เมื่อก่อนตอนเสียสติ นางก็ไม่เคยนึกรังเกียจที่มีหลิงเฟิ่งเป็นลูกสะใภ้ แต่พอนางหายดี ความสามารถของนาง ทั้งสิ่งของที่นางสามารถนำออกมาจากความว่างเปล่าได้ ยิ่งทำให้นางอยากจะขอบคุณสวรรค์วันละสามเวลาหลังอาหาร“หื้ม...แบบร่างของข้าน่าสนใจเพียงนั้นเลยรึเจ้าคะ”นางมิได้ร่างแบบที่แปลกประหลาดแต่อย่างใด นางเพียงแค่เพิ่มระเบียงหลังห้องที่สามารถนั่งอ่านตำรา หรือนั่งพูดคุยกันได้เพิ่มขึ้นมา ทั้งเรื่องห้องน้ำที่แบ่งพื้นที่เปียกกับพื้นที่แห้งชัดเจน จวนใหญ่ก็คงมีเช่นนี้ นางคิดว่าไม่ใช่เรื่องประหลาด“ใช่แล้ว นายช่างกวนไม่เคยเห็นเรือนที่เจ้าร่างมาก่อน ทั้งประตูที่ทำเป็นแบบเลื่อนได้ ข้าก็พูดไม่รู้เรื่อง เจ้าออกไปพูดเองดีกว่า หากอาหยุนจะตำหนิเจ้า ข้าจะจัดการเอง” จูซื่อดึงมือหลิงเฟิ่งออกไปพบนายช่างทันที“ประเดี๋ยวท่านแม่...ท่านลืมไปแล้วรึ ว่าชาวบ้านยังไม่มีผู้ใดรู้เรื่องที่ข้าหายดีแล้ว”“ตายจริง ข้าเกือบลืมไป ข้าจะออกไปพูดใหม่ ว่าอาหยุนเป็นคนร่าง เจ้ากลับเข้าไปอยู่ในห้องเถิด” จูซื่อนึกอยากจะตบปากตัวเองเสียหลายๆ ที นางจำต้องเดินไปพบนายช่างกวนเพื่อบอกให้เขามาพบชุยหยุนอีกครั้งในตอนเย็นชุยหยุนที่เข้าเมืองไปพร้อม
“ท่านแม่ เฟิ่งเออร์ ข้าใคร่ครวญเรื่องนี้ดีแล้ว อีกอย่างข้าไม่ใจบุรุษใจโลเล ที่พบเห็นสตรีอื่นก็จะเปลี่ยนใจได้ง่าย ในเมื่อข้าหายดีก็เป็นเพราะนาง มีเงินมากมายก็เป็นเพราะนาง แล้วจะมีเหตุผลใดที่ข้าจะไม่ต้องการใช้ชีวิตกับนาง”หลิงเฟิ่งยังเม้นปากแน่น นางพอจะเชื่อว่าตระกูลซ่งรักนางจากใจจริง แต่นางยังไม่มั่นใจที่จะใช้ชีวิตเช่นสามีภรรยากับชุยหยุน“ไว้ท่านกลับเข้าไปเรียนอีกครั้ง แล้วสอบผ่านซิ่วไฉได้ หากยังต้องการสร้างครอบครัวกับข้าจริง ข้าจะไม่ปฏิเสธท่านแล้ว แต่หากพบเจอคนที่ท่านต้องการใช้ชีวิตมากกว่าข้า อย่างไรข้าก็ยังเป็นน้องสาวของท่านได้”“เช่นนั้นก็ว่ากันตามนี้ นี่ก็ดึกมากแล้ว พรุ่งนี้เจ้ายังต้องเดินทางเข้าเมืองแต่เช้า เครื่องนอนก็ยังมิได้เปลี่ยน”จูซื่อเอ่ยยุติการสนทนาที่ดูท่าหากพูดกันต่ออย่างไรก็คงไม่จบในคืนนี้ หลิงเฟิ่งจึงได้ลุกขึ้นไปช่วยจูซื่อเปลี่ยนเครื่องนอนในห้องของนาง ก่อนจะกลับไปเปลี่ยนเครื่องนอนที่ห้องของตนเอง“ท่านว่า...ข้าไปนอนห้องท่านแม่ดีหรือไม่”หลิงเฟิ่งมองเตียงที่มีผ้าห่ม หมอน เพิ่มเข้ามาแล้ว หากขึ้นไปนอนสองคนก็ดูจะอึดอัดไม่น้อยเลย“ไม่ต้อง ใช้ผ้าห่มผืนเดียวก็พอ” ชุยหยุนเก็บผ
หากเขาได้รู้ตั้งแต่แรก คงยอมให้มารดาแต่งกับลุงกู้ไปนานแล้ว ตอนที่คิดว่าจะจบชีวิตลง ยังเป็นห่วงมารดาว่านางจะอยู่เพียงผู้เดียว“แม่...แม่” นางจูซื่อทั้งเขินอาย ทั้งไม่รู้จะหาคำใดมาพูดกับลูกชายดี นางจึงได้แต่อ้าปากและหุบปากลง“หากพวกท่านต้องการที่จะใช้ชีวิตด้วยกัน ข้าเองก็ไม่มีสิ่งใดที่จะขัด ข้าขอท่านลุงเพียงเรื่องเดียว...อย่าทำให้ท่านแม่ข้าเสียใจก็พอ” ชุยหยุนเอ่ยออกมาอย่างจริงจัง“ได้ๆ ข้าไม่มีทางทำให้จูจูนางเสียใจเป็นอันขาด” ลุงกู้พยักหน้าอย่างรวดเร็วหลิงเฟิ่งได้แต่เบิกตากว้าง ถึงขั้นเรียกนามกันอย่างสนิทสนมเช่นนี้ คงดูใจกันมานานมากแล้วแน่ๆ“ข้าบอกพวกเจ้าแล้ว อาหยุนมิใช่คนไม่รู้ความหากพวกเจ้าบอกตั้งนาน ป่านนี้ก็มีลูกน้อยมาวิ่งเล่นแล้ว” ป้าจินเอ่ยเย้าออกมาหลิงเฟิ่งก็พยักหน้าน้อยๆ อย่างเห็นด้วย แม่สามีของนางยังไม่ถึงสี่สิบหนาว หากนางแข็งแรงมากพอเรื่องมีบุตรไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้“พวกข้ากลับก่อนดีกว่า พวกเจ้าก็ค่อยๆ คุยกันไป จะจัดงานมงคลเมื่อใดก็บอกข้าด้วยเล่า” ป้าเหลียนโบกมือลา ก่อนจะลากอาไฉที่มองคนนั้นทีคนนี้ทีกลับไปด้วยกันนางยังได้ยินเสียงอาไฉ ร้องตะโกนให้ป้าเหลียนไปหาสตรีมาแต่งเป็น
ชาวบ้านที่ออกมารอรับ เมื่อเห็นเกวียนวัวมิได้มีชุยหยุนและหลิงเฟิ่งลงมา ต่างก็รีบวิ่งตามเกวียนวัวที่เคลื่อนตัวไปทางเรือนตระกูลซ่งทันทีแม้ชาวบ้านคนอื่นจะสงสัย แต่ก็ไม่ได้คิดที่จะตามไป ชาวบ้านที่วิ่งตามคงฝากเจ้าของเกวียนวัวกับชุยหยุนซื้อของ เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นในหมู่บ้านที่ห่างไกลเมือง จนเป็นเรื่องชินตาอยู่แล้วหลิงเฟิ่งนางเอาเงินส่วนของพวกลุงกู้ออกมาใส่ไว้ในตะกร้าแล้ว พอมาถึงเรือนชุยหยุนก็ส่งสายตาบอกบุรุษทั้งสาม ว่าตั๋วเงินอยู่ในตะกร้า ก่อนจะจูงหลิงเฟิ่งที่กลับมาแกล้งบ้า เข้าไปพักเรือนก่อนป้าเหลียนกับป้าจิน ถูกสามีและบุตรชายดันตัวให้เข้าไปช่วยชุยหยุนประคองหลิงเฟิ่งไปส่งในเรือน พวกนางจึงได้รับเข้าไปทำหน้าที่แทนชุยหยุนทันที“เจ้าไปคุยกับชาวบ้านเถิด ข้าจะพาเฟิ่งเออร์ไปพักเอง” ชุยหยุนเข้าใจในคำพูดของป้าเหลียน เขาจึงปล่อยมือหลิงเฟิ่งแล้วเดินไปหาหัวหน้าหมู่บ้านแทน“ห้องเจ้าแคบ ไปห้องข้าดีกว่า” จูซื่อเห็นว่าป้าเหลียนกับป้าจินจะตามหลิงเฟิ่งเข้าไปสอบถามความในห้อง จึงได้ขวางหน้าเอาไว้สตรีทั้งสี่คนอยู่ภายในห้องนอนของจูซื่อ ทั้งยังลงกลอนไว้อย่างแน่นหนาแล้วด้วย“พวกท่านรับปากข้าก่อน ห้ามร้องออกมา
ทั้งสองที่รอให้เสี่ยวเอ้อไปชั่งหญ้าหนอน จึงสอบถามว่าหมอถานยังรับเพิ่มอีกหรือไม่ ตอนนี้ชาวบ้านกำลังเก็บอยู่ พรุ่งนี้คงจะนำมาขายให้อีกรอบได้“หมู่บ้านหู่เซิง มีหญ้าหนอนมากเพียงนี้เลยรึ” เขาเอ่ยถามออกมาอย่างสงสัยด้วยที่ผ่านมาไม่เคยมีชาวบ้านเก็บมาขายเลย หรือว่าจะไม่รู้จักก็เห็นจะไม่ใช่ ราคาที่สูงของโสม เห็ดหลินจือ หญ้าหนอน ทำให้ชาวบ้านที่ขึ้นเขาได้แต่หวังว่าจะโชคดีพบเจอสักเล็กน้อย“ขอรับ อาจจะเป็นความโชคดี ที่พวกข้าได้บังเอิญไปพบบนภูเขาที่ชาวบ้านไม่ได้เข้าไปหาของป่า”“เป็นเช่นนี้เอง” หมอถานพยักหน้าอย่างเข้าใจครั้งนี้เขาคงไม่ให้หลงจู๊เดินทางไปส่งของที่เมืองหลวงแล้ว คงจะเดินทางไปด้วยตนเองแทนเสี่ยวเอ้อเดินเข้ามาแจ้งเรื่องจำนวนหญ้าหนอนที่ชั่งได้ ของพวกลุงกู้เก้าชั่ง เป็นเงินสองพันเจ็ดร้อยตำลึงทอง ของหลิงเฟิ่งยี่สิบห้าชั่ง เป็นเงินมากถึงหนึ่งหมื่นสองพันห้าร้อยตำลึงทองค่าเงิน1 อิแปะ, เหวิน = 1 เหรียญทองแดง1 ก้วน = 1,000 อิแปะ /เหวิน/เหรียญทองแดง1 ตำลึงเงิน = 1ก้วน (พวง)1 ตำลึงทอง = 10 ตำลึงเงินแม้แต่หลิงเฟิ่งเองก็ตกใจกับน้ำหนักหญ้าหนอนหนึ่งตะกร้า ดูจะมากกว่าที่นางขายผักเมื่อชีวิตที่แล้
เกวียนวัวเริ่มเคลื่อนตัวออกจากหมู่บ้าน หลิงเฟิ่งที่ทนแรงเขย่าไม่ให้ก็เอนตัวพิงเกวียนเพื่อหลับตาพักผ่อน นางกลัวจะอาเจียนออกมา หากไม่ข่มตาหลับ ชุยหยุนเห็นเช่นนั้นจึงประคองศีรษะของนางให้พิงมาที่ไหล่ของเขาแทน“หึ มิคิดว่าเจ้าจะดูแลนังบ้าดีเช่นนี้” หลี่ซวงอดที่จะถากถางออกมาไม่ได้ ยิ่งมองรูปลักษณ์ที่เปลี่ยนไปของหลิงเฟิ่งเขาก็ยิ่งไม่ชอบใจนางคงจะอยู่ดีกินดี ถึงได้เริ่มมีน้ำมีนวล อีกทั้งใบหน้าที่เคยซูบผอมไม่ชวนมองก็เริ่มเผยความงามออกมาแล้ว“เจ้าควรจะดีใจ ที่ตระกูลซ่งของข้าดูแลนางดีเช่นนี้ หรือว่า...เจ้ามิใช่พี่ชายของนาง” หากมองดูดีๆ หลิงเฟิ่งก็ไม่ได้มีส่วนใดที่คล้ายกับคนตระกูลหลี่เลย จะบอกว่านางเหมือนมารดาของนางก็คงไม่ใช่ มารดาของหลิงเฟิ่งปากหนา ตาเล็ก จมูกก็มิได้เป็นสันโด่งเช่นนั้นนาง“ผู้ใดอยากจะมีน้องสาวเสียสติเช่นนาง ตอนนี้นางก็ถูกตระกูลหลี่ตัดขาดไปแล้ว ต่อไปเจ้าอย่าได้อ้างถึงคนตระกูลหลี่อีก”นี่คือสิ่งที่ชุยหยุนอยากได้ยินจากปากของหลี่ซวง ในเกวียนมีชาวบ้านในหมู่บ้านอีกนับสิบ สิ่งที่เขาพูดในวันนี้ย่อมมีผลภายหน้าอย่างแน่ตลอดสองชั่วยามที่เดินทางเข้าเมือง ไม่ว่าหลี่ซวงจะพูดสิ่งใดต่อ ชุยหยุนก