Home / รักโบราณ / หงส์เหนือพันธการ / บทที่ ๑/๓ ยินยอม ไม่ยินดี

Share

บทที่ ๑/๓ ยินยอม ไม่ยินดี

Author: KUNNUK
last update Last Updated: 2025-05-10 08:13:13

     มีเพียงความเงียบเป็นคำตอบ โม่เหยียนไซ่ฮ่องเต้ทอดถอนพระทัย ใช่ว่าปรารถนาให้พวกเขาเคียงคู่กันรักมั่นดั่งนกยวนยาง ขอเพียงหงส์เคียงคู่มังกรอย่างสงบสุข ขอความเมตตาเล็กน้อยจากโม่เทียนอวี่ให้แก่อวี่เทียนเหมย

     มันยากมากนักหรือ!

     “แล้วเจ้าคิดเห็นอย่างไร” พระองค์ไม่ตรัส โม่เทียนอวี่ก็ไม่พูด หากทรงไม่ริเริ่มการสนทนาก็ไม่พ้นไม่ได้ความ

     “แปดเก้าไม่ห่างสิบ”[1]

     ‘ห่างมากทีเดียวเด็กโง่!’ ทรงเข้าพระทัยในความหมายของถ้อยคำ แต่จะให้ทำตามไม่ได้เด็ดขาด ไท่จื่อเฟยก็คือไท่จื่อเฟย ใช่ว่าเป็นสตรีขององค์รัชทายาทแล้วจะมีฐานะเทียบเท่ากันทุกตำแหน่ง!

     ความจริงทรงไม่จำเป็นต้องถามเหตุผลเลยแม้แต่น้อย เพียงแค่พระราชโองการเดียว โม่เทียนอวี่ก็ไม่อาจขัดขืน อยากบังคับเหลือเกิน แต่บังคับไม่ได้ เพราะพระโอรสของพระองค์ โม่เทียนอวี่เป็นผู้กล้าตัดข้อมือ [2]เด็ดขาดไม่เกรงกลัว ตัดสินใจแล้วไม่พิจารณาซ้ำสอง

     เอาเถิด…

     มรรคาสามพัน สวรรค์ไม่ตัดหนทางมนุษย์ [3]โอกาสใช่ว่ามีหนเดียว อย่างไรเสีย...ก็ไม่มีคำปฏิเสธว่าจะไม่แต่ง ไม่ย่อท้อ ไม่หมดหวัง จึงจะสมหวัง

     “เช่นนั้น หากข้าบังคับเจ้า...ประกาศพระราชโองการออกไป แจ้งคนทั้งต้าเฉวียนให้รู้ถึงกำหนดการงานแต่งงาน จะทำเช่นไร” รู้แจ้งแก่พระทัย กระนั้นยังทรงมีพระประสงค์ถามไถ่ โม่เหยียนไซ่ฮ่องเต้สรวลทันทีเมื่อได้รับคำตอบ

     “กระหม่อมย่อมต้องยินยอม เพียงแต่ไม่ยินดี” โม่เทียนอวี่รับคำสั่งจากโอรสสวรรค์ พระบิดาของเขา สุดแท้แต่เสด็จพ่อจะบัญชา

     “ตามแต่ใจเจ้า” สมดังพระทัยแล้วก็ตรัสแต่เพียงเท่านี้ ทรงรู้ว่าต้องเดินหน้าและถอยหลังให้ถูกเวลา ความสนพระทัยทั้งหมดจึงถูกละทิ้งหนีห่างคนตรงหน้า โอรสสวรรค์ทอดพระเนตรไปยังประตู ประตูไม่หนาพอจะปิดบังสายตา ไม่หนาพอจะไม่ได้ยิน “เข้ามาเถิด” พระสุรเสียงดังชัดเจน

     รอไม่นานนัก เสิ่นกงกงก็เดินก้มหน้างุดแทบจะแนบกราบไปกับพื้นเข้ามาก่อน

     “กระหม่อมทูลลา” ไม่รอให้ได้รับคำอนุญาตด้วยซ้ำ โม่เทียนอวี่ก็เดินออกไปทันที

     โม่เหยียนไซ่ฮ่องเต้ทอดพระเนตรตามหลังพระโอรส พระพักตร์กระตุกในทันใด อยากจะสรวลให้ดังลั่น เมื่อเหตุการณ์ที่ทรงปรารถนาปรากฏดังพระทัยมุ่งหวัง

.

     อวี่เทียนเหมยอับอายจนอยากแทรกแผ่นดินลี้หนีหน้า แต่นางก็ยังตั้งใจฟังในทุกถ้อยคำ

     ไม่คู่ควร ไม่เหมาะสม

     เขาจึงยินยอม แต่ไร้ความยินดี

     คนงามน้ำตาคลอเต็มหน่วยตา แต่ด้วยศักดิ์ศรีที่มีเหลืออยู่บังคับไม่ให้น้ำตาไหล นางเงยหน้าขึ้นมองยามเขาเดินผ่าน

     ใบหน้าของบุรุษไร้ใจที่ไม่ยินดีเป็นอย่างไร เหตุใดเขาจึงใจร้ายนัก บุรุษผู้ซึ่งนางนับวันคืนรอคอยพบหน้า แตกต่างมากเพียงใดกับคำเล่าลือ

     นางทันได้สบสายตาประสานยามเขาย่างกรายผ่าน ราวกับเวลาหยุดเดิน ณ ตอนนี้ ชั่วชีวีครานี้คราแรก หัวใจดวงน้อยเต้นแรงด้วยจังหวะแปลกพิกล

     ความรู้สึกนับร้อยพลันสลายหายไป หลงลืมชั่วครู่...มีเพียงใบหน้าหล่อเหลาตรึงสายตาและหัวใจให้ไม่ละจาก เผลอส่งยิ้มให้เขาอย่างไม่รู้ตัว ห้วงคำนึงในหัว มีเพียงความคิดหนึ่งเดียว ตั้งปณิธานในใจ ต้องแต่งกับเขาให้ได้!

     ต่อมาเขาเบือนหน้าหนี สบตาเพียงเสี้ยวเดียวก่อนเดินจากไป ท่าทีทั้งหมดล้วนบ่งบอกว่ารังเกียจ คนงามรู้สถานะตนจึงก้มหน้าลงต่ำเป็นครั้งแรก สมเพชตนเอง เล็บยาวจิกที่ฝ่ามือจนห้อเลือด แต่ไม่เจ็บเท่าที่ใจเลยแม้แต่น้อย...

.

     โม่เหยียนไซ่ฮ่องเต้ตรงข้ามกับทุกคนในห้อง พระโอษฐ์แย้มยิ้มอย่างอดไม่ได้ ต่อมายามขันทีเฒ่าเสิ่นกงกงเงยหน้าขึ้นมอง พระพักตร์จึงกลับไปเคร่งเครียดดังเดิม

     “ถวายพระพรฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่น ๆ ปี” เสียงหวานของอวี่เทียนเหมยดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ

     ความรู้สึกผิดมีมากเท่าไหร่ ไหนเลยจะมากเท่าความละอาย แผนการถูกนำมาไตร่ตรอง ไม่นานนักโอรสสวรรค์ก็ตรัสถามคนงามว่า “จะกลับจวน หรือตามเขาไป”

     อวี่เทียนเหมยนิ่งไปชั่วครู่ ท้ายที่สุดก็ตัดสินใจกราบทูล“หม่อมฉันทูลลาฝ่าบาท” ไม่รอให้ได้รับคำอนุญาต คนงามแซ่อวี่เดินออกนอกห้องทันที

     คำตอบไม่เจาะจงชัดแจ้ง โม่เหยียนไซ่ฮ่องเต้คิดว่าทรงคาดคะเนได้ไม่ผิด โม่เทียนอวี่ดื้อรั้น ทว่าเหมยเหมยดื้อรั้นยิ่งกว่า!

     เสิ่นกงกงหันหน้าไปมารอบห้อง ขันทีเฒ่าข้องใจจนมีคำถาม “นางจะไปที่ใดหรือพ่ะย่ะค่ะ”

    “ตามไปดูหรือไม่”โม่เหยียนไซ่ฮ่องเต้ตรัสตอบ เสิ่นกงกงตาเป็นประกาย ‘ตาเฒ่าลืมสังขาร’ ทรงตำหนิในพระทัยเล็กน้อย ก่อนจะให้ความกระจ่างแก่เสิ่นกงกงว่า “ไม่ตามไปวันนี้ ชาตินี้...คิดว่านางจะได้เจอหน้าเด็กโง่นั่นอีกหรือไม่”

     เสิ่นกงกงยังไม่เข้าใจเช่นเดิม โม่เหยียนไซ่ฮ่องเต้ไม่สนพระทัยขันทีเฒ่า เสิ่นกงกงไม่เข้าใจไม่สำคัญ อวี่เทียนเหมยเข้าใจก็พอแล้ว

     เมื่อครู่นับหนึ่งได้ถึงสิบ เพียงเสี้ยวเดียวก็ยังดี ไม่มีคำพูดใด แต่กลับทำให้โม่เทียนอวี่หยุดชะงักมองได้ ว่าที่ไท่จื่อเฟยนับว่าไม่ไร้ฝีมือ!

     จะตีเหล็กต้องตีตอนร้อน ปล่อยให้เย็นแล้วค่อยเข้าหา ไม่ใช่เรื่องดี วันนี้พบเจอหน้า วันต่อมาอย่าได้หวัง ตัดสินใจไปแล้ว ใครจะเปลี่ยนใจได้หากไม่ใช่เจ้าของใจ

     ในเมื่อจุดประสงค์ของวันนี้ คือ พบหน้า สนทนาทำความรู้จัก แต่กลับล่มไม่เป็นท่าเพราะวาจาหาดีไม่ได้ของพระโอรสหน้าโง่ ที่ควรพบ...ก็ได้พบแล้ว เหลือแต่ที่ควรทำ...ก็ต้องทำให้สำเร็จ!

     เอาเถิด…วีรบุรุษยากข้ามผ่านด่านสาวงาม หวังว่าแม้จะโง่งมไร้สมองเพียงใด ก็ขอให้มีตาดูด้วยเถิด ว่าสิ่งใดดี หรือไม่ดี ‘โม่เทียนอวี่เอ๋ย…ลูกชายข้า เจ้าฆ่าคนไม่มองหน้า วันนี้เจอคนงามเจ้าแลเหลียว’

     หวังว่าเจ้าจะเป็นดั่งใจข้าหวัง หากไม่เป็น...ก็หาใช่เรื่องน่าวิตก เพราะหากสวรรค์ลิขิต ยังผูกด้ายแดงไม่สำเร็จ ตัวข้า…โม่เหยียนไซ่ฮ่องเต้ผู้นี้ พระบิดาของเจ้าไม่บังคับ ไม่ยัดเยียด แต่จะทำให้สมรสพระราชทานถูกร้องขอจากปากเจ้าเอง โม่เทียนอวี่!

     ‘เหมยเหมยเอ๋ย…ลูกพยัคฆ์ย่อมไม่เป็นสุนัข บิดารับปากอย่างไรบุตรต้องกระทำตาม ถ้อยสุวรรณ หยกวจี [4]สัญญาเช่นไร เป็นเช่นนั้น’

[1] ใกล้เคียงกันมาก แทบไม่แตกต่าง

[2] ตัดสินใจเด็ดขาด

[3] สวรรค์ไม่ใจร้าย มีทางออกให้กับปัญหาเสมอ

[4] รับสั่งของฮ่องเต้ที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • หงส์เหนือพันธการ   บทที่ ๓/๓ ดอกไม้บานเพียงหนึ่งเดียว

    อวี่เทียนเหมยสบตากับมารดา รู้สึกอุ่นใจขื้นมาอีกมาก ท่านแม่เข้าใจในเหตุผลของนาง อวี่เทียนเหมยคิดว่าตนเองยังสามารถทนได้ อยากจะลองพยายามดูอีกสักครั้ง ทนมาแล้วแต่แรก ทนอีกต่อไปก็ไม่เสียหาย รู้ดีว่าหากตนทนไม่ไหว ประเมินแล้วได้ข้อสรุปว่า ตั้งรับกับไท่จื่อไม่ได้ นางคงร้องไห้โฮกลับจวนแต่วันแรก ไม่ปล่อยให้เวลาผ่านมานานถึงเจ็ดวัน แล้วจึงค่อยฟูมฟาย แม้จะโกรธเคืองพญามัจจุราชเพียงใด ก็ไม่มีความคิดจะยกเลิกมากเท่า ปรารถนาให้การหมั้นหมายยังคงอยู่ อวี่เสียนเห็นท่าทีของฮูหยินและบุตรสาว พลันเกิดความรู้สึกสับสนในใจขึ้นมาเล็กน้อย ไม่รู้ว่าควรจะต้องเสียใจ หรือยินดีกับความเข้มแข็งทางจิตใจของเหล่าสตรีแซ่อวี่ ที่มีมากจนเกินความพอดีนี้ “แล้วเจ้ายินดีหรือ” บิดาถามไถ่บุตรสาว “แล้วข้ายกเลิกได้หรือเจ้าคะ” ส่งถามคำถามที่มีคำตอบตายตัวอยู่แล้วออกไป ไม่มีใครตอบนางในข้อนี้ได้สักคน ทุ่มเถียงกันอย่างไร มีเพียงคนตระกูลอวี่ก็ไม่อาจยกเลิกได้ อวี่เทียนเหมยยิ้มพร้อมน้ำตาก่อนจะพูดถึงเรื่องกังวลใจอีกหนึ่งเรื่องออกไป “พี่ใหญ่…” บุตรสาวพูดไม่ทันได้จบประโยค เพียงแค่กำลังจะเริ่มเท่านั้น อวี่ฮูหยินผู้เป็นมารด

  • หงส์เหนือพันธการ   บทที่ ๓/๒ ดอกไม้บานเพียงหนึ่งเดียว

    ฟ้าฝนกำลังจะลาจาก ส่งท้ายฤดูกาลด้วยสายลมหนาว เป็นสัญญาณเตือนให้เตรียมพร้อมกับเหมันต์ฤดู อวี่เทียนเหมยสวมเสื้อคลุมอยู่แล้วยังคิดว่าหนาวอยู่ดี ต่อมาเมื่อเจียถิงเอาผ้าอีกผืนมาคลุมเพิ่มให้ จึงรู้สึกอุ่นขึ้นมาบ้าง คนงามเหลียวมองรอบห้องหาสาวใช้อีกคน แน่นอนว่าไม่มีเสียงพูดเจื้อยแจ้วเข้าหู แสดงว่าเจ้าตัวไม่อยู่ในบริเวณนี้ “ซูผิงเล่า” “นางไปเอายามาให้คุณหนูเจ้าค่ะ” เจียถิงตอบกลับมา รู้ว่าเจ้านายมองหาอะไร อวี่เทียนเหมยพยักหน้าว่ารับรู้ มองตามสาวใช้ คุ้นชินแล้วกับการหางานทำอย่างไม่หยุดหย่อนของเจียถิง แม้ไม่มีงานให้ทำ เจียถิงก็จะไปหาอะไรสักอย่างมาทำจนได้ ปากของเจียถิงนิ่งสงบ ลมไม่มีโอกาสเข้าปาก หากไม่มีคนถาม แต่มือของเจียถิงตรงข้ามกัน เคลื่อนไหวตลอดเวลา แตกต่างจากซูผิงที่ไม่มีทางอยู่นิ่ง ยิ่งกับการสนทนาหาข่าวที่ชอบอ้างว่าทำไปเพื่อเปิดหูตาให้กว้างไกล หรือเรียกอีกอย่างว่าการซุบซิบนินทานั้น ดูจะเป็นงานหลักมากกว่าการดูแลเจ้านายอย่างอวี่เทียนเหมย ซูผิงอยู่ไม่ติดที่ วิ่งไปมาทั้งวัน อยู่นอกจวนมากกว่าในจวน แต่ไม่มีผู้ใดตำหนิจริงจังเสียที เพราะซูผิงซุกซนเพียงแค่ในจวน เมื่อก้าวเท้า

  • หงส์เหนือพันธการ   บทที่ ๒/๓ ไร้ประโยชน์

    พูดช้า ๆ เสียงหนักแน่น ใบหน้าเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์ เขาเคยชินกับการพูดโดยไม่จำเป็นต้องคอยสังเกตสีหน้าของใคร เมื่อพูดแล้วก็ลุกขึ้นยืน ฝนยังไม่หยุดตก สภาพนางเหมือนไก่ในน้ำแกง [1]เขาตัดสินใจทิ้งร่มในมือไว้ข้างตัวนาง เพียงแต่ปล่อยมือเร็วไปเล็กน้อย ร่มร่วงลงไปที่พื้น...ราวกับว่าเขาขว้างทิ้ง หาใช่เรื่องที่ต้องใส่ใจ โม่เทียนอวี่หันหลังกลับไปหาเจี้ยนฉางและถางจี้ ยื่นมือไปรับร่มอีกคันจากองครักษ์ สายฝนต้องถูกตัวไม่น้อย เขาร่างกายแข็งแรงยังรู้สึกเย็น แล้วกับสตรีนางหนึ่งเล่า... สลัดความรู้สึกผิดออกจากใจได้ไม่หมด ออกคำสั่งกับเจี้ยนฉางว่า “เรื่องวันนี้อย่าได้แพร่งพราย” เจี้ยนฉางรับคำ โม่เทียนอวี่วางใจ ไม่ต้องพูดให้มากมาย โดยปกติเขาสงวนถ้อยคำยิ่งกว่าทองคำ มีวันนี้พูดมากไปกว่าทุกวัน ชี้แจงมุมมองของตนเองตามคำถามแล้ว เขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรอีก เดินจากไปโดยไม่เหลียวหลัง กลับกัน…. อวี่เทียนเหมยน้ำตาไหลพราก ไม่เคยรู้สึกว่าตนเองตกต่ำมากถึงเพียงนี้ เขากล่าวว่านางไร้ประโยชน์! สามคำนี้เด่นชัดในหู สลักลึกยิ่งกว่าคำว่าไร้ศักดิ์ศรี! ไม่รู้ว่าเพราะตากฝนนาน หรือเพราะถ้อยคำที่ได้ยิน ส

  • หงส์เหนือพันธการ   บทที่ ๓/๑ ดอกไม้บานเพียงหนึ่งเดียว

    อวี่เทียนเหมยนอนหงายอยู่บนเตียง เงยหน้ามองเพดาน สีหน้าบางครั้งซีดเซียวกว่าคนป่วยไข้ปกติธรรมดา บางคราก็แดงก่ำขึ้นมาโดยไม่รู้เหตุผล ผ้าห่มหลายผืนถูกคลุมไว้บนร่างกายซ้อนทับกันไว้ให้ความอบอุ่น คนงามปวดเมื่อยไปทั่วทั้งตัวเพราะพิษไข้ นับได้เจ็ดวันหลังจากวันนั้น นางไม่รอให้ฝนซารีบไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ตำหนักฉือหนิง ฐานที่มั่นอันคุ้นเคยหนึ่งเดียวของอวี่เทียนเหมยในวังหลวง ไทเฮามีพระเมตตามากล้น พระราชทานเสื้อผ้าชุดใหม่ไหมล้ำค่าปลอบประโลมใจ คนงามมีใบหน้ายิ้มแย้มกลับจวน กลัวคนในครอบครัวเป็นกังวล ไม่ถึงหนึ่งชั่วยามอาการทรุด ล้มป่วยจนได้ บิดามารดา เห็นสีหน้านางไม่ถามไถ่ อวี่เทียนเหมยไม่กล้าคาดเดา และไม่ได้บอกเล่าออกไปว่าเรื่องราวในวันนั้นเป็นอย่างไร ส่วนตัวแล้วเป็นคนไม่ชอบโกหก หากถูกถามขึ้นมาไม่พ้นต้องบอกตามจริง ยิ่งคิดยิ่งอาย อยากย้อนเวลากลับไปได้ รู้สึกว่าตนเองขาดการไตร่ตรองไม่น้อย หากกลับจวน วันหน้าค่อยไปพบ บางทีคงดีกว่า ‘โง่เขลายิ่งนัก’ มีเพียงคำก่นด่า สมน้ำหน้าตนเอง เอาเถิด…หากไม่ทำก็ไม่หายข้องใจ อย่างไรก็ย้อนกลับไปแก้ไขไม่ได้! ถอนหายใจอีกครั้ง หลับตาลงตั้

  • หงส์เหนือพันธการ   บทที่ ๒/๒ ไร้ประโยชน์

    เมื่อนั้น… เรียกสามครั้งไม่หัน ครั้งที่สี่เขาจึงยอมหันหน้ากลับมามองนาง อวี่เทียนเหมยไม่สงวนท่าทีแล้ว วิ่งหน้าตั้งไปหาเขา ทว่าไหนเลยนางจะกล้าหอบหายใจต่อหน้า เหงื่อไหลพรากเพียงใด อวี่เทียนเหมยก็ไร้เสียง นางจ้องหน้าเขาไม่ยอมละสายตา กลัวว่าหากคลาดไปเพียงเสี้ยว เขาจะหายไปอีก เขาหยุดรออยู่ชั่วครู่ สตรีน่ารำคาญพยายามควบคุมลมหายใจ คงไม่อยากแสดงอาการเหนื่อยให้เห็น ยืนจ้องหน้าเขาด้วยท่าทีไม่น่าดู จะพูดก็ไม่พูดเช่นนี้ ไม่น่าเกลียดกว่าเดิมหรือ โม่เทียนอวี่ใช้โอกาสนี้กวาดสายตามองคนงามตั้งแต่หัวจรดเท้า ‘นึกว่าพวกจิตรกรวาดแต่งแต้มเสริมเติมแต่ง เห็นใบหน้าจึงรู้ว่าที่แท้งามกว่า’ โม่เทียนอวี่ขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่ชอบใจ ไม่ชอบใจที่นางงดงาม ! เหตุใดจะต้องมีเหตุผลให้หยุดคิดในเมื่อตัดสินใจไปแล้ว! ไหนเลยจะชื่นชอบตัวเองยามนี้ รับรู้ถึงความรู้สึกแปลกไปอันรู้แก่ใจว่าเป็นเพราะเหตุใด เพื่อให้ใจแน่วแน่ไม่แปรผัน โม่เทียนอวี่หันหลังกลับ เดินห่างออกไปทันที อวี่เทียนเหมยหายเหนื่อยทันควัน จะวิ่งก็ไม่มีเรี่ยวแรงแล้ว จึงก้าวเท้ายาวเดินตามเขาไปต่อ ไม่กล้าเรียกขานดังเช่นเมื่อครู่

  • หงส์เหนือพันธการ   บทที่ ๒/๑ ไร้ประโยชน์

    อวี่คือแซ่ อักษรเหมยท้ายชื่อมาจากวันที่นางเกิดนั้นมีดอกเหมยบานสะพรั่งทั่วแผ่นดิน อักษรตัวสำคัญคือคำว่าเทียน ไหนเลยจะมาจากผู้อื่น เป็นเขาผู้นั้น องค์รัชทายาทโม่เทียนอวี่ อักษรเทียนนี้ ฮ่องเต้พระราชทานให้แก่นาง พร้อมพระราชโองการระบุสัญญาหมั้นหมายที่มาเยือนถึงหน้าจวนตระกูลอวี่ สัญญาหมั้นหมายแตกต่างอย่างไรกับการผูกมัด ใคร ๆ ก็ว่าเป็นเรื่องมงคลยิ่ง มงคลอย่างไรกัน...แตกต่างจากพันธการอย่างไรหรือ อักษรเทียนกลางชื่อของอวี่เทียนเหมย ก็เป็นดังรับสั่งจากสวรรค์ ให้นางยึดเขาเป็นศูนย์กลางของชีวิต โม่เทียนอวี่ไท่จื่อ ‘ชีวิตของหม่อมฉันไม่เคยได้ใช้เพื่อตนเอง ล้วนแต่เพื่อพระองค์ทั้งสิ้น’ ไม่ชอบไม่ว่า ไม่เคยปรารถนาให้รัก...แต่มาหยามเกียรตินางต่อหน้าผู้คนมากมาย ไม่ละอายใจบ้างหรือ ตัวเป็นบุรุษกลับรังแกสตรีด้วยวาจา เขาอายุนับปีนี้ได้ยี่สิบสองปี มากกว่านางถึงห้าปี เด็กน้อยอายุห้าปี...อ่านตำรารู้ภาษาคนแล้ว ตรงข้ามกับนางซึ่งยังเป็นทารกน้อยนอนอยู่ในห่อผ้า หากไม่ยินดี เหตุใดจึงไม่ปฏิเสธด้วยตนเองตั้งแต่ยามนั้น ปล่อยเวลาล่วงเลยผันผ่าน จนถอยหลังกลับไม่ได้เพื่อสิ่งใด! องค์รัชทายาทโม่เที

  • หงส์เหนือพันธการ   บทที่ ๑/๓ ยินยอม ไม่ยินดี

    มีเพียงความเงียบเป็นคำตอบ โม่เหยียนไซ่ฮ่องเต้ทอดถอนพระทัย ใช่ว่าปรารถนาให้พวกเขาเคียงคู่กันรักมั่นดั่งนกยวนยาง ขอเพียงหงส์เคียงคู่มังกรอย่างสงบสุข ขอความเมตตาเล็กน้อยจากโม่เทียนอวี่ให้แก่อวี่เทียนเหมย มันยากมากนักหรือ! “แล้วเจ้าคิดเห็นอย่างไร” พระองค์ไม่ตรัส โม่เทียนอวี่ก็ไม่พูด หากทรงไม่ริเริ่มการสนทนาก็ไม่พ้นไม่ได้ความ “แปดเก้าไม่ห่างสิบ”[1] ‘ห่างมากทีเดียวเด็กโง่!’ ทรงเข้าพระทัยในความหมายของถ้อยคำ แต่จะให้ทำตามไม่ได้เด็ดขาด ไท่จื่อเฟยก็คือไท่จื่อเฟย ใช่ว่าเป็นสตรีขององค์รัชทายาทแล้วจะมีฐานะเทียบเท่ากันทุกตำแหน่ง! ความจริงทรงไม่จำเป็นต้องถามเหตุผลเลยแม้แต่น้อย เพียงแค่พระราชโองการเดียว โม่เทียนอวี่ก็ไม่อาจขัดขืน อยากบังคับเหลือเกิน แต่บังคับไม่ได้ เพราะพระโอรสของพระองค์ โม่เทียนอวี่เป็นผู้กล้าตัดข้อมือ [2]เด็ดขาดไม่เกรงกลัว ตัดสินใจแล้วไม่พิจารณาซ้ำสอง เอาเถิด… มรรคาสามพัน สวรรค์ไม่ตัดหนทางมนุษย์ [3]โอกาสใช่ว่ามีหนเดียว อย่างไรเสีย...ก็ไม่มีคำปฏิเสธว่าจะไม่แต่ง ไม่ย่อท้อ ไม่หมดหวัง จึงจะสมหวัง “เช่นนั้น หากข้าบังคับเจ้า...ประกาศพระราชโองก

  • หงส์เหนือพันธการ   บทที่ ๑/๒ ยินยอม ไม่ยินดี

    การเดินเท้าเงียบงัน ไม่มีกระทั่งเสียงรองเท้ากระทบพื้น อวี่เทียนเหมยเดินตามเสิ่นกงกงมาเรื่อย ๆ ไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติมอีกเช่นเดียวกับผู้เฒ่าที่ตั้งหน้าตั้งตานำทาง จวบจนเดินเข้ามาในเขตหวงห้าม อวี่เทียนเหมยมองไปรอบ ๆ ทุกสิ่งยังคงเหมือนเดิมไม่แปรเปลี่ยน ยังเป็นเฉกเช่นครั้งล่าสุดที่ได้มาเยือน ห้องทรงพระอักษร พื้นที่ส่วนพระองค์ของโม่เหยียนไซ่ฮ่องเต้ ฝ่าบาททรงแยกไว้เป็นสัดส่วนกับห้องทรงงาน อวี่เทียนเหมยหายใจผิดจังหวะเล็กน้อย ยามเฝ้ารอ...เหตุใดจึงนานนัก ยามถึงเวลา...เหลือทางข้างหน้าอีกเพียงแค่หนึ่งก้าว นางกลับเริ่มไม่แน่ใจราวกับว่าที่ผ่านมายังเตรียมตัวได้ไม่ดีพร้อม อยู่ ๆ ใจก็เต้นแรงอีกครั้ง มือสองข้างบีบเข้าหากันแน่น อึดอัดจนหายใจไม่ค่อยสะดวก ทั้ง ๆ ที่ห้องโปร่งโล่งสบายอากาศถ่ายเท หากไม่ใช่ว่ารู้สึกไปเอง เหมือนจะมีเหงื่อออกที่ใบหน้าเล็กน้อย เข้าเฝ้าฝ่าบาทร้อยครั้งไร้ความตื่นเต้น อวี่เทียนเหมยไม่เคยเป็นเช่นนี้ โม่เทียนอวี่ไท่จื่อ พญามัจจุราชองค์รัชทายาทแห่งต้าเฉวียน เขาทำให้นางผิดแปลกไปจากเดิม เขาจะเป็นอะไรก็เป็นไป อวี่เทียนเหมยหาได้ใส่ใจ หากไม่ใช่เพราะเขาเป็นคู่หม

  • หงส์เหนือพันธการ   บทที่ ๑/๑ ยินยอม ไม่ยินดี

    แคว้นต้าเฉวียนรัชศกฮุ่ยอัน,โม่เหยียนไซ่ฮ่องเต้วังหลวง . ช่วงท้ายปลายฤดูฝน พายุโหมกระหน่ำแทบทุกวันไม่เว้นว่าง ยามนี้เป็นเวลากลางวัน ทว่าท้องฟ้ากลับกลายเป็นสีดำมืดมิด เสียงลมพัดหวีดหวิวสอดประสานกับเสียงฟ้าร้องคำราม เมฆฝนกลุ่มใหญ่เคลื่อนคล้อยใกล้เข้ามาหา บ่งบอกว่าช่วงเวลาของพายุยังอีกยาวนาน หากบอกว่าสวรรค์พิโรธโกรธเคืองคงเชื่อได้โดยไร้ข้อสงสัย วันนี้ที่เฝ้ารอ วันที่ควรจะเป็นมงคลยิ่ง กลับถูกธรรมชาติทำให้หวั่นใจไปเสียแล้ว เทพธิดากำลังเดินเยื้องย่างท่ามกลางพายุฝน หากมีใครสักคนมาเห็นย่อมมีเสียงชื่นชมเช่นนี้ เพียงแต่ว่าฝนห่าใหญ่ทำให้มนุษย์หลีกเร้นหลบซ่อนหนี คนงามซึ่งหวังจะจำแลงกายเป็นเทพธิดาท่ามกลางสายตาผู้คนมากมายจึงต้องผิดหวัง หนทางเดินเข้าสู่วังหลวง ไร้ผู้คนสวนทาง อัสนีบาตกระทบเข้านัยน์ตา โสตประสาทตื่นตัวยิ่งกว่าเคย ท่าทางภายนอกคนงามดูสงบนิ่ง ทว่าในใจหาได้เป็นเช่นนั้น ร้อนรนยิ่งกว่าสิ่งใด ไม่ต้องให้ใครมาบอก ก็รู้ได้ทันที ‘วันนี้ฤกษ์ไม่ดีเสียแล้ว’ คนงามถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง เวทนาในชะตาของตน อากาศเย็นจนหนาวสั่น ละอองฝนสัมผัสถูกตัวไม่น้อย แต่กลับดับความร้อนภ

Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status