ในโลกที่เกิดการแก่งแย่งครอบครองดินแดนระหว่างมนุษย์และแวมไพร์ มนุษย์ทั้งหลายต่างพ่ายแพ้ ในดินแดนแห่งนี้มี 2 เผ่าพันธ์อาศัยอยู่ร่วมกัน คือมนุษย์และแวมไพร์ มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่แวมไพร์รังเกียจ สำหรับคนอ่อนแอมักจะถูกกลั่นแกล้งและดูดเลือดจนสิ้นชีวิตทุกครั้ง แวมไพร์ทั้งหลายต่างมองหามนุษย์ที่จะมาเป็นผู้รับใช้โลหิตให้แก่ตนเอง นั่นหมายความว่ามนุษย์ผู้นั้นจะต้องพร้อมให้แวมไพร์ตนนั้นดูดเลือดได้ตลอดเวลาที่เขาต้องการ "ไคน์" เจ้าชายแวมไพร์ของตระกูลเคลล็อกก์ที่ตอนนี้กำลังเตรียมตัวที่จะเข้าแข่งขันเป็นผู้สืบทอดเพื่อเป็นราชาแวมไพร์ผู้ปกครองสูงสุดของดินแดนแห่งนี้ เขาปกครองมหาวิทยาลัยประจำเมือง ซึ่งมหาวิทยาลัยแห่งนี้มีทั้งมนุษย์และแวมไพร์เรียนอยู่ร่วมกัน "ไอรีน" สาวน้อยที่ชะตาชีวิตน่าสงสาร น้องชายของเธอป่วยเป็นโรคร้ายที่ยากจะรักษาส่วนพ่อและแม่ของเธอนั้นถูกเหล่าแวมไพร์ทำร้ายจนสิ้นชีวิตไปต่อหน้าต่อตาของเธอและน้องชาย เมื่อครั้งที่เกิดการแก่งแย่งดินแดนแห่งนี้ เธอเลือกที่จะเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยประจำเมืองเพราะเป็นความใฝ่ฝันของน้องชายแต่เขาไม่สามารถเข้าเรียนได้เพราะต้องนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาล แต่ในวันหนึ่งเธอดันไปเห็นไคน์ เจ้าชายผู้ปกครองมหาวิทยาลัยแห่งนี้กำลังดูดเลือดหญิงสาวผู้หนึ่งจนเธอสิ้นชีพต่อหน้าต่อตาในห้องชมรมศิลปะเมื่อเธอโดนเขาจับได้จึงถูกเขานำไปไว้ที่คฤหาสน์
ดูเพิ่มเติมทั่วทั้งดินแดนถูกปกคลุมด้วยความมืดมิด การต่อสู้แก่งแย่งเพื่อที่จะได้เป็นผู้ครอบครองดินแดนของทั้ง 2 เผ่าพันธุ์นั้นมีมานานหลายสิบปี และแล้ววันตัดสินชี้ชะตาในวันนี้ก็มาถึง เหล่าแวมไพร์ทั้งหลายสามารถเอาชนะการต่อสู้อันแสนยาวนานนี้ได้ พวกมนุษย์จึงต้องตกเป็นของเล่นของเหล่าแวมไพร์นับตั้งแต่นั้นมา
หลายชีวิตต้องหนีเอาตัวรอด หากหนีไม่พ้นก็มีเพียงความตายเท่านั้นที่จะมาเยือนพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย หากใครที่คิดจะหลบหนีและถูกจับได้ พวกแวมไพร์ก็จะลงมือฆ่าได้อย่างเลือดเย็น
“รีบหนี รีบหนีเดี๋ยวนี้!!!”
“หนีเร็ว....วิ่งเร็ว!!”
สามีภรรยาคู่หนึ่งกำลังหลบลูกหนีตาย จากการถูกเหล่าแวมไพร์ไล่ล่า ทั้งคู่วิ่งหลบหนีอย่างไม่คิดชีวิตไปจนถึงโกดังเก็บของเก่าๆ แห่งหนึ่ง หญิงสาวอุ้มลูกสาวและลูกชายของเธอบรรจงวางลงไว้ภายในโกดัง และใช้สิ่งของที่อยู่ภายในนั้นบังกายลูกของเธอเอาไว้
“ลูกทั้งสองฟังแม่นะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นห้ามออกมาข้างนอกเด็ดขาด”
“แล้วแม่กับพ่อล่ะคะ”
เด็กหญิงเอ่ยถามผู้เป็นแม่เมื่อเห็นว่าผู้เป็นแม่กำลังจะลุกขึ้นเดินไปจากเธอและน้องชายที่นั่งกอดกันกลมตัวสั่นงันงกอย่างหวาดผวา
“ไม่ต้องถามแล้ว ดูแลน้องให้ดี และห้ามส่งเสียงดังเด็ดขาด”
“ที่รักช่วยป้องกันไว้ เร็วเข้า!! พวกแวมไพร์กำลังจะทลายกำแพงเข้ามาได้แล้ว!!”
เสียงผู้เป็นสามีดังขึ้น หญิงสาวรีบปิดประตูห้องนั้น เธอวิ่งออกมาสมทบกับสามี สองมือจับไม้หน้าสามท่อนหนึ่งไว้แน่นเผื่อเป็นสิ่งป้องกันตัว เธอหันกลับไปด้านหลังอีกครั้ง สายตามองไปที่ประตูที่ถูกปิดทึบด้วยความห่วงหาอาวรณ์
“ขอโทษนะ แต่ลูกทั้งสองคนจะต้องมีชีวิตอยู่ ใช้ชีวิตที่เหลือแทนพ่อกับแม่ด้วยนะลูก”
“พวกแกจะทำอะไร!! ฉันไม่กลัวพวกแกหรอก พวกแวมไพร์สกปรก”
เสียงของชายหนุ่มดังขึ้นเมื่อพวกแวมไพร์นักล่าพังทลายกำแพงเข้ามาได้สำเร็จ เขายกไม้ท่อนใหญ่ขึ้นมาป้องด้านหน้า ต่อให้ชีวิตนี้ต้องตาย ขอเพียงได้ปกป้องบุตรและภรรยาผู้เป็นที่รักก็เพียงพอแล้ว
--- เอือกกก!!! ---
---กรี๊ดดด!!!---
มีดดาบยาวถูกฟาดฟันลงไป ทุกอย่างถูกฉายให้เห็นผ่านดวงตาของเด็กหญิงวัย 8 ขวบ ที่แอบมองผ่านรูขนาดเล็กภายในห้องที่หลบซ่อนตัว ทั้งพ่อและแม่ถูกมีดดาบยาวฟาดฟันจนเลือดสาดกระเซ็นและล้มลงแน่นิ่งไปต่อหน้าต่อตา เด็กหญิงรีบเอามือเล็กปิดปากตัวเองและน้องชายวัย 4 ขวบเอาไว้แน่นเพราะเกรงว่าจะเผลอร้องออกมาจนพวกแวมไพร์นักล่าตามเข้ามาเจอ
“นี่เรา...ฝันถึงเรื่องนั้นอีกแล้ว....”
หญิงสาววัย 18 ปี สะดุ้งตื่นขึ้นมาท่ามกลางห้องเรียนภายในมหาวิทยาลัยประจำเมือง เธอเผลอหลับไปในช่วงพักกลางวันด้วยความเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานหาเงินมาเพื่อรักษาน้องชายที่ป่วยเป็นโรคร้ายที่ยากจะรักษา
“ไอรีน” เด็กสาวที่กำพร้าพ่อแม่ เธอและน้องชายได้รับการอุปการะจากคุณป้าใจดีท่านหนึ่ง เธอเป็นมนุษย์ที่อาศัยอยู่ในดินแดนแห่งนี้ ชีวิตในแต่ละวันของเธอนั้นต้องอดทนทำงานหาเงินเพื่อนำมารักษาอาการเจ็บป่วยของน้องชาย และยังต้องทนเป็นเบี้ยล่างของพวกแวมไพร์ที่มหาวิทยาลัยแห่งนี่อีกด้วย
“พวกเธอรู้ไหม ความใฝ่ฝันอันสูงสุดของฉันคือได้เป็นผู้รับใช้โลหิตให้แก่เจ้าชาย”
“เลือดของเธอ รสชาติคงจะแย่น่าดู เจ้าชายน่าจะดื่มไม่ลงหรอก ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
เสียงพูดคุยของเพื่อนร่วมห้องดังขึ้น ภายในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นโดยตระกูลเคลล็อกก์ ถูกปกครองโดยเจ้าชายคิงส์ ผู้ซึ่งเป็นแวมไพร์หนุ่มหล่อ ดำรงตำแหน่งเป็นอธิการบดีของมหาวิทยาลัย และเขาได้มอบหมายให้น้องชายของเขาอย่างเจ้าชายไคน์ ปกครองดูแลความสงบเรียบร้อยภายในมหาวิทยาลัยแห่งนี้
เมืองนี้มีทั้งมนุษย์และแวมไพร์อาศัยอยู่ร่วมกัน พวกมนุษย์ต้องตกเป็นเบี้ยล่างให้แก่เหล่าแวมไพร์อยู่เสมอ หากใครที่ขัดขืนหรือต่อต้านก็จะถูกทำร้ายอย่างทารุณและเลือดเย็น ในมหาวิทยาลัยประจำเมืองแห่งนี้ก็เช่นกัน
ไอรีนนั่งฟังเพื่อนร่วมห้องของเธอพูดคุยกันก็รู้สึกขยะแขยง เธอเกลียดพวกแวมไพร์ชนิดที่ตายก็ไม่เผาผี หากเลือกได้เธอก็คงไม่เรียนที่นี่ให้ถูกข่มเหงหรอก แต่ที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้คือความใฝ่ฝันทั้งหมดของน้องชายที่เธอรักที่ตอนนี้ป่วยเป็นโรคร้าย กำลังนอนรักษาตัวอยู่ที่บ้าน และเทียวเข้าออกโรงพยาบาลเป็นว่าเล่น ทั้งชีวิตของเธอเหลือแค่น้องชายเพียงคนเดียวแล้ว เธอต้องเรียนให้จบจากที่นี่ให้ได้เพื่อสานฝันของน้องชายให้สำเร็จ
ในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ พวกแวมไพร์มักจะรังแกมนุษย์ผู้อ่อนแออยู่เสมอ ไอรีนเข้าใจสิ่งนี้ดีเพราะเธอเองก็เป็นคนหนึ่งที่ถูกรังแกกดขี่ไม่เว้นแต่ละวัน เธอไม่เข้าใจผู้หญิงพวกนั้นเสียจริง พวกแวมไพร์มีอะไรดีทำไมผู้หญิงเหล่านี้ถึงกับยอมมอบกายถวายชีวิตให้ขนาดนั้น
“นี่เธอ! เอานี่ไปส่งที่ห้องชมรมศิลปะหน่อยสิ ให้ไวล่ะ”
เสียงของเพื่อนชายร่วมห้องคนหนึ่งพูดขึ้นก่อนจะโยนเอกสารกองโตใส่มือเธอโดยไม่รอฟังคำตอบ ไอรีนรับเอกสารนั้นอย่างจำยอมและเดินตรงไปที่ห้องชมรมศิลปะแต่โดยดี ถึงเธออยากจะปฏิเสธแค่ไหน แต่เธอก็ไม่กล้าเอ่ยถ้อยคำปฏิเสธออกไป เพราะการที่ตกเป็นเป้าของเหล่าแวมไพร์นั้นมันช่างน่ากลัว
“ทำไมต้องเป็นฉันที่โดนกดขี่รังแกอยู่ร่ำไป”
เธอตัดพ้อด้วยความน้อยใจในโชคชะตา เธออยากจะเข้มแข็งและกล้าต่อต้านพวกแวมไพร์เหล่านี้ แต่เธอก็กลัว กลัวว่าชีวิตของเธอและน้องชายจะต้องลงเอยเหมือนพ่อและแม่ของเธอเมื่อ 10 ปีที่แล้ว
ประตูห้องชมรมศิลปะถูกเปิดออกเล็กน้อย คนตัวเล็กยังไม่ทันได้ก้าวเข้าไปภายในห้องนั้น เธอกลับได้ยินเสียงเหมือนมีคนกำลังทำอะไรสักอย่างอยู่ เธอแอบดูก็เห็นว่ามีหญิงสาวผู้หนึ่งล้มลงและแน่นิ่งไป ตามมาด้วยคำพูดของใครบางคน
“ไม่ได้เรื่อง!! หึ!”
“ไคน์” เจ้าชายผู้ปกครองมหาวิทยาลัยแห่งนี้เอ่ยขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ ไม่ว่าจะเป็นหญิงสาวคนไหน รสชาติเลือดสาวของพวกเธอเหล่านั้นก็ช่างไม่ถูกปากเขาเอาเสียเลย ไม่มีความหอมหวาน นอกเสียจากรสขมและฝาดเต็มลิ้น แวมไพร์หนุ่มหล่อร่างสูงยกมือขึ้นปาดเลือดที่เลอะริมฝีปากออกอย่างใจเย็น พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นหญิงสาวคนหนึ่งที่ยืนมองอยู่หน้าประตูห้อง
“เธอคนนั้น เข้ามานี่!!...”
---ปึ้ง!!!---
คนตัวเล็กรีบปิดประตูเสียงดังปึ้งด้วยความตกใจ เธอรีบวิ่งออกไปจากบริเวณนั้นอย่างไม่คิดชีวิต เอกสารที่ถืออยู่ในมือหล่นกระจัดกระจายไปตามรายทาง
“เขาเป็นแวมไพร์!! ทำไมฉันต้องมาเห็นภาพที่น่าขยะแขยงแบบนี้ด้วย”
เธอวิ่งโดยที่ไม่ดูทางเบื้องหน้าเลยว่ามีสิ่งกีดขวางอยู่หรือไม่ ไม่นานก็วิ่งไปชนเข้ากับเสาต้นใหญ่และล้มลง
“ฉันเรียกเธอ เธอกล้าหนีฉันเหรอ? หึ! ช่างกล้านัก”
ผู้ที่ตามออกมาจากห้องชมรมศิลปะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ดุดันเมื่อเขาเอื้อมมือไปจับไหล่คนตัวเล็กและบีบมันอย่างรุนแรง
“โอ๊ย!!! ปล่อยฉันนะ...ปล่อย”
เธอพยายามขัดขืนและสะบัดมือหนานั้นออกแต่ก็ไม่เป็นผลแต่อย่างใด
“เสแสร้งแกล้งทำเป็นว่าบริสุทธิ์ไร้เดียงสาอย่างนั้นเหรอ แบบเธอก็คงไม่ต่างจากผู้หญิงพวกนั้นที่รอถ่างขาพร้อมมอบทั้งเลือดและร่างกายให้ฉันหรอก หึ!! แต่ก็นะลองเปลี่ยนมาเป็นแบบสาวที่ดูไร้เดียงสาบ้างก็คงไม่เลว”
สิ้นเสียงนั้น ร่างสูงก็เอื้อมมือไปจับมือข้อเล็กไว้แน่น เขายกข้อมือเล็กขึ้นมาพร้อมกับใช้ลิ้นร้อนเลียไปตามฝ่ามือนั้น ทำเอาคนตัวเล็กถึงกับขนลุกซู่เมื่อโดนสัมผัส
“อื้ม...กลิ่นกายของเธอไม่เลวเลยนี่...หอม กลิ่นหอมนี่มัน...”
แวมไพร์หนุ่มค่อยๆ ลูบไล้ไปตามเรียวขาขาว มือหนาลากไล่ไปจนรุกล้ำเข้าไปใต้กระโปรงพีชสั้นที่เธอสวมใส่
“ยะ...หยุดนะ!!”
“หึ!! ผู้หญิงเช่นเธอควรจะขอบคุณฉันมากกว่านะ ที่ทำให้เธอเป็นผู้โชคดีที่ถูกฉันเลือกในครั้งนี้ ไม่ว่าใครก็พร้อมยอมพลีร่างกายให้ฉันอยู่แล้ว อย่ามาทำเป็นใสซื่อหน่อยเลยน่า”
ดวงตาคู่สวยจับจ้องไปที่ใบหน้าอันหล่อเหลา สายตาของเธอประสานเข้ากับดวงตาสีเขียวที่ค่อยๆเปลี่ยนไปเป็นสีแดง พลันความคิดนึกถึงอดีตเมื่อ 10 ปีที่แล้วก็โลดแล่นเข้ามาในหัวอีกครั้ง
ภาพแวมไพร์นักล่าเนื้อตัวเปือดเปื้อนไปด้วยเลือดสีแดงฉานที่ลงมือสังหารผู้เป็นพ่อและแม่ของเธอโลดแล่นเข้ามายังโสตประสาท แววตาสีแดงก่ำนั้นช่างไม่ต่างกันกับแววตาที่เธอเห็นในตอนนั้นเลย
“ปล่อย!! เอามือที่น่าขยะแขยงของนายออกไปนะ!!”
---เพี๊ยะ!!!---
ฝ่ามือเล็กฟาดลงไปที่ใบหน้าหล่อคมอย่างรุนแรงจนเล็บยาวของเธอไปบาดแก้มของแวมไพร์หนุ่มจนมีเลือดไหลซิบออกมา ไคน์ยกมือขึ้นปาดเลือดบนแก้มนั้นช้าๆ เขายกยิ้มจนเห็นเขี้ยวอันแหลมคม แววตาที่แดงก่ำปรากฎขึ้นอีกครั้ง
“หึ!! แรงเยอะดีนี่ ดีเลย!! ยินดีด้วยสาวน้อย เธอทำให้ฉันโมโหสำเร็จแล้ว เป็นของฉันดีๆไม่ชอบสินะ”
มือหนาฉุดกระชากแขนเรียวของคนตัวเล็กให้เดินตามเขาไป ไม่ว่าเธอจะขัดขืนต่อต้านเพียงใดแต่เรี่ยวแรงอันน้อยนิดนั้นก็ไม่สามารถสู้แรงของเจ้าชายแวมไพร์อย่างเจ้าชายไคน์ได้เลย
“ตามมานี่!!! เธออยากลองดีกับฉันใช่ไหม ได้สิ ได้เลย!!”
เขาตะคอกเสียงดังพร้อมยื้อยุดฉุดกระชากคนตัวเล็กด้วยความรุนแรง ไคน์ลากเธอออกมาที่ริมระเบียงใหญ่ที่เป็นจุดศูนย์กลางของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ ท่ามกลางสายตาของนักศึกษามากมายที่เป็นทั้งมนุษย์และแวมพร์ เสียงอันทรงพลังก็ประกาศกร้าวขึ้น
“ทุกคนในมหาวิทยาลัยแห่งนี้จงฟังฉันให้ดี!! นับจากวันนี้เป็นต้นไป ผู้หญิงคนนี้คือศัตรูของฉัน และถือเป็นศัตรูของทุกคนเช่นกัน ทุกคนสามารถทำอะไรกับเธอก็ได้ตามใจ ฉันอนุญาต”
สิ้นเสียงมือหนาก็ปล่อยให้คนตัวเล็กเป็นอิสระ ร่างบางเล็กล้มทรุดลงอย่างไร้เรี่ยวแรง น้ำสีใสรินไหลออกมาจากดวงตาอันน่าสงสารของไอรีน เหตุใดเธอต้องโชคร้ายมาเจอกับเรื่องบ้าๆแบบนี้ด้วย เมื่อไหร่โชคชะตาจะเห็นใจให้ชีวิตเธอได้พบเจอเรื่องที่ดีและคนที่ดีเหมือนคนอื่นเขาสักที
“ผู้หญิงคนนั้นกล้าล่วงเกินเจ้าชายของเราขนาดนี้เลยเหรอ”
“หึ!! ใช่ ช่างไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง สิ่งที่ฉันตอบแทนคืนให้เธอนั้นถือว่าสมควรแล้ว”
ไคน์ตอบกลับบาร์รอน ผู้ซึ่งเป็นทั้งเพื่อนสนิทและผู้ติดตามที่สามารถจัดการทุกปัญหาและทุกเรื่องแทนเขาได้
“นายไม่ทำรุนแรงไปหน่อยเหรอ”
บาร์รอนยังคงเอ่ยถามขึ้น สำหรับเขาแล้วสิ่งที่เจ้าชายไคน์ทำไปนั้นก็ดูรุนแรงมากเกินไป เทียบกับมนุษย์คนหนึ่งที่เป็นเพียงแค่หญิงสาวตัวเล็กๆ ที่ดูไม่มีพิษไม่มีภัยอะไรเลย
“สิ่งที่ฉันทำกับยัยนั่น ก็มาจากผลจากการกระทำของเธอไม่ใช่หรือไง เธอท้าทายฉันและเธอยังกล้าทำร้ายฉัน หึ!”
ไอรินเดินโซซัดโซเซลงมาจากระเบียงใหญ่ ตอนนี้ร่างกายของเธอไร้เรี่ยวแรง ระหว่างทางที่เดินนั้นเธอโดนข้าวของปาเข้ามาโดนตัวไม่หยุด เหล่านักเรียนนักศึกษาทั้งที่เป็นแวมไพร์และมนุษย์เหมือนกันต่างลงมือกับเธอตามคำสั่งของเจ้าชาย
หากไม่ใช่เพียงเพราะต้องทำเพื่อน้องชาย และหากมีที่ให้สามารถหลบหนีไปได้ เธอก็คงไม่ต้องมาทนอยู่ในสถานที่ที่น่ารังเกียจและน่าขยะแขยงเช่นนี้ ตั้งแต่ที่มนุษย์ต่อสู้พ่ายแพ้ในวันนั้น ทุกคนก็ต้องตกเป็นของเล่นของเหล่าแวมไพร์ หากใครอยู่เป็นและยอมทำตามคำสั่งอย่างว่าง่ายก็จะสามารถอยู่รอดได้ในดินแดนแห่งนี้
ไคน์ตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยเพื่อเป็นการยั่งเชิง ตอนนี้ดูเหมือนผู้เป็นชายาของเขาจะไม่ไหวเสียแล้ว เธอเอื้อนเอ่ยถ้อยคำร้องขอออกมาอย่างไม่อาย“คะ...ไคน์...ท่าน...พี่...ใส่มันเข้ามา..ท่านพี่...”---สวบ!!!---เสียงร้องขอที่ทั้งหวานทั้งกระเซ่าเช่นนั้นเขาจะทานทนได้อย่างไร แก่นกายขนาดใหญ่ถูกสอดเสียบเข้าไปจนมิดภายในครั้งเดียว ภายในนั้นตอดรัดจนเขาปวดหนึบ“อ๊าส์...รัดแน่นเกินไปแล้ว...อ๊าส์”ร่างสูงค่อยๆขยับเข้าออกช้าๆก่อนเพิ่มจังหวะให้เร็วขึ้นเรื่อยๆ“อ๊ะ อ๊ะ อ๊ะ อ๊ะ อ๊ะ อ๊าส์....”-ตั่บ-ตั่บ-ตั่บ-ตั่บ-ตั่บ-ตั่บ-ตั่บ-สะโพกหนาซอยเข้าออกถี่ยิบจนคนตัวเล็กตัวโยกสั่นครอนไปตามจังหวะ สีหน้าบิดเหยเก เรือนร่างที่บิดเร่าไปมานั้นสั่นไหว ความเสียวซ่านที่ผู้เป็นสวามีมอบให้มันช่างเกินจะทานทน“อ๊ะ อ๊ะ ทะ...ท่าน...พี่...สะ...เสียว...อ๊ะ อ๊ะ อ๊าส์”“โอ้ว...อ๊าส์!! ชายาของข้าช่างเร่าร้อนเสียจริง...อ๊าส์”มือหนาเอื้อมไปจับล็อกเอวบางไว้แน่นก่อนจะอัดกระแทกความเป็นชายเข้าไปอีกครั้ง จังหวะที่เพิ่มเร็วและแรงขึ้นนั้นทำเอาคนตัวเล็กร่างกายกระตุกสั่นไหว“อ๊ะ อ๊ะ อ๊ะ อ๊ะ อ๊ะ อ๊ะ อ๊าส์ อ๊าส์ อ๊ะ อ๊ะ อ๊าส์.....”-ตั่บ-ตั่บ-ตั
ตั้งแต่งานสถาปนาแต่งตั้งพระราชาและพระชายา ไคน์และไอรีนต่างก็ทำหน้าที่ได้ดีเสมอมา ราษฎรเป็นสุขถ้วนหน้า ทั่วทั้งดินแดนสุขสงบ ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่ไคน์จะต้องจัดการกับงานหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการแต่งตั้งผู้ดูแลในแต่ละหัวเมือง การร่วมประชุมหารือกับสภาแวมไพร์อาวุโส ทำให้เขาไม่ค่อยได้มีกิจกรรมเชื่อมสัมพันธ์รักกับไอรีนผู้เป็นพระชายาสักเท่าไหร่“พระชายากำลังครุ่นคิดสิ่งใดอยู่หรือ”เสียงสดใสจากเฮเลน่าทักขึ้นเมื่อเธอเดินทางมาถึงสวนดอกไม้ประจำปราสาทและเห็นว่าไอรีนนั่งเหม่ออยู่บนชิงช้าตัวโปรดของพระชายา“ปะ...เปล่า”“พระชายาท่านโกหกไม่เนียนเลย มีสิ่งใดขุ่นเคืองใจหรือ”“เฮเลน่า การเป็นพระชายาขององค์ราชานี่ทำไมถึงยากจัง ต้องห่างไกลกันเกือบทุกวัน แทบจะไม่มีเวลาให้กันเลย”“ฮ่า ฮ่า หม่อมฉันรู้แล้ว พระชายาท่านกำลังน้อยใจองค์ราชาอยู่นี่เอง เหตุใดถึงไม่บอกพระองค์ไปตามตรงกันเล่า”“จะบอกเช่นไร มันดูงี่เง้าเกินไป ไคน์กำลังทำหน้าที่ของพระราชาที่เขาควรทำ”“แต่ท่านก็เป็นพระชายานี่ หน้าที่อีกหนึ่งข้อของพระราชาก็คือไม่เมินเฉยต่อพระชายาไม่ใช่หรือ”“ช่างมันเถอะ ฉันก็เพียงแค่คิดไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้น”เฮเลน่าอมยิ้มอ
เช้าที่แสนสดใสวันนี้ท้องฟ้าอากาศช่างดูเป็นใจกับการจัดงานรื่นเริ่งยิ่งนัก ภายในปราสาทถูกตกแต่งสวยงาม วันนี้นอกจากจะเป็นวันสภาปนาพระราชาผู้ปกครองดินแดนและแต่งตั้งพระชายาแล้ว ยังเป็นวันอภิเษกอีกด้วยทั่วทั้งดินแดนต่างตื่นเต้นและให้ความสำคัญกับงานที่ยิ่งใหญ่นี้ ต่างก็มาร่วมแสดงความยินดีเต็มบริเวณโดยรอบของปราสาทไอรีนถูกจับแต่งองค์ทรงเครื่องเต็มไปด้วยตราชั้นยศต่างๆมากมาย เธอรู้สึกหนักกับของเหล่านี้จึงบ่นอุบอิบไปพลางก่อนจะถึงเวลาเริ่มพิธี“ไม่รู้อะไรใส่เต็มไปหมด แค่ชุดแต่งงานไม่พอรึไงนะ”“ไม่พอหรอก ตรายศของพระชายาย่อมมากเป็นเรื่องธรรมดา”เฮเลน่าเอ่ยขึ้นเมื่อเธอเดินเข้ามาถึงห้องแต่งตัวของผู้เป็นเพื่อน“ฉันเคยใฝ่ฝันตำแหน่งนี้นะ แต่พอเป็นเธอมันคู่ควรแล้ว วันนี้เป็นวันของเธอ ขอให้มีความสุขนะไอรีน”“ขอบคุณนะเฮเลน่า...เพื่อนรักของฉัน”ทั้งคู่โผเข้ากอดกันด้วยความปลื้มปิติยินดี ก่อนจะผละกอดออกและแต่งตัวให้ไอรีนต่อเวลาฤกษ์มงคลนั้นได้ถูกกำหนดไว้แล้ว การสถาปนาราชาผู้ปกครองดินแดนและการแต่งตั้งพระชายากำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้านี้“ด้วยข้า ตัวแทนของสภาแวมไพร์อาวุโสและผู้รักษาการแทนพระองค์ บัดนี้ถึงเวลามงคล
หลังจากที่ผ่านพ้นเหตุการณ์ที่เลวร้าย เผ่าพันธุ์แวมไพร์นักล่าถูกกำจัดจนสิ้นแล้ว ทั่วทั้งดินแดนต่างก็ใช้ชีวิตอย่างปกติเรื่อยมา ในวันประชุมหารือที่สภาแวมไพร์อาวุโสเพื่อกำหนดวันสถาปนาเพื่อรับตำแหน่งของราชาองค์ใหม่ ในการประชุมครั้งนี้ต่างก็มีข้อโต้เถียงกันเป็นอย่างมาก“ในงานคัดเลือกของไคน์ เขาได้เลือกเด็กสาวคนนั้นแล้ว ตามกฎที่ทางตระกูลเคลล็อกก์ได้ตั้งเอาไว้ หากไคน์เลือกผู้ใด ผู้นั้นย่อมจะถูกแต่งตั้งให้เป็นว่าที่ชายา”“แต่เด็กผู้นั้นเป็นมนุษย์จะเหมาะสมหรือ”“เหตุใดจะไม่เหมาะ ท่านผู้อาวุโสมีเหตุผลหรือไม่”ไคน์เอ่ยถามขึ้นด้วยความไม่เข้าใจ เพราะหากสภาแวมไพร์อาวุโสคัดค้านเรื่องนี้เขาคงไม่ยินยอมเป็นแน่“ตั้งแต่อดีตมา พวกเราสามารถอยู่ร่วมกับมนุษย์ได้ มองมนุษย์เป็นเพียงของเล่นของแวมไพร์ ถึงแม้เผ่าพันธุ์พวกเราจะไม่ได้เข่นฆ่ามนุษย์ แต่พวกมนุษย์ก็เปรียบเป็นเพียงสาวใช้เท่านั้น ไม่มีความเหมาะสมกับตำแหน่งเจ้าชายหรือตำแหน่งราชาเลยแม้แต่น้อย”คำตอบของหนึ่งนี่เหล่าผู้อาวุโสนั้นทำให้ไคน์รู้สึกขุ่นเคืองไม่น้อย เขาจึงเอ่ยถามขึ้นอีกครั้งด้วยความสงสัย“แล้วผู้ใดเป็นผู้ที่ตั้งกฎนี้”“ไม่รู้ได้ว่าผู้ใดเป็นผู้ตั้ง
เจ้าชายจากทั้ง 3 ตระกูล ได้แก่ ตระกูลเคลล็อกก์ ตระกูลคลินตัน และตระกูลซัลลิแวน ต่างก็มายืนพร้อมหน้าพร้อมตากันอยู่ที่ห้องเก็บคฑามีดรัตติกาล เพื่อเข้ารับการทดสอบว่าผู้ใดจะสามารถยกคฑามีดรัตติกาลขึ้นจากฐานได้“ผู้แรกสำหรับบททดสอบนี้ เข้าเชิญเจ้าชายจากตระกูลคลินตัน”หนึ่งในหกของเหล่าแวมไพร์อาวุโสเอ่ยเชิญให้เจ้าชายแวมไพร์ผู้ที่มาจากตระกูลคลินตันก้าวเข้ามารับการทดสอบ เจ้าชายลูคัส คลินตัน เอื้อมมือไปจับที่ด้ามของคฑา ไม่ว่าเขาจะใช้แรงมากมายมหาศาลเพียงใดคฑามีดรัตติกาลนั้นกลับไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย“ยกขึ้นไม่ได้สินะ”เหล่าแวมไพร์อาวุโสเอ่ยขึ้นพร้อมกับส่ายหน้าไปมาด้วยความผิดหวัง หลังจากที่เจ้าชายจากตระกูลคลินตันลงจากการทดสอบไป ผู้อาวุโวแวมไพร์ตนหนึ่งก็ได้เอ่ยเชิญเจ้าชายจากตระกูลซัลลิแวนขึ้นมา“ขอเชิญเจ้าชายตระกูลซัลลิแวนขึ้นทดลอบ หากเจ้าคือผู้ที่เหมาะสม และเป็นผู้ที่ราชาพระองค์ก่อนเลือกแล้ว เจ้าย่อมสามารถยกคฑามีดรัตติกาลขึ้นจากฐานได้”เจ้าชายเฮนรี่ ซัลลิแวน ก้าวเข้าไปอย่างองอาจ เขาเอื้อมมือไปกำที่ด้ามของคฑาไว้แน่นก่อนที่จะยกขึ้น แต่กลับต้องทำให้เหล่าแวมไพร์อาวุโสต้องผิดหวังเป็นครั้งที่สอง เจ
“ทุกท่านที่อยู่ ณ ห้องจัดเลี้ยงแห่งนี้ พวกเรามาฟังนิทานสักเรื่องกันดีกว่า บาร์รอนผู้นี้จะเล่านิทานเรื่องที่น่าตื่นเต้นเหลือเชื่อให้ฟัง...”น้ำเสียงที่จริงจังปนความดุดันนั้นทำเอาผู้ร่วมงานต่างหันมามองที่เขา ไม่ต่างจากไอรีนที่ยืนมองบาร์รอนตาไม่พริบ บาร์รอนที่ดูเป็นมิตร พูดน้อย บทจะต่อยก็ต่อยหนัก น่ากลัวมากเลยทีเดียว สีหน้าของเขาในเวลานี้ดูคาดเดายาก คำพูดที่เอื้อนเอ่ยออกมาอย่างเชื่องช้า เป็นจังหวะ แต่ฟังได้ชัดทุกถ้อยคำ“กลาครั้งหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้....”บาร์รอนหยุดคำพูดไว้เพียงเท่านั้น เขาหันสายตาไปทางที่เจโรมยืนอยู่และมองไปที่เจโรมด้วยแววตาที่ดุดันปนเจ้าเล่ห์ก่อนที่จะเอ่ยต่อ....“มีแวมไพร์นักล่าตระกูลหนึ่งหวังจะเป็นใหญ่ในดินแดน จึงได้ส่งทายาทเพียงผู้เดียวที่มีอยู่มาเข้าร่วมการคัดเลือกเพื่อเป็นราชาผู้ปกครองดินแดน อุตส่าห์ปิดบังเผ่าพันธุ์ที่แท้จริง โป้ปดเหล่าผู้อาวุโสว่าตนเองนั้นเป็นเจ้าชายมาจากตระกูลเก่าแก่ สร้างบัตรประจำตัวปลอมขึ้นมา แถมยังเข้าหาตีสนิทกับผู้รับใช้โลหิตของเจ้าชายไคน์ เสแสร้งแกล้งว่าตนนั้นเป็นมนุษย์ผู้อ่อนแอที่ถูกเหล่าแวมไพร์ทั้งหลายรังแกทำร้าย หลอกลวงให้เธอผู้นั้นตายใจโ
ความคิดเห็น