หนิงอวี่กลับเข้ามายังห้อง นางออกไปไม่ถึงครึ่งชั่วยาม แต่อาหารหลายสิบอย่างที่อยู่บนโต๊ะบัดนี้เหลือแค่ความว่างเปล่าแล้ว นางหลุดขำให้กับท่าทางหยิ่งทะนงของจ้าวหลี่หยาง ที่บัดนี้กลับมานั่งสุขุมและเย็นชาเช่นเดิม
“อิ่มแล้วหรือยัง?” นางถามอย่างยิ้มแย้ม
“อื้อ” จ้าวหลี่หยางตอบมาเพียงเท่านั้น
“เมื่อข้าออกไปหางานวันนี้ได้ ข้าจะชดใช้ค่าอาหารให้”
จ้าวหลี่หยางไม่อยากเป็นหนี้บุญคุณคนอย่างนาง สตรีที่น่าเกลียดที่สุดที่เขาเคยเห็นมา
“ไม่ต้องหรอก ข้าไม่คิดมาก” หนิงอวี่กล่าวยิ้ม ๆ พลางโบกมือเป็นการปฏิเสธ แต่คำพูดนั้นกลับทำให้หลี่หยางเดือดดาล
“ข้ามิใช่ขอทาน! ที่จะให้คุณหนูเว่ยโยนอาหารให้”
“ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น แค่ข้าทำให้เจ้าต้องป่วย เลยถือเป็นการชดใช้อย่างไรเล่า” หนิงอวี่พยายามจะอธิบายไม่ให้เขาเข้าใจนางผิด
“หึ! คนอย่างนายหญิงหอบุปผาเคยขอโทษผู้ใดเล่า”
หลี่หยางพูดด้วยสายตาเย้ยหยัน
“ครั้งก่อนเพียงข้าหาเงินมาให้ช้าไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ท่านถึงขั้นนำน้ำล้างชามมาสาดข้าต่อหน้าผู้คนมากมาย หรือแม้แต่ขอทานที่มาขอเศษอาหารจากคุณหนูเว่ย ท่านก็ยังใช้ไม้ไล่ฟาดอย่างกับหมูกับหมา” หลี่หยางเตือนสตินางถึงเรื่องในอดีต
หนิงอวี่ได้แต่อ้าปากค้างฟังสิ่งที่เขาเล่าอย่างไม่อยากเชื่อ นางหันหน้าไปหาเจียลี่เพื่อขอคำยืนยัน เจียหลี่ยิ้มแห้ง ๆ พลางพยักหน้าให้กับนาง นั่นหมายความว่าที่เขาพูดมาล้วนเป็นความจริง
“โหดร้ายเกินไปแล้ว” นางส่ายหน้าให้กับวีรกรรมที่ตัวของหนิงอวี่เคยทำ ในนิยายนางเขียนเฉพาะว่านายหญิงหอบุปผา จิตใจคับแคบ เห็นแก่ได้ แต่ไม่ได้ลงรายละเอียดว่าโหดร้ายอย่างไรบ้าง
“เอาเถิดคุณชายจ้าว ถือว่าข้าสติเลอะเลือนแล้วกัน เรามาปรองดองกันดีหรือไม่” นางยื่นข้อเสนอขออยู่กันแบบสันติ
“คุณหนูเว่ยอยากให้ข้าน้อยทำเช่นไรเล่า” หลี่หยาง
กล่าวอย่างประชดประชัน เขาไม่เคยต่อรองอะไรกับนางได้มาก่อน
“เรื่องคุณหนูป้าย...” หนิงอวี่ลองกล่าวหยั่งเชิงถามเขาดู
“อย่าได้คิดแตะต้องนาง ไม่เช่นนั้นถึงตายข้าก็ไม่ยอมปล่อยเจ้า”
หลี่หยางดูน่ากลัวทันทีที่หนิงอวี่กล่าวถึงป้ายลู่เสียน ทั้งที่เขายังไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่านางจะพูดเรื่องใด
“ข้าไม่ได้คิดจะทำอะไรนาง เพียงแค่ว่าจะปล่อยให้นางไปกับคุณชายจ้าว โดยไม่กักขังตัวนางเอาไว้ดีหรือไม่” หนิงอวี่คิดหาวิธีที่นางจะไม่ต้องถูกเขาฆ่า
“หึ! คุณหนูเว่ยล้อข้าเล่นแล้ว ตระกูลป้ายทำผิดฐานร่วมวางแผนก่อกบฏ บุรุษโดนประหารสตรีถูกขายให้หอนางโลม ต้องทำงานชดใช้ความผิดถึง 10 ปี ถึงจะสามารถออกจากนี่ได้ หากออกไปก่อนกำหนด ต้องรับโทษตายเท่านั้น นี่ท่านคิดจะฆ่านางเชียวหรือ” หลี่หยางกล่าวด้วยความชิงชัง
“ไม่ใช่เช่นนั้น ข้าไม่รู้ ไม่รู้ จริง ๆ” หนิงอวี่รีบปฏิเสธทำไมนางไม่รู้เรื่องนี้ ในนิยายนางไม่ได้กล่าวถึงนี่
“งั้นเอาอย่างนี้ดีหรือไม่ ข้าไม่รับเงินวันละ 1 ตำลึงของคุณชายจ้าวแล้ว พอถึงเวลาที่เหมาะสมท่านก็พานางไป”
“วันนี้คุณหนูเว่ยมีจิตใจเมตตาเสียจริง ข้าน้อยหลี่หยางขอบคุณที่เมตตา” หนิงอวี่ดีใจที่วาทศิลป์ของนางใช้ได้ผล เขายอมรับข้อเสนอของนาง แสดงว่าต้องไม่คิดบัญชีนางในภายหลังแน่
“แต่ข้าไม่ขอรับน้ำใจนี้ของคุณหนูเว่ย เพราะเกรงว่าท่านจะนำมาเป็นข้ออ้างบังคับให้คุณหนูลู่เสียนรับแขกโดยที่นางไม่เต็มใจอีก” หลี่หยางมองคู่สนทนาด้วยสายตารังเกียจ
“ทำไมเจ้ามองคนในแง่ร้ายจัง ข้าขอใช้เกียรติของข้าเป็นประกัน ข้าไม่กลับคำแน่” หนิงอวี่พูดด้วยท่าทางจริงจัง
“ข้าน้อยพึ่งรู้ว่าคนอย่างคุณหนูเว่ยมีเกียรติด้วย ขอแค่ท่านไม่ส่งคนมารังควานข้าน้อยตอนทำงาน แค่นี้ก็ถือว่าเมตตาแล้ว”
“ข้าส่งคนไปรังแกท่านเมื่อไหร่กัน?” นางยังไม่คิดจะยอมแพ้
“คุณหนูเว่ยควรถามว่า เมื่อไหร่ที่ท่านไม่ส่งคนไปรังควานข้าต่างหาก”
หลี่หยางกล่าวจบก็เดินออกจากห้องของนางไป ปล่อยให้หนิงอวี่ยืนงงอยู่อย่างนั้น นางอุตส่าห์คิดว่าจะรอดพ้นจากความตายแล้วแท้ ๆ แต่จ้าวหลี่หยางคนขี้ระแวงนั่นก็ไม่ยอมรับข้อเสนอของนางแม้แต่น้อย
“ข้าไปรังควานเขาตอนไหนกัน” หนิงอวี่ ทำหน้างงแล้วหันไปถามเจียลี่ที่ยืนเงียบดูนางกับหลี่หยางเถียงกันไม่หยุด
“คุณหนูส่งคนไปรังควานเขาทุกที่เลยเจ้าค่ะ”
“จริงหรือ?” หนิงอวี่ตกใจ ในนิยายไม่ได้เขียนแบบนี้นี่ มิน่าเล่าที่หลี่หยางจะไม่ยอมเชื่อใจนาง
“เจียลี่เจ้าลองเล่ามาซิว่าข้าทำอะไรกับจ้าวหลี่หยางบ้าง ตอนข้าล้มหัวฟาดได้ลืมไปบางส่วนแล้ว” หนิงอวี่กล่าวพลางชี้ให้เจียลี่นั่งลง นางจะต้องรู้สิ่งที่ทำกับเขาเสียก่อนจึงจะหาทางทำให้เขาหายโกรธได้
“คุณหนูเคยสั่งใช้หวายเฆี่ยนคุณชายจ้าว 30 ครั้ง เพื่อแลกกับการไม่ให้เขาจ่ายเงิน 1 ตำลึง ในวันนั้นเจ้าค่ะ”
“จริงหรือ! ทำไมข้าต้องทำเช่นนั้นด้วยเล่า” นางตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งที่ในนิยายไม่ได้เขียนละเอียดเช่นนี้ ในนิยายกล่าวเพียงว่าหนิงอวี่กลั่นแกล้งหลี่หยางต่าง ๆ นานา เพื่อระบายความโมโหที่ไป๋มู่เฉินชื่นชอบป้ายลู่เสียน
“ก็คุณหนูไม่พอใจที่คุณชายไป๋มาหาป้ายลู่เสียนโดยไม่เหลียวมองคุณหนู ท่านโมโหทำร้ายคุณหนูป้ายไม่ได้เลยมาลงกับคุณชายจ้าวแทนเจ้าค่ะ”
“และอีกเรื่อง คุณชายไป๋นำปิ่นไข่มุกจากราชวังมาเป็นของขวัญให้คุณหนูป้าย คุณหนูเห็นเข้าไม่พอใจจึงลากคุณหนูป้ายมายังกลางโถง และประกาศว่าจะประมูลราคาถอดอาภรณ์ของคุณหนูป้าย ใครที่จ่ายสูงกว่าจะได้เป็นคนถอดอาภรณ์ทีละชิ้นเจ้าค่ะ ตอนนั้นคุณชายจ้าวมาทันได้เห็นเหตุการณ์จึงคุกเข่าขอร้องท่าน คุณหนูจึงให้คุณชายจ้าวถอดเสื้อผ้าแทน คนในหอต่างหัวเราะเยาะคุณชายจ้าว ดีที่คุณชายไป๋มาทันคุณชายจ้าวถึงได้ถอดเพียงเสื้อตัวนอกเท่านั้น”
เจียลี่เล่าจนนางเห็นเหตุการณ์ได้อย่างชัดเจน หนิงอวี่แทบเป็นลมเมื่อรู้เรื่องเลวร้ายในอดีต เช่นนี้นางจะทำเช่นไรถึงจะรอดพ้นจากการโดนฆ่าได้เล่า
“เรื่องเลวร้ายที่ข้าทำ หมดแล้วใช่หรือไม่” นางมั่นใจว่าแค่นี้ก็เลวร้ายพอแล้วไม่น่ามีเรื่องอื่นอีก
“ยังเจ้าค่ะ แต่บ่าวจำได้ไม่หมด ไว้คิดออกจะเล่าให้คุณหนูฟังนะเจ้าคะ” เจียลี่พูดพลางลุกขึ้นเก็บชามอาหารบนโต๊ะแล้วจากไป
ทิ้งให้หนิงอวี่อยากจะบ้าตายอยู่ในห้องเพียงลำพัง หากเป็นเหมือนในนิยาย นางเหลือเวลาอีกเพียง 1 เดือนที่จะเปลี่ยนความคิดของเขา ก่อนที่ฐานะที่แท้จริงของหลี่หยางจะถูกเปิดเผย
หลี่หยางกลับตำหนักเผิงซีด้วยความขุ่นเคือง แม้หนิงอวี่บอกว่านางต้องการอยู่ที่หออาลักษณ์เพื่อใช้ความสามารถของตน แต่เขามักรู้สึกว่านางจงใจหลบเลี่ยงเขาอยู่บ่อยครั้ง นั่นทำให้เขาไม่พอใจ “ยินดีกับองค์รัชทายาทเพคะ” ลู่เสียนกล่าวยินดีกับเขาทันที เมื่อเห็นหลี่หยางก้าวเข้ามาในห้องทรงอักษร “เจ้าเข้ามาในนี้ได้อย่างไร” หลี่หยางขมวดคิ้วถามด้วยความไม่พอใจ ลู่เสียนในใจเขานับวันยิ่งแตกต่างจากสตรีที่เขาคอยปกป้องเมื่อครั้งที่อยู่ที่หอบุปผา “หม่อมฉันเห็นว่าห้องนี้ไม่ค่อยได้ทำความสะอาด จึงเข้ามาเช็ดถูให้เพคะ” รอยยิ้มบนใบหน้านางจางหายในทันที เมื่อสิ่งที่หลี่หยางตอบกลับมาไม่ใช่รอยยิ้มอย่างที่นางคิด “ช่างเถิด เจ้าไปเก็บของเถอะ รุ่งเช้า มามา จะพาเจ้าไปตำหนักของตัวเอง เจ้าจะได้มีอิสระในการทำสิ่งใดไม่ต้องคอยเกรงใจข้าอีก”ลู่เสียนหน้าชาเมื่อได้ยินคำพูดนั้น ถึงแม้คำพูดของหลี่หยางจะดูเป็นห่วงนาง แต่แท้จริงแล้วกลับต้องการไล่ให้นางออกไปเสียมากกว่า “หม่อมฉันรับบัญชาเพคะ” ลู่เสียนเดินออกจากห้องไป นางกำมือแน่นจนเล็บจิกเข
หนิงอวี่ยกหนังสือที่อยู่ในมือขวางการจ้องมองของหลี่หยาง นางมิอาจจะทนต่อการจ้องมองอย่างลึกซึ้งนั้นของเขาได้ “องค์ชาย นี่หออาลักษณ์โปรดสำรวมด้วย” หนิงอวี่ตำหนิหลี่หยางกลาย ๆ “เช่นนั้นกลับตำหนักเผิงซีเถอะ ข้าจะได้ไม่ต้องสำรวม”หลี่หยางกล่าวพลางดึงหนังสือให้มือของนางออก หนิงอวี่จ้องมองคนที่อยู่เบื้องหน้าด้วยใบหน้าบึ้งตึง ทำให้หลี่หยางยอมปล่อยนางอย่างว่าง่าย เกรงว่านางจะเคืองจนไม่กลับไปตำหนักกับเขาแต่โดยง่าย “องค์ชายโปรดอภัย หม่อมฉันไม่คิดจะกลับไปตำหนักเผิงซี” หนิงอวี่กล่าวในสิ่งที่เขาไม่อยากจะฟัง “เหตุใดไม่กลับไป? ตอนนี้ข้าก็สามารถปกป้องเจ้าได้แล้ว เจ้าไม่ต้องกลัวสิ่งใดอีก” แววตาของหลี่หยางเต็มไปด้วยความดื้อรั้น “เหตุใดองค์ชายต้องปกป้องหม่อมฉันด้วย?” นางอยากรู้ว่าตนเองเป็นสิ่งใดในใจเขากัน “ข้า............” หลี่หยางนิ่งไปชั่วครู่ เขาไม่รู้จะให้คำตอบอย่างไรกับนางดี นางสำคัญอย่างไรในใจเขากันแน่ “ข้าเห็นเจ้าเป็นสหายของข้า” คำตอบของหลี่
หลี่หยางรู้สึกตัวขึ้นในยามเหม่า หนิงอวี่ยังคงหลับอยู่นางนั่งพิงอยู่กับเสาแท่นบรรทม โดยมีเขาหนุนตักของนางอยู่อย่างนั้น หลี่หยางจ้องมองใบหน้าขาวนวลนั้นอยู่นาน เขาอยากให้นางอยู่ข้าง ๆ เขาเช่นนี้ในทุกวันหลี่หยางช้อนร่างบางไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะวางให้นางนอนบนแท่นบรรทมอย่างสบายตัว มือของเขาลูบไล้ใบหน้านางอยู่นาน สายตาที่จดจ่ออยู่กับริมฝีปากอิ่มสีทับทิมสุกนั้น ทำให้ความกระหายในกายของเขาเริ่มพลุ่งพล่าน จนหลี่หยางต้องรีบลุกออกจากเตียงในทันที “ถงอู่ให้องครักษ์เฝ้าห้องบรรทมไว้ ห้ามผู้ใดเข้าไปหากนางตื่นแล้ว ค่อยส่งนางกลับหออาลักษณ์” หลี่หยางไม่ต้องการให้ใครรบกวนการนอนของนาง หากเพียงผ่านวันนี้ไป หากเขาไม่สามารถรับกระบี่เทพได้ ตำแหน่งรัชทายาทก็ยังคงเป็นของเจี้ยนหยาง นั่นทำให้เขาไม่ใช่คู่แข่งอีกต่อไป หนิงอวี่ก็สามารถกลับมาอยู่ข้างกายเขาได้ หรือหากวันนี้เขารับกระบี่เทพได้ ก็จะไม่มีผู้ใดกล้าทำร้ายเขาอีก นั่นก็ทำให้นางอยู่ข้างกายเขาได้เช่นกัน เช่นนั้นแล้วขอเพียงผ่านวันนี้ไป เขาจะไม่ยอมปล่อยมือนางอีก................................พิธีบูชากระบี่เทพ เริ่มขึ้นตั้งแต่ยามเหม่าเหล่าขุนนาง
หนิงอวี่ยังคงทำหน้าที่เน่ยเหรินผู้ต่ำต้อยได้ดีเช่นทุกวัน พอนานวันเข้านางกำนัลคนอื่น ๆ ต่างเบื่อหน่ายที่จะกลั่นแกล้งนาง ด้วยนางไม่คิดตอบโต้ เป็นเหมือนแม่น้ำที่โยนสิ่งใดลงไปก็ได้แต่จมหาย การใช้ชีวิตในหอซักของหนิงอวี่จึงง่ายขึ้น “เน่ยเหรินหนิงอวี่ ฝ่าบาทเรียกพบที่ห้องทรงอักษร”ฝางกงกง ขันทีข้างกายฮ่องเต้ตามหานางด้วยท่าทีรีบร้อน หนิงอวี่ที่กำลังง่วนอยู่กับการซักอาภรณ์ของเหล่าราชวงศ์ เริ่มมีสีหน้ากังวล ‘เหตุใดจู่ ๆ ฮ่องเต้ถึงเรียกพบนางได้’ ถึงจะหวาดกลัว แต่หนิงอวี่ก็ยอมเดินตามฝางกงกงอย่างว่าง่าย “หม่อมฉันเว่ยหนิงอวี่ถวายพระพรฝ่าบาท” หนิงอวี่ ยอบกายถวายพระพรตามธรรมเนียม พลางสายตานางกลับมองเห็นองค์ชายเฟยหยางที่ยืนอยู่ข้างโต๊ะอักษร นางรู้ได้ทันทีว่าต้องเกี่ยวข้องกับบทความที่นางเขียนแน่ “เจ้าเป็นคนเขียนบทพรรณนาความงามให้องค์ชายเฟยหยางใช่หรือไม่” ฮ่องเต้ตรัสถามโดยไม่แสดงอาการใด ๆ “เพคะ” หนิงอวี่ไม่คิดปิดบัง ด้วยฮ่องเต้ต้องซักถามองค์ชายเฟยหยางอย่างแน่ชัดแล้ว “เจ้าไปเรียนรู้การกล่าวพรรณนาเ
ถงอู่ที่มองเห็นแววตาเจ็บปวดของหลี่หยาง เขาเองไม่เข้าใจความคิดของผู้เป็นนาย “องค์ชายจะไม่บอกความจริงกับนางหรือพ่ะย่ะค่ะ” “นางอยู่ห่างจากข้า จึงจะปลอดภัย” หลี่หยางยังคงมองไปยังจุดที่นางจากไป แม้บัดนี้จะมองไม่เห็นนางแล้วก็ตาม “เหตุใดองค์ชายถึงทำเช่นนั้น” ถงอู่ยังคงไม่เข้าใจหากห่วงใยทำไมไม่เก็บไว้ข้างกาย “การชิงตำแหน่งรัชทายาท ต้องมีผู้ไม่หวังดีก่อความวุ่นวายแน่ หากนางยังอยู่ข้างข้าคนเหล่านั้นต้องใช้นางเป็นเครื่องต่อรอง เช่นนั้นนางจะตกอยู่ในอันตราย โดยข้าเองไม่รู้ว่าคนเหล่านั้นมีกำลังมากเพียงใดจึงไม่กล้าดึงนางเข้ามาเสี่ยง” หลี่หยางที่แม้ไม่พอใจที่นางอยู่ใกล้ชิดกับไป๋มู่เฉิน แต่นั่นก็ใช่ว่าเขาจะโกรธจนขาดสติไม่รับฟังเหตุผลใด ๆ “เจ้าไปสืบมา เหตุการณ์ที่อุทยานเป็นฝีมือใคร” หลี่หยางเชื่อคำพูดของหนิงอวี่ตั้งแต่แรก หากแต่นั่นคือข้ออ้างที่ดีที่จะทำให้ผู้คนคิดว่าเขาทอดทิ้งนางแล้วจริง ๆ………………….หนิงอวี่กลับมายังหอซัก ภายใต้ความประหลาดใจของเน่ยเหรินที่อยู่ตรงนั้น หากแต่นางไม่สนสายตาของผู้ใด
ราชสำนักซู่หนานบัดนี้เกิดความโกลาหลไม่น้อย ด้วยเรื่องน่าอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นในวันที่องค์ชายหลี่หยางดื่มยาถอนพิษหนิงเซี่ย ทำให้ฝนที่ไม่เคยตกลงผืนแผ่นดินแคว้นซู่หนานมานานถึงห้าปี กลับมาตกหนักอย่างไม่มีเค้าลางมาก่อน ขุนนางจึงแตกออกเป็นสองฝ่ายคือฝ่ายองค์รัชทายาท และฝ่ายที่ต้องการให้แต่งตั้งองค์ชายหลี่หยางขึ้นเป็นรัชทายาทแทน ด้วยเป็นองค์ชายองค์โตและเป็นผู้นำสายฝนคืนสู่แคว้นอีกครั้ง “เช่นนั้นในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า พิธีบูชากระบี่เทพหากองค์ชายหลี่หยางสามารถครองกระบี่เทพได้ ข้าจะยกตำแหน่งรัชทายาทให้กับเขา” ฮ่องเต้ฉินหนานประกาศกลางท้องพระโรง ทำให้เหล่าขุนนางหยุดโต้แย้งกันลงได้..........................ข่าวแต่งตั้งรัชทายาทใหม่แพร่ไปยังหมู่นางกำนัลอย่างรวดเร็ว หลายคนต่างคาดหวังว่าหลี่หยางจะสามารถครองกระบี่เทพได้ ราษฎรจะได้หลุดพ้นจากความทุกข์ยาก ด้วยบัดนี้แคว้นซู่หนานแห้งแล้ง ราษฎรอดอยาก หากไม่มีกระบี่เทพคอยปกป้องเกรงว่าแคว้นซู่หนานจะล่มสลายไปนานแล้ว ความกดดันนี้ส่งผลต่อสภาพจิตใจของหลี่หยางไม่น้อย ด้วยเขาเองไม่ได้คิดอยากจะเป็นรัชทายาท ไม่ได้อยากครองกระบี่เทพเขาเพียงอ