เธอสุขจนไม่รู้จะสุขยังไง เสียวจนไม่รู้จะเสียวยังไง สุขแล้วสุขเล่า เสียวแล้วเสียวเล่า สุขเสียวจนแทบจะไร้แรงยืนหยัด ต้องโอบแขนกับรอบลำคอแกร่งเพื่อเป็นหลักยึด “คืนนี้จะตามใจฉันทั้งคืนใช่ไหมยอดรัก” “ค่ะ” คำตอบของเธอทำให้เขาพึงพอใจที่สุด จึงจูบปากที่บวมเจ่อนิดๆ นั้นซ้ำอีกหนักๆ ลวนลามร่างนุ่มนิ่มนั้นอย่างย่ามใจ... กว่าจะได้ถูหลังขัดขี้ไคลให้เขา เธอก็ถูกเขาจับขัดดอกไปก่อนจนแทบจะหมดแรง นับเป็นการอาบน้ำที่นานและเสียวสะท้านที่สุดเท่าที่เคยอาบมา…
Lihat lebih banyakบทที่ 1
“หนูจะไม่เรียนต่อถ้าปู่ไม่ลาออกจากที่นี่”
“ถ้าปู่ลาออกแล้วหนูจะเอาเงินที่ไหนไปเรียนล่ะลูก” ชายชราวัยหกสิบห้าปีที่หลังงองุ้ม และหน้าตาแก่กว่าอายุมากเพราะต้องทำงานหนัก เอ่ยถามหลานสาวขณะที่กวาดถนนไปด้วย
“กลับไปอยู่บ้านนอกกันสิจ๊ะปู่ ที่บ้านนอกเราเก็บผักตามข้างทางกินก็ได้ โรงเรียนก็เรียนฟรีและอยู่ไม่ไกลด้วย หนูเดินไปโรงเรียนก็ยังได้ แล้วปู่ก็จะได้รักษาตัวฟรีด้วย”
“แต่ที่นี่หนูก็ได้เรียนฟรีเหมือนกันนี่ลูก เรียนที่นี่แหละนะ ไม่ต้องไปเรียนที่บ้านนอกหรอก ที่นั่นกับที่นี่ก็ไม่ต่างกันหรอกสำหรับเรา เพราะเราไม่เหลือใครแล้ว” เมื่อห้าปีก่อนเขายังมีย่าของหลานคอยช่วยกันทำมาหากิน แต่แล้วอยู่ ๆ นางก็มาจากไปอย่างไม่มีวันกลับ เพราะอุบัติเหตุบนท้องถนน ทิ้งให้เขากับหลานสาวที่กำพร้าพ่อแม่ด้วยสาเหตุเดียวกันเอาไว้ลำพัง
“แต่อย่างน้อยที่บ้านนอกเราก็ยังมีบ้านนี่จ๊ะ ถึงแม้ว่ามันจะเก่าและเล็กแต่มันก็เป็นบ้านของเรา เราไม่ต้องเสียเงินเช่าเขาอยู่แบบนี้นะปู่”
เพชรบุรีมันไม่ไกลจากกรุงเทพก็จริง แต่บ้านเกิดของภรรยาเขาก็ไม่ใช่สถานที่ที่น่าไปอยู่นัก เพราะย่านนั้นมีแต่สวนแต่ไร่ ถ้าไม่มีรถส่วนตัวก็ยากแก่การใช้ชีวิต โดยเฉพาะการเดินทางไปโรงพยาบาล ที่เขาต้องไปตามนัดทุกเดือน
“แต่มันไม่ดีสำหรับหนูหรอกลูก ที่นั่นมีแต่วัยรุ่นติดยา ปู่กลัวว่ามันจะทำร้ายหลานของปู่ แค่ก ๆ ๆ แค่ก ๆ ๆ” อุดมไอจนตัวโยน รู้สึกเหนื่อยจนต้องนั่งพักตรงริมรั้วของบ้านหลังหนึ่ง ที่มีเงาต้นไม้ใหญ่แผ่ปกคลุมให้ร่มเงา
“ปู่เป็นอะไรมากไหมจ๊ะ ดื่มน้ำสักหน่อยนะ” เด็กสาววัยย่างสิบหก รีบเปิดกระเป๋าผ้าเก่า ๆ ที่แขวนไว้กับหูรถเข็น หยิบกระบอกน้ำที่มีน้ำเหลืออยู่น้อยนิดเทให้ปู่ดื่ม
“ขอบใจนะลูก แค่ก ๆ ๆ แค่ก ๆ ๆ” ปู่ดื่มน้ำจนหมดแต่ก็ยังไม่หายไอ
“หนูไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ถ้าปู่ไม่กลับไปอยู่ที่บ้านนอก หนูจะไม่เรียนต่อ หนูจะไปทำงานเป็นเด็กนั่งดริงก์ในร้านคาราโอเกะ จะได้มีเงินมารักษาปู่ ไม่เชื่อก็คอยดูสิ” เด็กสาวพูดทั้งน้ำตาเมื่อเห็นอาการไอจนหน้าตาแดงของปู่ ส่วนมือก็โบกพัดสานเก่า ๆ ที่ขาดลุ่ยเพื่อเพิ่มความเย็น
อุดมหายใจหอบโยนด้วยความเหนื่อย ค่อย ๆ ยกมือที่สั่นเทาไปลูบศีรษะหลานสาวสุดที่รัก สมบัติชิ้นเดียวที่เหลืออยู่ในชีวิตที่เขาภูมิใจที่สุด
“ก็ได้ลูก เราจะกลับไปที่นั่นกัน แต่หนูต้องสัญญากับปู่ก่อนนะ ว่าจะอดทนกับความลำบากให้ได้”
“หนูไม่กลัวความลำบาก แต่หนูกลัวความสบายจ้ะปู่” ต่อให้ลำบากกว่าทุกวันนี้เป็นสิบ ๆ เท่าเธอก็ยอม เพื่อให้ปู่ได้มีเงินเหลือรักษาตัวบ้าง
“ถ้าอย่างนั้นรอเงินเดือนของปู่ออกแล้วเราค่อยเดินทางกันนะ”
“จ้ะปู่”
เห็นรอยยิ้มของหลานสาว ปู่อย่างเขาก็มีความสุขแล้ว ชายชราค่อย ๆ ฝืนตัวลุกขึ้น หวังจะกวาดถนนให้เสร็จ ๆ เพราะยังเหลืองานดูแลสวนสาธารณะของหมู่บ้านอีก แต่อาการวิงเวียนที่กำเริบหนักกว่าเดิมก็ทำให้เขาทรงตัวไม่อยู่ หงายหลังล้มลงไปไม่เป็นท่า ศีรษะฟาดกับกำแพงรั้วอย่างจัง
“ปู่!” เด็กสาวตะโกนเรียกปู่ดังลั่นด้วยความตื่นตระหนกตกใจ รีบวิ่งเข้าไปประคองร่างที่ทรุดโทรมนั้นไว้ “ปู่ตื่นสิ ปู่จ๋า ปู่ได้ยินหนูไหม”
“อืออออ...” ผู้เป็นปู่พยายามอย่างยิ่งที่จะส่งเสียงให้หลานสาวรับรู้
เสียงขานรับแผ่วเบาของผู้เป็นปู่ทำให้เด็กสาวรู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย เธอหันมองซ้ายขวาแต่ก็ไม่เห็นใครในรัศมีสายตา นอกจากคฤหาสน์หลังใหญ่โตที่อยู่ภายในรั้วรอบขอบชิด..
และเวลานี้เอง ที่ประตูรั้วของคฤหาสน์หลังที่ใหญ่ที่สุดในหมู่บ้านแห่งนี้กำลังเปิดออก ซึ่งก็คือหลังที่เธอกับปู่กำลังอาศัยหลบแดดอยู่ตอนนี้
“ปู่รอหนูอยู่ตรงนี้ก่อนนะ เดี๋ยวหนูไปตามคนมาช่วยนะ” เธอวางปู่ลงบนพื้นแข็งอย่างเบามือ แล้วรีบวิ่งเข้าไปที่คฤหาสน์หลังนั้น.. เธอฉลาดพอที่จะไม่วิ่งไปทางด้านคนขับ แต่วิ่งไปทางประตูด้านหลังพร้อมกับพนมมือไหว้ “ท่านคะ ช่วยปู่หนูด้วยค่ะ” แล้วอ้อนวอนขอความเมตตาพร้อมกับเสียงสะอื้นไห้
“เกิดอะไรขึ้น!” คิ้วเข้มของบุรุษที่นั่งอยู่ที่เบาะหลังของรถยนต์คันหรูขมวดเข้าหากัน ส่งสัญญาณให้บอดี้การ์ดที่ทำหน้าที่คนขับรถออกไปดู แล้วหันไปมองเด็กสาวด้านนอกรถอีกครั้ง แต่ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นเธอเข่าอ่อนลงไปกองกับพื้น จึงรีบกดกระจกรถที่ติดฟิล์มดำเอาไว้ให้เลื่อนลง ยังไม่ทันได้เปิดปากถามไถ่เธอก็ฝืนตัวลุกขึ้น แล้ววิ่งตามบอดี้การ์ดของเขาไป
แต่เพียงแค่แวบเดียวที่ได้เห็นใบหน้าเปื้อนน้ำตาของเด็กสาวเต็มตา ก็เหมือนมีอะไรบางอย่างวิ่งชนที่หัวใจของเขาอย่างแรง.. อะไรบางอย่างนั้นสามารถทำให้บุรุษวัยสามสิบสองรีบเปิดประตูก้าวลงจากรถแล้วตามเธอไป
“เกิดอะไรขึ้นเอดิสัน”
“ปู่ของเธอล้มครับคุณฟิลลิป อาการไม่ค่อยดีเลย” บอดี้การ์ดหนุ่มตอบคำถามของเจ้านาย
“คุณท่านช่วยปู่หนูด้วยนะคะ หนูไหว้ล่ะค่ะ ช่วยปู่หนูด้วยนะคะ” เธอไม่เข้าใจคำพูดภาษาจีนของพวกเขา แต่เธอก็กลัวว่าเขาจะไม่ไยดีคนจน ๆ อย่างเธอกับปู่ จึงคุกเข่ายกมือไหว้อ้อนวอนน้ำตานองหน้า
ฟิลลิป หยาง หรือหยางอี้ หนุ่มฮ่องกงที่มีเชื้อสายอินเดียและโปรตุเกสผสมอยู่ด้วย มองเด็กสาวด้วยความรู้สึกพิเศษแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“หยุดร้องได้แล้ว” เขาบอกกับเธอด้วยน้ำเสียงเย็นชา แล้วหันไปมองหน้าบอดี้การ์ด “พาเขาไปโรงพยาบาล”
“ขอบคุณค่ะคุณท่าน” เด็กสาวยกมือไหว้เขาอีกครั้งพร้อมกับรอยยิ้มแห่งความดีใจ รีบลุกไปช่วยคนของเขาประคองผู้เป็นปู่
ชายหนุ่มผู้เป็นนายมองบอดี้การ์ดที่กำลังช่วยประคองชายชราให้ลุกขึ้นนั่ง เห็นอาการทุลักทุเลที่เกือบจะแนบชิดแบบไม่ได้ตั้งใจของทั้งสอง ก็รู้สึกหึงหวงจนทนดูไม่ได้ ใจของเขามันรู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ จนเขายังตกใจตัวเอง
“นายไปเอารถมาดีกว่า เดี๋ยวฉันช่วยเธอเอง” เขาไล่บอดี้การ์ดแล้วเสียบแทนที่ ใจยิ่งเต้นแรงเมื่อได้เห็นเธอในระยะใกล้ ๆ แบบนี้ ถึงแม้ใบหน้าเธอจะยังดูเด็กและมอมแมมไปด้วยคราบน้ำตา แต่ก็ทำให้หัวใจเขาเต้นแรงทีเดียว “หยุดร้องไห้ได้แล้ว รู้ไหมว่าหน้าตาของเธอน่าเกลียดมากแค่ไหนตอนนี้” เขากลบเกลื่อนความรู้สึกตัวเองด้วยการต่อว่าเธอ
หนึ่งอาทิตย์แล้วที่พรพิมลพยายามจะหลบหน้าไทเลอร์ ด้วยเหตุผลเพียงข้อเดียว.. นั่นก็คือเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากไปดื่มที่ผับด้วยกันในคืนนั้นเธอมักจะหาข้ออ้างปฏิเสธเมื่อถูกเบคกี้หยางชวนให้อยู่ทานข้าวเย็นด้วยกัน และจะต้องแน่ใจก่อนทุกครั้งว่าหลานชายของท่านไม่ได้อยู่ที่บ้านจึงจะยอมแวะไปหาแต่ปัญหาที่หนักกว่าการหลบหน้าไทเลอร์ก็คือเรื่องของอลัน เพราะฝ่ายนั้นไม่รู้จะหลงใหลได้ปลื้มอะไรกับเธอนักหนา จึงโทรมาพร่ำคำคิดถึงและขอพบได้ทุกวัน จะปฏิเสธก็ไม่ได้ เพราะกลัวเขาจะเปิดเผยความสัมพันธ์ให้ไทเลอร์รู้“ฉันบอกนายแล้วใช่ไหมว่าฉันต้องทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย ไม่ว่างจะรับโทรศัพท์ของนายได้ตลอดเวลา แล้วก็ออกมาหาบ่อย ๆ แบบนี้ไม่ได้ด้วย” เธอบอกกับเขาหลังจากจบเกมรักในอ่างอาบน้ำ และกำลังยืนแต่งตัวอยู่หน้ากระจกบานใหญ่“บ่อยที่ไหนกันครับบี คุณเพิ่งจะออกมาพบผมแค่สองครั้งเท่านั้น ทั้ง ๆ ที่ผมอยากจะพบคุณทุกวัน” เถ้าบุหรี่ในมือของชายหนุ่มถูกดีดลงบนที่เขี่ย“สองครั้งที่นายว่าคือครั้งละมากกว่ายี่สิบสี่ชั่วโมง ไม่ใช่แค่หนึ่งคืนหรือหนึ่งวันเท่านั้น นายทำให้
คำแก้ตัวของหญิงสาวที่ตัวเองไม่ค่อยชอบขี้หน้า เพราะมีตัวเทียบที่คิดว่าดีกว่า ทำให้เบคกี้หยางมองเธอแปลกไปจากเดิม เพราะคิดไม่ถึงว่าเธอจะยืดอกยอมรับแบบนี้“มาดามอาจจะคิดว่าหนูเป็นผู้หญิงใจง่าย หรืออาจจะคิดว่าหนูหวังรวยทางลัด หรืออยากเป็นหนูตกถังข้าวสารก็แล้วแต่มาดามจะคิดเลยค่ะ หนูจะยอมทนความรู้สึกดูถูกเหล่านั้นอย่างเต็มใจ แต่ได้โปรดอย่ามองคุณหยางอี้ด้วยความรู้สึกที่ไม่ดี เพราะหนูจะไม่ทน”“คิดว่าพูดแบบนี้แล้วฉันจะยอมรับเธอเป็นลูกสะใภ้อย่างเต็มใจอย่างนั้นเหรอ” น้ำเสียงที่ใช้ไม่ได้กระด้างเหมือนตอนแรก แต่ก็ยังฟังดูเย็นชา“หนูไม่คิดหรอกค่ะมาดาม หนูคิดมาตลอดว่าหนูไม่มีค่าคู่ควรกับผู้ชายที่สมบูรณ์แบบอย่างคุณหยางอี้ แต่ถึงหนูจะคิดแบบนั้น หนูก็ไม่เจียมตัวหรอกค่ะ เพราะหนูรักเขา รักมาก ดังนั้นหนูจึงตั้งใจเรียนให้หนักที่สุดเพื่อถีบตัวเองให้ดูมีค่าขึ้นมาบ้าง อย่างน้อย ๆ คนอื่นจะได้มองว่าหนูก็มีดี แต่ก็คงไม่ใช่สำหรับมาดาม ดังนั้นหนูจะยอมทนทุกอย่าง ทนจนกว่ามาดามจะยอมรับหนูเป็นลูกสะใภ้”ไม่ต้องอดไม่ต้องทนมันต่อไปแล้ว เปิดอกพูดกันไปเลยดีกว่
“ที่หนูทำอยู่ทุกวันนี้ก็ดีที่สุดแล้ว แค่นี้ฉันก็ชื่นใจแล้วจ้ะ” เธอดีทุกอย่างจริง ๆ เขาไม่ได้เยินยอ บางเรื่องก็ดีเกินไปจนน่าโมโหด้วยซ้ำ เขาจูบเธออีกครั้งอย่างนุ่มนวลและอ่อนโยนเธอเผยอปากรับจูบดูดดื่มของเขาอย่างเต็มใจ และขยับขึ้นไปนั่งบนตักของเขาตามที่มือใหญ่ของเขาพาไป…ติ๊ด ๆ ๆ ๆแต่เสียงประตูที่เตือนว่ากำลังจะมีคนเปิดเข้ามาก็ทำให้หญิงสาวที่ถูกจูบรีบฝืนตัวหนี แต่ชายหนุ่มกลับไม่แคร์ถ้าใครจะเข้ามาเห็น เพราะที่นี่คือบ้านของเขา เป็นรังรักของเขากับเธอ ดังนั้นคนที่ควรต้องเกรงใจคือคนที่เข้ามาต่างหากซึ่งเขาก็รู้ว่าไม่ใช่ใครนอกจากพรพิมล หญิงสาวที่ไปเสนอหน้าอยู่กับมารดาของเขาวันนี้ เขาจึงไม่ยอมปล่อยเธอให้เป็นอิสระ แต่กลับจูบหนักหน่วงยิ่งกว่าเดิม เพื่อให้หล่อนได้เห็นและเอาไปฟ้องมารดา“นี่มันอะไรกัน! ทำไมถึงทำประเจิดประเจ้อแบบนี้!”เสียงที่ดังขึ้นทำให้ปันหยีใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม ความตกใจทำให้เธอผลักคนรักออกห่างสุดแรง แล้วยืนขึ้นอย่างร้อนรนจนลืมความเจ็บตรงบาดแผลที่หัวเข่า“ขอโทษค่ะมาดาม” เธอกล่าวโดยที่ไม่
มื้อเย็น บนโต๊ะอาหาร“พอนั่งแบบนี้แล้วยังเจ็บอยู่ไหม” หยางอี้ถามคนรักเมื่อวางเธอลงบนเก้าอี้“ก็บอกแล้วไงคะว่าไม่ค่อยเจ็บแล้ว ไม่ต้องอุ้มก็ได้ หนูเดินเองไหว” ตั้งแต่ที่เขาเริ่มอุ้มเธอมาจากห้องนั่งเล่น เขาก็ถามว่าเจ็บไหม พออุ้มมาได้ครึ่งทางก็ถามอีกว่าปวดแผลไหม พอตอนนี้วางเธอลงแล้วก็ยังถามอีก เธอซาบซึ้งในความรักความเอาใจใส่ของเขาหรอกนะ แต่เขาก็ทำให้เธอรู้สึกว่าตัวเองอ่อนแอ เหมือนเด็กที่ยังไม่โตเธอถูกเขาบังคับให้หยุดอยู่กับบ้านเพื่อรักษาอาการป่วยและบาดแผล ทำให้รู้สึกดีขึ้นมากหลังจากกินยาตามที่หมอสั่ง แต่ในสายตาของเขาเธอก็ยังเป็นคนป่วยอยู่ดีจนถึงตอนนี้“ก็ฉันเป็นห่วงของฉันนี่”“เลิกห่วงได้แล้วค่ะ เพราะหนูไม่ได้เป็นอะไรมากจริง ๆ”“ไม่เป็นก็ไม่เป็น” สายตาลุ่มลึกที่เต็มไปด้วยความรักมองใบหน้าพิมพ์ใจ “พักนี้หนูดูเหนื่อย ๆ นะ อ่านหนังสือหนักไปหรือเปล่า”“ก็ไม่เท่าไหร่นะคะ”“ทำไมต้องหักโหมด้วยล่ะ ฉันไม่ได้บังคับให้หนูต้องรีบเรียนรีบจบเลยนะ และก็ไม่ได
“คุณไทเลอร์รู้เรื่องนี้หรือเปล่า.. จริงเหรอ” เห็นเขาพยักหน้ารับก็ยิ่งใจเสีย“ผมก็จำอะไรไม่ค่อยได้เหมือนกัน แต่จำได้ว่าไทเลอร์จะพาคุณไปส่งที่บ้าน แต่คุณปฏิเสธเขาและบอกว่าจะกลับกับผม” แขนยาว ๆ ของอลันรั้งเอวบางจากทางด้านหลังแล้วดึงเข้ามาหา แนบจมูกกับแผ่นหลังเนียน “แล้วเราก็มาลงเอยกันที่นี่ เมื่อคืนคุณทำให้ผมครางได้ทั้งคืนรู้ตัวบ้างไหม คุณทำให้ผมแทบคลั่ง ไม่เคยมีใครทำให้ผมติดใจได้เท่าคุณเลยนะ ผมว่าเรามาคบกันดีกว่า”“ไม่!” เธอรีบปฏิเสธและพยายามจะสลัดเขาทิ้ง แต่เขาก็กอดรัดเอาไว้แน่นเหลือเกิน “ปล่อยฉันนะ ฉันจะกลับบ้าน”“ทำไมถึงเย็นชานักล่ะบี เมื่อคืนคุณไม่ได้เป็นแบบนี้เลยนะ” อลันไม่ปล่อยให้เธอทำเย็นชาใส่ตน ฝังจมูกลงบนซอกคอระหงพร้อมกับใช้สองมือโลมไล้ไปที่จุดปลุกสวาทไม่นานเสียงห้ามก็กลายเป็นเสียงคราง ร่างที่ฝืนก็อ่อนปวกเปียกเหมือนถูกไฟลน แล้วเป็นฝ่ายพลิกขึ้นมาทาบทับอยู่บนร่างของเขา ควบทะยานอย่างช่ำชอง ข้ามสะพานสายรุ้งไปสู่จุดหมายปลายทางด้วยกัน“เมื่อวันก่อนหลานกับห
“ไม่เป็นไรครับ” เขาตอบชายหนุ่มมาดดีที่อุ้มหญิงสาวอย่างหวงแหนเอาไว้ ก็คงไม่ผิดหรอกที่เขารักและหวงเธอขนาดนี้ ก็เธอสวยใสไร้เดียงสาซะขนาดนั้น เป็นเขาก็คงมีอาการไม่ต่างกันหรอก “ผมลากลับเลยละกันนะครับ”“ค่ะ ขอบคุณมาก ๆ เลยค่ะที่อุตส่าห์พาไปหาหมอแล้วยังพามาส่งถึงบ้านอีก”“ด้วยความยินดีครับ” เขาหันไปลาสามีของเธออีกครั้งพร้อมกับโค้งศีรษะให้ “ผมกลับก่อนนะครับ”“ครับ” หยางอี้ตอบรับพร้อมกระชับร่างเล็กในแขน ยืนมองชายหนุ่มนามว่าซิ่วหมินเดินจากไปขึ้นรถ แล้วจึงเดินกลับไปที่รถของตนที่จอดรออยู่ใกล้ ๆ “คราวหน้าคราวหลังห้ามไปไหนมาไหนกับผู้ชายที่ไม่ใช่ผัวอีกเด็ดขาด เข้าใจไหม”น้ำเสียงกระฟัดกระเฟียดของเขาทำให้เธอยอมพยักหน้ารับโดยดี ไม่อยากมีปากเสียงกับเขาเนื่องจากรู้สึกปวดศีรษะมาก ๆ นั่นเอง“ทำไมตอบรับง่ายจัง ปกติหนูต้องมีเหตุผลมาแย้งกับฉันเสมอนี่นา” เขาถามด้วยความสงสัยเมื่อเข้าไปนั่งอยู่ในรถด้วยกันแล้ว“หนูปวดหัวมาก ยังไม่มีอารมณ์เถียงกับคุณตอนนี้หรอกค่ะ”
Komen