หน้าเตาที่มีเหล่าเชฟฝึกหัดยืนอยู่เรียงราย กำลังขะมักเขม้นตั้งใจทำปลาต้มผักกาดดองให้เสร็จและมีรสชาติใกล้เคียงกับของอาจารย์ ซึ่งลี่หลินมีสีหน้าเป็นกังวลด้วยความตั้งใจเกินร้อยจึงทำให้กดดันตัวเอง เธอถกแขนเสื้อขึ้นอย่างทะมัดทะแมงจัดการต้มน้ำไว้รอเดือด แล้วจับปลาที่ถูกแช่อยู่ในน้ำแข็งมาชำแหละเป็นชิ้น ปลายมีดแหลมคมเฉือนเนื้อปลาไปถึงก้างเพื่อเลาะเอาเนื้อปลาชิ้นสวยออกมาวางเรียง ก่อนละมือไปเตรียมอย่างอื่นต่อ
“เก่งจังเลยลี่หลิน” ปิงปิงเอ่ยชม เมื่อเห็นว่าเพื่อนทำได้คล่อง ซึ่งต่างจากเธอที่ยังเงอะงะเรียงลำดับก่อนหลังไม่ถูก จนต้องแอบชำเลืองมองเพื่อน
“เมนูนี้ฉันทำให้แม่กินบ่อยน่ะ”
“เมื่อไหร่อาจารย์จะสอนทำอาหารอย่างอื่นบ้าง อาหารไทยก็น่าสนใจนะ” ปิงปิงบ่นพร้อมทำหน้ามุ่ย
“เราเรียนทำอาหารจีนไม่ใช่”
“ฮ่า ๆ จริงด้วย คงต้องไปหาเรียนหลักสูตรสั้น ๆ แทน”
“นี่ลี่หลิน”
“...?”
“ฉันได้หนังสือนิยายมาใหม่แหละ อยากอ่านไหม”
“มีกี่เล่มจบ ช่วงนี้ฉันไม่ค่อยว่างด้วยกลัวเอาไปอ่านนาน”
“แค่ไม่กี่เล่มหรอก อ่านแป๊บ ๆ ก็จบแล้ว”
ลี่หลินชั่งใจ “งั้นฉันยืมเธออ่านก็แล้วกัน”
“ได้เลยเพื่อนรัก ว้าย!” มัวแต่คุยกันน้ำในหม้อที่ปิงปิงตั้งไว้ดันมีฟองอากาศดันขึ้นจนล้นหม้อ เธอจึงตกใจลนลานและรีบปิดก๊าซ แล้วตั้งใจทำอาหารของเธอต่อไป
ลี่หลินเห็นอย่างนั้น เธอจึงหันมาสนใจปลาต้มผักกาดต่อ และผ่านไปไม่นานทุกคนต่างทยอยกันตักต้มปลาผัดกาดดองไว้ให้อาจารย์ได้ชิม ซึ่งลี่หลินรู้ดีว่าคงไม่ได้คะแนนเต็ม เพราะเวลาในการทำที่นานเกินไปจนทำให้เนื้อปลายุ่ยไม่เป็นชิ้น
“เจ็ดคะแนน” อาจารย์เฉิงชิมแล้วให้คะแนนทันที
“ขอบคุณค่ะ” ยังดีที่ยังผ่านเกณฑ์อยู่บ้าง
“หกคะแนน”
“หา! อาจารย์คะ” ปิงปิงได้น้อยกว่าอย่างน่าเสียดาย
“น้ำซุปมันขม” และนี่คือเหตุผลของอาจารย์ที่ฟังขึ้นอยู่ไม่น้อย ก่อนเดินไปชิมถ้วยอื่นบ้าง
“ค่ะอาจารย์ครั้งหน้าจะแก้ตัวใหม่” ปิงปิงทำหน้าเซ็ง ก่อนเดินอย่างหมดเรี่ยวแรงไปหยิบกระเป๋าโดยลากลี่หลินไปด้วยเพื่อไปเรียนต่อวิชาอื่นที่อัดแน่นไปจนถึงหนึ่งทุ่ม
“เหนื่อยจัง” ลี่หลินพูดอย่างหมดแรง พร้อมฟุบลงบนโต๊ะโรงอาหารของมหาวิทยาลัย เธอกับปิงปิงมาทานข้าวต้มลูกเดือยด้วยกันก่อนแยกย้ายกลับหอพักของตัวเอง
“ฉันก็เหนื่อย ยืนจนขาแข็งหมดแล้วเนี่ย หน้าก็มัน ไม่รู้สิวจะขึ้นไหม” ปิงปิงบ่นอุบอิบ พร้อมหยิบกระจกมาส่องดูหน้าตัวเอง
ชีวิตช่วงนี้ของลี่หลินดูน่าเบื่ออยู่ไม่น้อย นอกจากเรียนหนักทั้งวันแล้วก็ไม่ได้ทำอะไรเลย แต่ยังดีที่มีเพื่อนอย่างปิงปิงที่ทำให้ในแต่ละวันมีเรื่องราว
“นี่เอาไปอ่าน จะได้ไม่ต้องทำหน้าเบื่อโลกขนาดนี้” ปิงปิงหยิบหนังสือที่ถูกใส่ไว้ในกล่องเป็นเซ็ตอย่างดี
“ไหนบอกว่ามีไม่กี่เล่มไง” ลี่หลินพูดพร้อมรอยยิ้ม
“แค่ห้าเล่มสั้น ๆ”
“ไม่สั้นนะ”
“เอาไปอ่านเถอะ แล้วจะวางไม่ลง”
“ขอบใจนะ”
“อืม กินข้าวเถอะ จะได้ไปพักอ่านนิยาย ฉันมีอีกหลายเรื่องเลยนะ”
“พอก่อน อ่านเรื่องนี้ให้จบก่อน”
“จ้า”
เมื่อนั่งทานข้าวจนหมดก็ถึงเวลาที่เพื่อนทั้งสองต้องแยกย้าย ลี่หลินปั่นจักรยานคู่ใจกลับไปยังหอพักรวมซึ่งอยู่หลังมหาวิทยาลัย ส่วนปิงปิงที่มีบ้านอยู่ใกล้เธอจึงกลับไปนอนอยู่ที่นั่นโดยไม่จำเป็นต้องเช่าหอ
ร่างอรชรหอบกายที่มีแต่กลิ่นอาหารติดตัวเดินขึ้นบันไดมายังชั้นสอง พลันเปิดประตูเข้ามาในห้องพักที่มีห้องโถงใหญ่อยู่ตรงกลางซึ่งต้องแบ่งปันกับเพื่อนอีกสามคน เธอเป็นเด็กนักเรียนดีจึงได้ทุนมาเรียน หากไม่ได้ทุนคงไม่มีโอกาสได้เข้ามาด้วยบ้านของเธอยากจนเป็นอย่างมากนั่นเอง
ลี่หลินไม่เคยพูดเรื่องนี้ให้ใครฟังแม้แต่ปิงปิงก็ยังไม่อาจรู้ เธอปิดบังเรื่องนี้มานานเพราะด้วยกลัวจะถูกรังแกและถูกล้อ แต่ถึงอย่างนั้นลี่หลินก็ขยันอดทนสู้มาจนถึงทุกวันนี้ เพื่อหวังได้เข้าไปทำงานในโรงแรมห้าดาว
ก่อนจะพร่ำเพ้อคิดถึงความฝันไปมากกว่านี้ลี่หลินก็เดินไปอาบน้ำแต่งตัวซะใหม่ เธอไม่ลืมดูแลตัวเองด้วยการมาร์กหน้าและทาครีมจนทั่วตัว พร้อมสวมชุดนอนแสนสบายปีนขึ้นเตียงชั้นสองของตัวเอง เพื่อมานอนเอนกายอ่านนิยายของปิงปิง
“มันจะวางไม่ลงขนาดนั้นเลยเหรอ” ลี่หลินไม่เชื่อคำเพื่อนด้วยชื่อเรื่องก็แสนธรรมดา ปกยังมีแต่ดอกโบตั๋นไม่มีจุดสนใจอะไรสักอย่าง มีเพียงชื่อเรื่องที่บ่งบอกถึงตัวละครหลัก ว่าคนที่กล่าวถึงในเรื่องนี้คือ หญิงอัปลักษณ์
“คงจะเหมือนเรื่องอื่นแหละมั้ง” ลี่หลินคาดเดา พล็อตนิยายวนเวียนอยู่ไม่กี่อย่างที่พอน้ำเน่า แต่คนก็ยังชอบอ่านมัน ไม่เว้นแม้แต่เธอ ถึงจะพอคาดเดาว่าตอนจบเป็นเช่นไร แต่เธอก็อยากรู้ว่าระหว่างทางมีอุปสรรคอะไรบ้าง
มือเรียวกรีดหน้าหนังสือเปิดออก เธออ่านคำโปรยเป็นอย่างแรก ซึ่งทำให้รู้สึกหน่วงอยู่ในใจไม่น้อย ราวกับว่าเป็นเรื่องที่เคยเกิดขึ้นกับเธอจนทำให้รู้สึกจุกอกและหน่วงอยู่ในใจ
“หากข้าตายจากท่านไป ท่านจะเหลียวแลมองข้ารึไม่” นี่คือถ้อยคำที่กลั่นออกมาพร้อมหยดน้ำตาพรั่งพรูดั่งสายโลหิต ต่อหน้าสามีคนไร้ใจ ท่านแม่ทัพไม่ตอบคำใดเพียงแต่เดินมาผลักนางลงสู่ก้นเหวลึกอย่างเยือกเย็น
“อร่อยยิ่งนัก” เซียวจ้านเอ่ยชมคนงานที่พากันชิมต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกัน ทำให้คนทำยิ้มกว้าง“ท่านว่าข้าทำขนมขายไปด้วยจักดีรึไม่” ลี่หลินพูด“เจ้าจักขยันเกินไปแล้ว ข้าคงต้องหาแม่ครัวสักคนมาช่วยเจ้าขาย”“ข้ามิได้ขยันถึงเพียงนั้นสักหน่อย ข้าทำไหวก่อนหน้านี้ข้าอยู่ในครัวของโรงเตี๊ยมเชียวนะ”“เจ้าอยากทำสิ่งใดข้าจักมิขัด เพียงแต่ให้เจ้าคลอดบุตรออกมาเสียก่อนเถิด”“เจ้าค่ะ คงอีกมินานเกินไป”“ร้านของเจ้าเริ่มเข้าที่เข้าทางแล้ว เจ้าชอบมันรึไม่” เซียวจ้านพูดพลางมองไปยังร้านที่ถูกจัดวางไว้เป็นอย่างดี อีกไม่ถึงวันก็เสร็จแล้ว“ร้านของท่านกับข้าต่างหาก” นางมิอาจครอบครองร้านแห่งนี้ไว้เพียงผู้เดียว เพราะเซียวจ้านเป็นผู้ลงทุนแทบทั้งหมด“สมบัติของข้าก็เหมือนเป็นของเจ้า” สายตาคมหันมามอง“จักเป็นเช่นนั้นได้เยี่ยงไร ข้ามิใช่ภรรยาของท่านสักหน่อย” ใบหน้านวลแดงระเรื่อขึ้นทันที“เจ้าก็แต่งเข้าเรือนข้าสิ”“ข้ามิพูดกับท่านแล้ว ข้าไปพักผ่อนสักประเดี๋ยวจักดีกว่า” ลี่หลินเลี่ยงที่จะพูดต่อ นางจึงลุกขึ้น“ข้าพาเจ้าไป” เซียวจ้านรีบลุกตามพร้อมประคองนางไปด้วยเขาได้พานางมาจนถึงเตียง ลี่หลินมองบุรุษตรงหน้าที่ดูแลกันเป็น
ลี่หลินตื่นขึ้นมาในเช้าของวันใหม่ นางได้เข้าไปในครัวเพื่อทำอาหารเช้าไว้ให้เซียวจ้านได้ทาน ความอัดอั้นที่ติดอยู่ในใจได้ถูกเปิดเผยไปตั้งแต่เมื่อวาน แต่ก็ยังรู้สึกเคอะเขินมิกล้าสู้หน้า สัมผัสที่แสนนุ่มนวลที่ริมฝีปากยังตรึงใจไว้มิหายใบหน้าอัปลักษณ์เต็มไปด้วยรอยยิ้ม พลางจับทัพพีคนโจ๊กในหม้อไปด้วยเซียวจ้านได้ตื่นขึ้นมาเขาก็มุ่งตรงไปยังห้องนอนของลี่หลิน แต่ได้ยินเสียงในครัวและกลิ่นหอมของอาหารเสียก่อนจึงเดินเข้าไปหานางที่นั่น“ไยเจ้าตื่นเช้านัก” เซียวจ้านมองนาง“ข้านอนมิค่อยหลับ” ลี่หลินตอบโดยมิกล้าสบตา“ลี่หลิน”“ไยท่านเรียกข้าเช่นนี้” ลี่หลินมองบุรุษตรงหน้าโดยพลัน“เจ้าคือลี่หลินมิใช่ ให้ข้าเรียกเจ้าว่าลี่หลินได้รึไม่”ลี่หลินพยักหน้าให้ อย่างไรเสียนางก็คือนางมิใช่เหมยลี่ถูกเรียกเช่นนี้ก็รู้สึกดีอยู่มิน้อย“ต่อไปนี้เจ้าก็ใช้ชื่อนี้เถิด ที่นี่เป็นเมืองใหม่มิมีผู้ใดรู้จักเจ้า อีกอย่างจักได้มิมีผู้ใดตามหาตัวเจ้าพบอีก” สายตาของเซียวจ้านหรี่ลงเล็กน้อย คนเดียวที่เขามิอยากให้หวนมาเจอหญิงอัปลักษณ์อีกหนก็คือมู่หยางนั่นเอง“เจ้าค่ะ”“ที่เจ้านอนมิหลับเป็นเพราะข้ารึไม่”“ไยท่านคิดเช่นนั้น”“ข้าเองก็น
อาหารมากมายถูกวางเต็มโต๊ะจนลี่หลินเลือกทานไม่ถูก นางมิคิดเลยว่าคุณชายเซียวจ้านจักมีเงินถุงเงินถังถึงเพียงนี้ถึงได้ใช้เงินอย่างไม่คิดอะไรนัก ซึ่งต่างจากนางอยู่มากโขจักใช้จ่ายสิ่งใดก็ต้องคิดแล้วคิดอีก“เจ้ากินเยอะ ๆ เถิด อาหารพวกนี้มิถูกใจเจ้ารึเยี่ยงไร” บุรุษข้างกายหันมาถาม พลางรินน้ำชาไปด้วย“มิใช่ แต่อาหารเยอะถึงเพียงนี้ข้าเกรงว่าจักกินไม่หมด”“มิหมดก็มิเห็นเป็นอะไร”“ท่านนี่เป็นเศรษฐีสินะถึงมิได้คิดเป็นเดือดเป็นร้อน”“ถ้าข้าบอกว่าใช่ล่ะ...ข้าสามารถเลี้ยงเจ้าได้ตลอดชีวิต”“ข้ามิได้ถามถึงสิ่งนั้นสักหน่อย”ลี่หลินพลันหน้าแดง นางรีบคีบอาหารใส่ปากแล้วเคี้ยวตุ้ย ส่วนบุรุษข้างกายก็เอาแต่ยิ้มกริ่มและคีบอาหารใส่ในชามให้“ท่านกินบ้างเถิด”“เห็นเจ้ากินข้าก็อิ่มแล้ว” เซียวจ้านยิ้ม“ท่านอย่ามาพูดเล่น ใครกันจักมาอิ่มทิพย์ท่านมิใช่เทพสักหน่อย” ลี่หลินคีบอาหารให้เซียวจ้านบ้าง“ขอบใจที่เป็นห่วงข้า” การกระทำเล็กน้อยทำให้เซียวจ้านเอ็นดูอยู่มิน้อยทั้งสองทานอาหารร่วมกันจนอิ่ม สตรีมีครรภ์ก็แน่นท้องจนแทบเดินมิไหว เซียวจ้านจึงพานางออกมาเดินย่อยสักหน่อยในวันนี้ยังมีลมหนาวพัดเอื่อย เซียวจ้านมิลืมคลุมเสื้อก
ดวงตากลมมองบุรุษตรงหน้าที่ค่อย ๆ หย่อนกายลงนั่งอยู่ข้างกาย นางมิรู้ต้องทำตัวเยี่ยงไรดีจึงได้แต่เก็บมือไว้และปล่อยให้มือใหญ่บีบนวดขาของนางเซียวจ้านค่อย ๆ ทิ้งน้ำหนักมือให้เบาที่สุด บุรุษที่เสเพลในเมื่อก่อนกลับใจเต้นแรงต่อหน้าดอกไม้งามอย่างเหมยลี่กว่าทุกครั้ง เขามิเคยเป็นเยี่ยงนี้กับใคร แต่น่าแปลกใจยิ่งนักเมื่อสบนัยน์ตาของนางกับเหมือนมิใช้เหมยลี่คนเดิมที่เขาเคยรู้จักลี่หลินที่ถูกจ้องหน้าจากบุรุษตรง ๆ ต้องหลุบตาลงมองมือตัวเอง หัวใจของนางหวั่นไหวไปกับเซียวจ้าน สัมผัสที่ขาก็ยิ่งทำให้วูบวาบเสียจนหน้าร้อนผ่าว“ท่าน ข้าหายเมื่อยแล้ว” หัวใจแทบระเบิดออกมาเสียให้ได้ ลี่หลินจึงเลือกหยุดไว้เพียงเท่านั้นมือใหญ่จึงละออกพลางมองนาง “เจ้าพักผ่อนเสียเถิด ถ้าเจ้าหิวเจ้าก็มาเคาะประตูห้องข้า แล้วข้าจักพาเจ้าไปตลาด”“เจ้าค่ะ”เซียวจ้านเดินออกไปจากห้องนี้ ลี่หลินจึงเอนกายลงนอนทั้งที่หัวใจยังกระสับกระส่าย ร่างกายของนางอ่อนเพลียง่ายเหลือเกินคงอีกมินานแล้วสินะที่เจ้าแป้งในท้องจะได้ลืมตาดูโลกใบนี้ นางอยากเห็นเสียเหลือเกินว่าลูกของเหมยลี่น่าชังเพียงใดบุรุษชุดดำเดินทอดน่องไปอย่างใช้ความคิด พาใจให้เหม่อลอยไปกับ
คนเดินทางจากแดนไกลได้ย้ายถิ่นฐานมายังอีกเมืองหนึ่งที่ห่างไกลซึ่งมีผู้คนอยู่แน่นหนา แม้มิได้เป็นเมืองหลวงแต่ก็เป็นเมืองท่าดี ๆ นี่เอง เพราะมีพื้นที่ติดกับทะเลอันกว้างใหญ่ ที่แห่งนี้จึงเต็มไปด้วยผู้คนหลายชาติพันธุ์นับว่าเหมาะแก่การทำการค้าได้เป็นอย่างดี“ถึงแล้ว เจ้าค่อย ๆ เดินลงมา” เซียวจ้านเดินลงจากรถม้าก่อน เขายื่นมือไปให้หยิงอัปลักษณ์ได้จับลี่หลินจับมือใหญ่โดยไม่ลังเล ก่อนค่อย ๆ ก้าวเท้าเดินลงมาพร้อมประคองท้องตัวเองด้วยนางได้เดินตามเซียวจ้านเข้าไปในเรือนที่มิได้ใหญ่โตมากนัก แต่ก็มีลานกว้างเหมาะแก่การตั้งโต๊ะขายอาหารได้อยู่มากพอสมควร“เจ้าชอบที่นี่รึไม่” บุรุษรูปงามเอ่ยถาม“ข้าชอบ” ลี่หลินตอบอย่างเหนียมอาย นางดันไปนึกคิดสิ่งที่อยู่ในใจเสียได้“เข้าไปดูเถิด” เซียวจ้านผายมือให้ลี่หลินจึงได้ทีเดินเข้าไปสำรวจภายในเรือนแห่งนี้ นางมิสนใจห้องนอนสักเท่าไร เพราะสิ่งที่ทำให้ตื่นตามากยิ่งกว่าห้องใด ๆ คือห้องครัวของนางนั่นเองห้องครัวที่ไม่เล็กไม่แคบจนเกินไป มีเตาใส่ผืนตั้งหม้อตั้งสามเตา ทั้งยังมีอุปกรณ์ครบชิ้นและของแห้งที่ถูกเก็บไว้เป็นอย่างดีถูกใจคนชอบทำอาหารยิ่งแท้“ห้องครัวนี้เล็กแคบไปรึไ
เสียงเกือกม้าดังเป็นจังหวะที่ว่องไวนำพาท่านแม่ทัพมุ่งตรงไปยังเรือนตระกูลกู้ บุรุษผู้มีใบหน้าเคร่งเครียดจากเรื่องราวที่ถาถมเข้ามาจนพะวงหน้าพะวงหลัง หากเขามิกลับมาหาภรรยาเอกก็คงดูใจจืดใจดำเกินไป และคงถูกตำหนิจากพ่อตาและท่านแม่ได้มู่หยางจึงเร่งเดินทางไกลมาจนถึงเรือนตระกูลกู้ในเวลาต่อมา บุรุษร่างสูงกระโดดลงจากหลังม้าด้วยท่าทางสง่างาม ก่อนเดินเข้าไปภายในเรือนผู้รับใช้ทั้งหญิงและชายต่างก้มโค้งเมื่อเห็น มู่หยางมิได้สนใจมอง เพียงแต่มุ่งตรงไปยังห้องพักของต้าเหนิง“มู่หยาง” สตรีสูงวัยที่ยืนอยู่หน้าห้องสะใภ้เอกพอดีเอ่ยทักบุตรชายเมื่อเห็นหน้า“นางเป็นเยี่ยงไร”มู่หยางถามด้วยความเป็นห่วงเยี่ยงไรแล้วต้าเหนิงก็ยังเป็นภรรยาเอก และบุตรที่อยู่ในครรภ์ก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเขาจักเมินก็คงมิได้แล้ว“นางปลอดภัยดี เจ้าเข้าไปดูบุตรชายของเจ้าสิ” ฮูหยินชิงชิงยิ้มจาง ๆ ให้มู่หยางขมวดคิ้วพลางคิดว่าต้าเหนิงถึงกำหนดคลอดแล้วหรือ เขาละเลยจนลืมวันลืมคืนเยี่ยงนี้ได้เยี่ยงไรฝ่ามือใหญ่จึงผลักประตูแล้วเดินเข้าไปหาทั้งสอง สายตาคมมองเห็นต้าเหนิงนอนอยู่บนเตียงไม้โดยที่มีทารกตัวเล็กจิ๋วถูกห่อด้วยผ้าสีแดงอย่างดี“เจ้าร