางคน“ถ้าขาดนายแบบ...ฉันแนะนำตัวเองได้นะ”เสียงยองบอมลอยขึ้นจากมุมโซฟาพักทีมงาน เขายกขาขึ้นพาดโต๊ะ ยืดอกเต็มท
ประตูกระจกเลื่อนเปิดเบาๆเสียงรองเท้ากระทบพื้นยางสะท้อนไปในห้องซ้อมใหญ่ที่ตอนนี้มีเพียงแสงไฟสลัวข้าวหอมกับไดออนเดินเข้ามาพร้อมกันโดยไม่พูดอะไร บรรยากาศระหว่างทั้งสองดูเรียบ...แต่ไม่เหมือนเดิมและแน่นอน—พวกเขาไม่รู้เลยว่า...“พวกแก! เงียบก่อน ๆ! มาแล้ว ๆ!”เสียงกระซิบที่ไม่ได้พยายามกระซิบเลยสักนิดดังขึ้นจากมุมห้อง ม่านผ้าด้านหลังฉากมีเงา 3 เงาโผล่หัวเรียงกันแบบผิดธรรมชาติสุด ๆคิมโฮนั่งกอดกล่องป๊อปคอร์น (ที่ไม่มีใครรู้ว่าไปขโมยจากใครมา)คริสต์นั่งไขว่ห้างท่าเป๊ะเหมือนผู้ดีอังกฤษ แต่ไหล่สั่นเพราะกลั้นหัวเราะไม่ไหว ส่วนยองบอม...ยกมือถือขึ้นอย่างมีพิรุธ ก่อนจะโดนเพื่อนทั้งสองปัดตกจากมือแทบไม่ทันข้าวหอมหยุดเท้า มองภาพเบื้องหน้าอย่างอึ้ง ๆ แล้วหลุดยิ้ม“...พวกคุณยังไม่กลับกันอีกเหรอคะ?”น้ำเสียงของเธอนุ่ม เรียบ แต่แฝงอารมณ์แบบ “ครูประจำชั้นเรียกเด็ก หลังห้องที่กำลังจับกลุ่มคุยกัน”“ก็แหม…”ยองบอมกระแอม ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้“ใครจะกลับลงคอ...ในเมื่อไฟในใจมันยังไม่มอด!”คิมโฮพย
ผืนผ้าสีเงินวาววับวางทอดอยู่บนโต๊ะเย็บตัวอย่าง แสงแดดอ่อนของบ่ายคล้อยส่องกระทบจนเส้นด้ายสะท้อนแสงระยิบ แต่ในดวงตาของข้าวหอมกลับไม่มีแววตื่นเต้นอย่างเคยเธอนั่งนิ่งอยู่มุมหนึ่งของห้องเวิร์กช็อป โต๊ะรอบข้างว่างเปล่า ทีมงานแยกย้ายไปเตรียมงานด้านนอก เหลือเพียงเสียงเครื่องปรับอากาศเบา ๆ กับกลิ่นผ้าซักใหม่จาง ๆ ที่ลอยมากระทบจมูกเธอมองปลายเข็มในมือที่ยังปักคาไว้ตรงชายกระโปรงต้นแบบ…แต่มือกลับไม่ขยับเลยสักนิด“ฉันไม่อยากได้คำขอโทษ…แต่กลับอยากรู้ว่าเขาเคยพยายามจะฟังฉันบ้างไหม”“ในคืนนั้น…เขาไม่ถามอะไรเลย นอกจากคำว่า ‘เราเลิกกันเถอะ’”ปลายนิ้วเธอลูบเนื้อผ้าอย่างแผ่วเบา ราวกับกำลังใช้สัมผัสปลอบใจตัวเองแทนคำพูดทุกครั้งที่เธอพยายามลืม ทุกอย่างกลับวนมาสู่ภาพเดิม—ห้องโรงแรม แสงสลัว ร่างเขายืนอยู่ตรงประตู ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยคำตัดสิน โดยไม่มีแม้แต่โอกาสให้เธอพูดอธิบาย“ฉันไม่ได้หายไปไหน…”เสียงในหัวกระซิบอีกครั้ง “...แต่เขาต่างหากที่เป็นคนหันหลังให้”เสียงฝีเท้ากระทบพื้นยางเบา ๆ ดังขึ้นจากมุมประตู ข้าวหอมไม่ได้หันไป
แสงไฟภายในฮอลล์ค่อย ๆ ดับลงเหลือเพียงสปอร์ตไลต์ที่ฉายตรงกลางเวที เสียงดนตรีท่อนแรกของโชว์ดังขึ้น — จังหวะผสมระหว่างกลองจีนกับอิเล็กทรอนิกส์ที่ไดออน เป็นคนออกแบบร่วมกับทีมเสียงทุกอย่างดูพร้อมทุกคนดูนิ่ง แต่หัวใจบางคน…กลับไม่ได้สงบตามจังหวะเพลงข้าวหอมนั่งอยู่หลังฉาก คอยดูรายละเอียดการเคลื่อนไหวของนางแบบ ดวงตาเธอมองขึ้นเวทีอย่างมืออาชีพแต่ในใจ…กำลังฟังเสียงที่คุ้นเคยจากคนที่ยืนหลังไมค์ — ไดออนเสียงที่เคยกระซิบข้างหูในคืนที่ไม่มีใครอยู่ เสียงที่เธอเคยคิดว่าจะไม่มีวันได้ยินในชีวิตนี้อีกหลังจบซ้อมรอบแรก ทีมงานแยกย้ายปรับจุด เวทีว่างชั่วครู่ ไฟบนเวทีเปิดเพียงครึ่งเดียวข้าวหอมเดินขึ้นไปตรวจความเรียบร้อยบนรันเวย์ ในมือถือสมุดจดที่เต็มไปด้วยโน้ต แต่ยังไม่ทันตรวจเสร็จ ใครบางคนก็เดินขึ้นมาข้าง ๆ“ห่างไปนาน…แต่เธอยังเดินรันเวย์ได้คล่องเหมือนเดิมนะ”เธอหันขวับ พบว่าเป็นไดออนที่ยืนยิ้มบาง ๆ แสงจากข้างหลังเขาทำให้รอยยิ้มดูจาง...แต่ชัดพอให้ใจเธอสะดุดข้าวหอมพยักหน้าเบา ๆ“ฉันทำงานนี้ทุกวัน จะให้ลืมวิธีเดิ