ชุยหยุนเอง เมื่อเห็นว่าหลิงเฟิ่งนางไม่ได้เขย่าประตูห้องแล้ว เขาก็หลับตาลงเพื่อพักผ่อน
“อย่าหลับ” หลิงเฟิ่งตะโกนออกมา นางลืมไปว่านางไม่ควรพูดสิ่งใดทั้งนั้น แต่นางกลัวว่าเขาจะไม่ฟื้นขึ้นมาอีกแล้ว
“หื้ม...ไม่หลับ ข้าเพียงแค่หลับตาเท่านั้น” เขามองมาที่นางอย่างแปลกใจ เมื่อครู่นางดูเหมือนไม่ใช่คนเสียสติสักนิด
หลิงเฟิ่งได้แต่หันหน้าหนีไปทางอื่น ด้วยกลัวว่าเขาจะจับพิรุธของนางได้ แต่หูของนางก็ยังฟังอยู่ว่าเขาพูดเช่นใด
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเพียงใด หลิงเฟิ่งหันหน้าไปมองชุยหยุนอีกครั้ง ก็เห็นเขานอนนิ่งอยู่บนเตียง นางรีบคลานเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว
“อาหยุน อาหยุน” หลิงเฟิ่งเขย่าเรียกเขาเบาๆ แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับ
“สวรรค์ ทำเช่นใดดี” นางเริ่มจะสติแตกแล้ว จะร้องเรียกคนข้างนอกก็ไม่ได้
หากว่าเขาหยุดหายใจไปแล้วจริงๆ มิใช่ว่านางจะต้องตายตามไปด้วยเลยรึ
“น้ำ น้ำ ชะ ใช่ ใช่แล้ว น้ำ” หลิงเฟิ่งเรียกน้ำออกมาใส่แก้วชาที่อยู่ข้างเตียง
ก่อนจะค่อยๆ ประคองชุยหยุน แล้วเทน้ำลงในปากของเขาช้าๆ
“กลืน กลืนเร็วเข้า” หลิงเฟิ่งร้อนใจไม่น้อย เมื่อน้ำที่นางเทใส่ปากของเขา มันไหลออกมาเสียเป็นส่วนมาก
“อืม...เจ้าทำ...แค่ก แค่ก” ชุยหยุนลืมตาขึ้นมามองหลิงเฟิ่งอย่างสงสัย แต่ถูกน้ำที่นางกรอกใส่ปากของเขาทำให้สำลักเสียก่อน
หลิงเฟิ่งทิ้งตัวชุยหยุนให้นอนไปตามเดิม ก่อนนางจะทรุดตัวนั่งลงกับพื้นอย่างหมดแรง
ชุยหยุน รู้สึกว่าร่างกายของตนมิได้ราวกับจะสิ้นอายุขัยเช่นก่อนหน้านี้แล้ว แม้แต่ความทรมานที่ต้องเจ็บภายในก็ดูราวกับจะหายไปจนไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ลมหายใจที่ติดขัดก่อนหน้า เหมือนว่าจะหยุดหายใจได้ตลอดเวลากลับมาหายใจได้คล่องอีกครั้ง
“เจ้าเอาสิ่งใดให้ข้ากิน” เขาสามารถลุกขึ้นมานั่งบนเตียงได้โดยไม่ต้องมีคนช่วยประคองขึ้นมา
“...” หลิงเฟิ่งแสร้งกลับไปเป็นเช่นเดิมอีกครั้ง
“เลิกทำเป็นเสียสติได้แล้ว สิ่งที่เจ้าพูดทั้งหมดข้าได้ยินทุกคำ เมื่อครู่ข้ามิได้ตาย เพียงแค่หลับเท่านั้น” ช่วงหลังๆ มานี่ ชุยหยุนมักจะตื่นยาก เขาได้ยินทุกสิ่งแต่ไม่อาจบังคับตาให้ลืมขึ้นมาได้
หลิงเฟิ่งเหลือบตามองไปทางเขา ก็เห็นว่าชุยหยุนลุกขึ้นเดินมานั่งอยู่ข้างนางแล้ว
“หลับบ้าอะไร เรียกตั้งนานไม่ตื่น” หลิงเฟิ่งยังนั่งนิ่งอยู่กับที่
“ไม่ว่าเจ้าจะให้ข้ากินสิ่งใด ข้าล้วนแต่ขอบใจเจ้า หากเจ้าอยากกลับตระกูลหลี่ ข้าจะไปส่ง” เขาดึงมือของนางให้ลุกขึ้น
“ไม่ต้อง!!!” นางร้องออกมาเสียงดัง
“เจ้าไม่อยากกลับไปตระกูลหลี่รึ” เขาเลิกคิ้วมองนาง
“...” หลิงเฟิ่งพยักหน้ารับ ก่อนจะถอนหายใจออกมา
“เช่นนั้น เจ้าก็อยู่ที่เรือนของข้า อย่างไรท่านแม่ก็รับเจ้าเข้ามาแล้ว”
“...” หลิงเฟิ่งยังเม้มปากแน่น นางคิดอยู่ว่าหากพูดตามความต้องการออกไป เขาจะช่วยนางหรือไม่ หรือตระกูลซ่งเองก็จะเป็นคนโลภเช่นคนตระกูลหลี่
“เจ้ากินอันใดหรือยัง” เมื่อเห็นว่านางไม่ยอมพูด ชุยหยุนจึงได้เปลี่ยนเรื่องทันที
“ท่านช่วยข้าเรื่องหนึ่งได้หรือไม่” นางหันไปมองเขาอย่างจริงจัง
“เจ้ามิได้เสียสติเช่นที่ผู้อื่นว่ารึ หรือว่า...เจ้าหายดีแล้ว” เขาเองก็ตกใจไม่น้อยเช่นกัน เมื่อได้เห็นท่าทางของนางเต็มสองตา
“ข้าเพิ่งจะหายดี อย่างอื่นท่านไม่ต้องรู้ ท่านช่วยข้าเอาใบทะเบียนแยกเรือนจากคนตระกูลหลี่มาได้หรือไม่” ตอนที่หลิงเฟิ่งออกมาจากจวนตระกูลหลี่ นางก็ไม่เห็นว่าหลี่กวนจะมอบใบแสดงตัวตนของนางให้กับคนที่มารับนาง
“อย่างไรบิดาของเจ้าก็ต้องมอบให้ตระกูลซ่งอยู่แล้ว”
“แต่ข้า ต้องการให้เขาตัดขาดข้าอย่างแท้จริง หากท่านอยากขอบคุณที่ข้าช่วยยื้อชีวิตของท่านเอาไว้ได้ ท่านช่วยปิดเรื่องที่ข้าหายบ้า ไม่ให้ผู้อื่นรู้เข้าใจหรือไม่”
“เหตุใดถึงไม่ต้องการบอกครอบครัวของเจ้าเล่า พวกเขาจะต้องดีใจที่เจ้าหายดีแล้วอย่างแน่นอน” เขามองนางด้วยสายตาประหลาด มีที่ไหน ที่หายดีแล้ว ไม่ต้องการให้คนในครอบครัวรู้
“หากครอบครัวของข้าดีต่อข้าจริง พวกเขาจะขายข้าเพียงเงินแค่สองตำลึงเงินรึ อีกอย่างท่านมองสภาพข้าตอนนี้สิ ข้าดูเหมือนคนที่ควรจะมีชีวิตรอดออกมาจากตระกูลหลี่หรือไม่”
ชุยหยุนมองสำรวจร่างกายของนางอย่างละเอียด เสื้อผ้าที่นางสวมใส่ก็ตัวใหญ่กว่าที่จะเป็นของนาง อีกครั้งใบหน้าก็ซูบผอมจนน่าเวทนา
“หากเจ้าได้มาแล้วจะทำเช่นใด”
“ท่านเอาข้าไปปล่อยทิ้งไว้ที่ใดก็ได้ ต่อไปข้าจะไปตามทางของข้าเอง”
“ได้อย่างไรกัน!!! เจ้าเป็นสตรี อีกอย่างตอนนี้เจ้าก็เป็นคนของตระกูลซ่งแล้วด้วย”
มารดาเขายอมใช้เงินทั้งหมดที่มีอยู่ในเรือน เพื่อซื้อตัวนางให้มาเป็นเจ้าสาวลงหลุมไปพร้อมเขา หากเขาพานางไปทิ้งตามที่นางพูด โดยผู้อื่นไม่รู้ว่านางหายเสียสติแล้ว เช่นนี้เขาจะไม่ถูกตราหน้าว่าชั่วช้าหรอกรึ
“ข้าจะหาเงินมาใช้คืนให้ อีกอย่างท่านก็ไม่ได้ตาย ข้าคงไม่ต้องลงหลุมไปพร้อมกับท่าน อย่างไรก็ไม่ได้กราบไหว้ฟ้าดิน จะเรียกว่าเป็นคนของตระกูลซ่งเต็มตัวก็คงไม่ถูก สัญญาซื้อขายตัว มารดาท่านได้ทำหรือไม่ หากไม่ได้ทำ หากข้าใช้เงินสองตำลึงเรียบร้อยแล้ว ก็เท่ากับว่าข้าควรจะได้อิสระใช่หรือไม่”
ชุยหยุนอ้าปากค้างมองหลิงเฟิ่งอย่างไม่อยากจะเชื่อ หากก่อนหน้านี้ไม่รู้ว่านางเคยเสียสติมาก่อน เขาต้องคิดว่านางเป็นคุณหนูตกยากที่ถูกเลี้ยงดู สั่งสอนมาอย่างดีเป็นแน่
“เรื่องนี้ข้ามิอาจตัดสินใจเองได้ อย่างไรเจ้าก็อยู่ที่เรือนของข้าไปก่อน ส่วนเรื่องใบรับรองตัวตนกับหนังสือตัดขาด ข้าจะจัดการให้เจ้าเอง”
“...” หลิงเฟิ่งมองประเมินชุยหยุน ว่าคำพูดของเขานางสามารถเชื่อถือได้มากน้อยเพียงใด
ตอนนี้คงต้องอยู่ภายในเรือนตระกูลซ่งไปก่อน เมื่อใดที่ชุยหยุนไปนำใบรับรองตัวตนและหนังสือตัดขาดมาให้นางได้แล้ว นางจะได้หนีไปเริ่มชีวิตใหม่ของตนเองเสียที
“ได้ แต่ท่านจะหายดีเร็วเกินไปก็คงไม่ใช่ จะกลายเป็นทำให้ผู้อื่นสงสัยเอาได้ ท่านกลับไปนอนที่เตียงเถิด ประเดี๋ยวมารดาของท่านเข้ามา ท่านจะตอบนางเช่นใด”
“แล้วเจ้าเล่า” เขาดึงรั้งแขนของหลิงเฟิ่งเอาไว้ เมื่อนางหมุนตัวจะกลับไปนั่งที่มุมห้องตามเดิม
“ข้าจะนั่งอยู่ตรงนี้แทน”
“ไปนอนพักที่เตียงก่อนดีหรือไม่” เขามองร่างกายที่บอบบางของนางก็อดที่จะเห็นใจไม่ได้
“เตียงท่านใหญ่มากนัก นอนสองคนคงได้นอนทับกันตาย” หลิงเฟิ่งปรายตามองไปที่เตียงของชุยหยุน ที่เพียงแค่เขานอนผู้เดียวก็เหลือที่ว่างให้นางเพียงนิดเดียวเท่านั้น
“เอ่อ...ไว้ข้าจะเปลี่ยนเตียงใหม่ ตอนนี้เจ้าไปนอนพักก่อน ข้าจะไปนั่งที่พื้นเอง” เขาก้มหน้าลงอย่างเขินอาย เมื่อหลิงเฟิ่งนางพูดว่านอนทับกัน
“ไม่ต้อง หากมารดาท่านเข้ามา นางได้ทุบตีข้าแน่ ที่ปล่อยให้ท่านนั่งอยู่บนพื้นทั้งคืน” หลิงเฟิ่งโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะเดินไปนั่งที่พื้นห้องเช่นเดิม
แม้ชุยหยุนจะยอมนอนลงบนเตียง แต่สายตาของเขาก็คอยเหลือบมองมาที่หลิงเฟิ่งอยู่ตลอด ด้วยเห็นใจที่นางต้องนั่งอยู่บนพื้นเย็นๆ ตลอดทั้งคืน
เมื่อเห็นร่างเล็ก ค่อยๆ ล้มกายลงนอนไปกับพื้นห้อง เขาก็ลุกขึ้นมาเขย่าเรียกตัวนางให้ไปนอนที่บนเตียง
“เฟิ่งเออร์ เจ้าไปนอนดีๆ เถิด ถึงจะเบียดกัน แต่ยังดีกว่าที่เจ้าต้องนอนทรมานบนพื้นเช่นนี้”
“หื้ม...ข้านอนได้” นางโบกมือให้เขา
เมื่อก่อนตอนเสียสติ นางก็ไม่เคยนึกรังเกียจที่มีหลิงเฟิ่งเป็นลูกสะใภ้ แต่พอนางหายดี ความสามารถของนาง ทั้งสิ่งของที่นางสามารถนำออกมาจากความว่างเปล่าได้ ยิ่งทำให้นางอยากจะขอบคุณสวรรค์วันละสามเวลาหลังอาหาร“หื้ม...แบบร่างของข้าน่าสนใจเพียงนั้นเลยรึเจ้าคะ”นางมิได้ร่างแบบที่แปลกประหลาดแต่อย่างใด นางเพียงแค่เพิ่มระเบียงหลังห้องที่สามารถนั่งอ่านตำรา หรือนั่งพูดคุยกันได้เพิ่มขึ้นมา ทั้งเรื่องห้องน้ำที่แบ่งพื้นที่เปียกกับพื้นที่แห้งชัดเจน จวนใหญ่ก็คงมีเช่นนี้ นางคิดว่าไม่ใช่เรื่องประหลาด“ใช่แล้ว นายช่างกวนไม่เคยเห็นเรือนที่เจ้าร่างมาก่อน ทั้งประตูที่ทำเป็นแบบเลื่อนได้ ข้าก็พูดไม่รู้เรื่อง เจ้าออกไปพูดเองดีกว่า หากอาหยุนจะตำหนิเจ้า ข้าจะจัดการเอง” จูซื่อดึงมือหลิงเฟิ่งออกไปพบนายช่างทันที“ประเดี๋ยวท่านแม่...ท่านลืมไปแล้วรึ ว่าชาวบ้านยังไม่มีผู้ใดรู้เรื่องที่ข้าหายดีแล้ว”“ตายจริง ข้าเกือบลืมไป ข้าจะออกไปพูดใหม่ ว่าอาหยุนเป็นคนร่าง เจ้ากลับเข้าไปอยู่ในห้องเถิด” จูซื่อนึกอยากจะตบปากตัวเองเสียหลายๆ ที นางจำต้องเดินไปพบนายช่างกวนเพื่อบอกให้เขามาพบชุยหยุนอีกครั้งในตอนเย็นชุยหยุนที่เข้าเมืองไปพร้อม
“ท่านแม่ เฟิ่งเออร์ ข้าใคร่ครวญเรื่องนี้ดีแล้ว อีกอย่างข้าไม่ใจบุรุษใจโลเล ที่พบเห็นสตรีอื่นก็จะเปลี่ยนใจได้ง่าย ในเมื่อข้าหายดีก็เป็นเพราะนาง มีเงินมากมายก็เป็นเพราะนาง แล้วจะมีเหตุผลใดที่ข้าจะไม่ต้องการใช้ชีวิตกับนาง”หลิงเฟิ่งยังเม้นปากแน่น นางพอจะเชื่อว่าตระกูลซ่งรักนางจากใจจริง แต่นางยังไม่มั่นใจที่จะใช้ชีวิตเช่นสามีภรรยากับชุยหยุน“ไว้ท่านกลับเข้าไปเรียนอีกครั้ง แล้วสอบผ่านซิ่วไฉได้ หากยังต้องการสร้างครอบครัวกับข้าจริง ข้าจะไม่ปฏิเสธท่านแล้ว แต่หากพบเจอคนที่ท่านต้องการใช้ชีวิตมากกว่าข้า อย่างไรข้าก็ยังเป็นน้องสาวของท่านได้”“เช่นนั้นก็ว่ากันตามนี้ นี่ก็ดึกมากแล้ว พรุ่งนี้เจ้ายังต้องเดินทางเข้าเมืองแต่เช้า เครื่องนอนก็ยังมิได้เปลี่ยน”จูซื่อเอ่ยยุติการสนทนาที่ดูท่าหากพูดกันต่ออย่างไรก็คงไม่จบในคืนนี้ หลิงเฟิ่งจึงได้ลุกขึ้นไปช่วยจูซื่อเปลี่ยนเครื่องนอนในห้องของนาง ก่อนจะกลับไปเปลี่ยนเครื่องนอนที่ห้องของตนเอง“ท่านว่า...ข้าไปนอนห้องท่านแม่ดีหรือไม่”หลิงเฟิ่งมองเตียงที่มีผ้าห่ม หมอน เพิ่มเข้ามาแล้ว หากขึ้นไปนอนสองคนก็ดูจะอึดอัดไม่น้อยเลย“ไม่ต้อง ใช้ผ้าห่มผืนเดียวก็พอ” ชุยหยุนเก็บผ
หากเขาได้รู้ตั้งแต่แรก คงยอมให้มารดาแต่งกับลุงกู้ไปนานแล้ว ตอนที่คิดว่าจะจบชีวิตลง ยังเป็นห่วงมารดาว่านางจะอยู่เพียงผู้เดียว“แม่...แม่” นางจูซื่อทั้งเขินอาย ทั้งไม่รู้จะหาคำใดมาพูดกับลูกชายดี นางจึงได้แต่อ้าปากและหุบปากลง“หากพวกท่านต้องการที่จะใช้ชีวิตด้วยกัน ข้าเองก็ไม่มีสิ่งใดที่จะขัด ข้าขอท่านลุงเพียงเรื่องเดียว...อย่าทำให้ท่านแม่ข้าเสียใจก็พอ” ชุยหยุนเอ่ยออกมาอย่างจริงจัง“ได้ๆ ข้าไม่มีทางทำให้จูจูนางเสียใจเป็นอันขาด” ลุงกู้พยักหน้าอย่างรวดเร็วหลิงเฟิ่งได้แต่เบิกตากว้าง ถึงขั้นเรียกนามกันอย่างสนิทสนมเช่นนี้ คงดูใจกันมานานมากแล้วแน่ๆ“ข้าบอกพวกเจ้าแล้ว อาหยุนมิใช่คนไม่รู้ความหากพวกเจ้าบอกตั้งนาน ป่านนี้ก็มีลูกน้อยมาวิ่งเล่นแล้ว” ป้าจินเอ่ยเย้าออกมาหลิงเฟิ่งก็พยักหน้าน้อยๆ อย่างเห็นด้วย แม่สามีของนางยังไม่ถึงสี่สิบหนาว หากนางแข็งแรงมากพอเรื่องมีบุตรไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้“พวกข้ากลับก่อนดีกว่า พวกเจ้าก็ค่อยๆ คุยกันไป จะจัดงานมงคลเมื่อใดก็บอกข้าด้วยเล่า” ป้าเหลียนโบกมือลา ก่อนจะลากอาไฉที่มองคนนั้นทีคนนี้ทีกลับไปด้วยกันนางยังได้ยินเสียงอาไฉ ร้องตะโกนให้ป้าเหลียนไปหาสตรีมาแต่งเป็น
ชาวบ้านที่ออกมารอรับ เมื่อเห็นเกวียนวัวมิได้มีชุยหยุนและหลิงเฟิ่งลงมา ต่างก็รีบวิ่งตามเกวียนวัวที่เคลื่อนตัวไปทางเรือนตระกูลซ่งทันทีแม้ชาวบ้านคนอื่นจะสงสัย แต่ก็ไม่ได้คิดที่จะตามไป ชาวบ้านที่วิ่งตามคงฝากเจ้าของเกวียนวัวกับชุยหยุนซื้อของ เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นในหมู่บ้านที่ห่างไกลเมือง จนเป็นเรื่องชินตาอยู่แล้วหลิงเฟิ่งนางเอาเงินส่วนของพวกลุงกู้ออกมาใส่ไว้ในตะกร้าแล้ว พอมาถึงเรือนชุยหยุนก็ส่งสายตาบอกบุรุษทั้งสาม ว่าตั๋วเงินอยู่ในตะกร้า ก่อนจะจูงหลิงเฟิ่งที่กลับมาแกล้งบ้า เข้าไปพักเรือนก่อนป้าเหลียนกับป้าจิน ถูกสามีและบุตรชายดันตัวให้เข้าไปช่วยชุยหยุนประคองหลิงเฟิ่งไปส่งในเรือน พวกนางจึงได้รับเข้าไปทำหน้าที่แทนชุยหยุนทันที“เจ้าไปคุยกับชาวบ้านเถิด ข้าจะพาเฟิ่งเออร์ไปพักเอง” ชุยหยุนเข้าใจในคำพูดของป้าเหลียน เขาจึงปล่อยมือหลิงเฟิ่งแล้วเดินไปหาหัวหน้าหมู่บ้านแทน“ห้องเจ้าแคบ ไปห้องข้าดีกว่า” จูซื่อเห็นว่าป้าเหลียนกับป้าจินจะตามหลิงเฟิ่งเข้าไปสอบถามความในห้อง จึงได้ขวางหน้าเอาไว้สตรีทั้งสี่คนอยู่ภายในห้องนอนของจูซื่อ ทั้งยังลงกลอนไว้อย่างแน่นหนาแล้วด้วย“พวกท่านรับปากข้าก่อน ห้ามร้องออกมา
ทั้งสองที่รอให้เสี่ยวเอ้อไปชั่งหญ้าหนอน จึงสอบถามว่าหมอถานยังรับเพิ่มอีกหรือไม่ ตอนนี้ชาวบ้านกำลังเก็บอยู่ พรุ่งนี้คงจะนำมาขายให้อีกรอบได้“หมู่บ้านหู่เซิง มีหญ้าหนอนมากเพียงนี้เลยรึ” เขาเอ่ยถามออกมาอย่างสงสัยด้วยที่ผ่านมาไม่เคยมีชาวบ้านเก็บมาขายเลย หรือว่าจะไม่รู้จักก็เห็นจะไม่ใช่ ราคาที่สูงของโสม เห็ดหลินจือ หญ้าหนอน ทำให้ชาวบ้านที่ขึ้นเขาได้แต่หวังว่าจะโชคดีพบเจอสักเล็กน้อย“ขอรับ อาจจะเป็นความโชคดี ที่พวกข้าได้บังเอิญไปพบบนภูเขาที่ชาวบ้านไม่ได้เข้าไปหาของป่า”“เป็นเช่นนี้เอง” หมอถานพยักหน้าอย่างเข้าใจครั้งนี้เขาคงไม่ให้หลงจู๊เดินทางไปส่งของที่เมืองหลวงแล้ว คงจะเดินทางไปด้วยตนเองแทนเสี่ยวเอ้อเดินเข้ามาแจ้งเรื่องจำนวนหญ้าหนอนที่ชั่งได้ ของพวกลุงกู้เก้าชั่ง เป็นเงินสองพันเจ็ดร้อยตำลึงทอง ของหลิงเฟิ่งยี่สิบห้าชั่ง เป็นเงินมากถึงหนึ่งหมื่นสองพันห้าร้อยตำลึงทองค่าเงิน1 อิแปะ, เหวิน = 1 เหรียญทองแดง1 ก้วน = 1,000 อิแปะ /เหวิน/เหรียญทองแดง1 ตำลึงเงิน = 1ก้วน (พวง)1 ตำลึงทอง = 10 ตำลึงเงินแม้แต่หลิงเฟิ่งเองก็ตกใจกับน้ำหนักหญ้าหนอนหนึ่งตะกร้า ดูจะมากกว่าที่นางขายผักเมื่อชีวิตที่แล้
เกวียนวัวเริ่มเคลื่อนตัวออกจากหมู่บ้าน หลิงเฟิ่งที่ทนแรงเขย่าไม่ให้ก็เอนตัวพิงเกวียนเพื่อหลับตาพักผ่อน นางกลัวจะอาเจียนออกมา หากไม่ข่มตาหลับ ชุยหยุนเห็นเช่นนั้นจึงประคองศีรษะของนางให้พิงมาที่ไหล่ของเขาแทน“หึ มิคิดว่าเจ้าจะดูแลนังบ้าดีเช่นนี้” หลี่ซวงอดที่จะถากถางออกมาไม่ได้ ยิ่งมองรูปลักษณ์ที่เปลี่ยนไปของหลิงเฟิ่งเขาก็ยิ่งไม่ชอบใจนางคงจะอยู่ดีกินดี ถึงได้เริ่มมีน้ำมีนวล อีกทั้งใบหน้าที่เคยซูบผอมไม่ชวนมองก็เริ่มเผยความงามออกมาแล้ว“เจ้าควรจะดีใจ ที่ตระกูลซ่งของข้าดูแลนางดีเช่นนี้ หรือว่า...เจ้ามิใช่พี่ชายของนาง” หากมองดูดีๆ หลิงเฟิ่งก็ไม่ได้มีส่วนใดที่คล้ายกับคนตระกูลหลี่เลย จะบอกว่านางเหมือนมารดาของนางก็คงไม่ใช่ มารดาของหลิงเฟิ่งปากหนา ตาเล็ก จมูกก็มิได้เป็นสันโด่งเช่นนั้นนาง“ผู้ใดอยากจะมีน้องสาวเสียสติเช่นนาง ตอนนี้นางก็ถูกตระกูลหลี่ตัดขาดไปแล้ว ต่อไปเจ้าอย่าได้อ้างถึงคนตระกูลหลี่อีก”นี่คือสิ่งที่ชุยหยุนอยากได้ยินจากปากของหลี่ซวง ในเกวียนมีชาวบ้านในหมู่บ้านอีกนับสิบ สิ่งที่เขาพูดในวันนี้ย่อมมีผลภายหน้าอย่างแน่ตลอดสองชั่วยามที่เดินทางเข้าเมือง ไม่ว่าหลี่ซวงจะพูดสิ่งใดต่อ ชุยหยุนก