เพราะความเมตตาจากสวรรค์ ทำให้นางผู้ซึ่งสิ้นอายุขัยในวันที่คลอดลูก ได้กลับมาเกิดใหม่ ในร่างของคุณหนูสามผู้โง่เขลา บุตรีของท่านเจ้าสำนักศึกษาตระกูลหลี่
View Moreเสียงร้องคร่ำครวญด้วยความเจ็บปวดของสตรี ดังมาจากเรือนหลังหนึ่ง ภายในจวนสกุลหลัว สาวรับใช้วิ่งสวนทางกันให้วุ่น เพราะฮูหยินน้อยกำลังจะคลอดบุตรแล้ว ฮูหยินใหญ่หลัวเดินไปเดินมาอยู่หน้าห้อง นางรู้สึกใจคอไม่ดีเอาเสียเลย เพราะยามนี้บุตรชายของนาง ได้ออกไปปราบปรามโจรป่า ทำให้ไม่ได้อยู่รอภรรยาคลอดลูก
“นางยังไม่คลอดอีกรึ” หลัวฮูหยินถามสาวรับใช้ที่เดินเข้าออกห้อง
“ปะ...ปากมดลูกยังไม่เปิดเจ้าค่ะ หมอตำแยนางบอกว่า ตะ...ต้องรีบไปเชิญท่านหมอมาฝังเข็ม ให้ฮูหยินน้อยก่อนเจ้าค่ะ”
สาวรับใช้รีบรายงานออกมาด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก ใบหน้าที่แสดงออกมานั้นก็ซีดเผือด เพราะอาการของฮูหยินน้อย ค่อนข้างน่าเป็นห่วง
“แล้วยังจะรออันใดอยู่เล่า เร็ว...รีบให้คนไปเชิญท่านหมอหลินมา” หลัวฮูหยินกล่าวด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง เรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้ กลับยังไม่รีบจัดการ
“ฮูหยิน...เจ้าเองก็นั่งลงก่อนเถิด หลูซื่อแต่ไรมาร่างกายก็แข็งแรงมาโดยตลอด นางย่อมคลอดหลานชายของพวกเราออกมา ได้อย่างปลอดภัยแน่นอน”
นายท่านหลัวปลอบใจภรรยา แม้ภายในใจจะรู้สึกว่ามีบางสิ่งบางอย่างผิดปกติเช่นกัน ทว่าเขาก็ต้องตั้งสติให้ดี
หลัวฮูหยินย่อมฟังสามี นางยินยอมนั่งลงในที่สุด ทว่าจิตใจนั้นก็ไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว นางเป็นห่วงลูกสะใภ้
นางเห็นเด็กคนนี้มาตั้งแต่ตระกูลหลัว ยังเป็นเพียงแค่ตระกูลสามัญชนต้อยต่ำ ทว่าเด็กสาวที่เป็นถึงบุตรีเพียงคนเดียว ของเจ้าสำนักคุ้มภัยต้าฟง กลับไม่คิดรังเกียจ
ยอมคบหาและแต่งงานกับบุตรชายของตน ตั้งแต่เขายังไม่ได้เป็นขุนนาง พอมาบัดนี้ ตระกูลหลัวกำลังรุ่งเรือง นางกลับต้องมาพบเจอกับเรื่องที่ยากลำบาก อย่างเช่นการคลอดบุตร
ผู้ใดกันจะไม่รู้บ้าง ว่าการคลอดบุตร ก็เท่ากับการก้าวเข้าปากประตูผีไปก้าวหนึ่งแล้ว อีกทั้งอีกฝ่ายก็รอคลอดนานถึงเพียงนี้ จะไม่ให้นางรู้สึกเป็นห่วง และกระวนกระวายใจได้อย่างไร
“ท่านหมอหลินมาแล้วเจ้าค่ะ” สาวรับใช้รีบรายงาน หลังจากที่คนข้างกายของนายท่านใหญ่ ออกไปเชิญท่านหมอหลินกลับมาถึงจวนแล้ว
“ท่านหมอหลิน...รีบเข้าไปดูลูกสะใภ้ของข้าทีเถิด ป่านนี้แล้วนางยังไม่คลอดเลยเจ้าค่ะ”
หลัวฮูหยินรีบกล่าวออกมา หลังจากที่คำนับทักทายท่านหมอหลินเสร็จ หมอวัยกลางคน รีบสาวเท้าเข้าไปภายในห้อง ที่ฮูหยินน้อยหลัวรอคลอดอยู่อย่างเร่งรีบ ก่อนที่เขาจะช่วยจับชีพจร และฝังเข็มให้นาง
“ข้าได้ทำการฝังเข็มให้ฮูหยินน้อยแล้ว อีกไม่เกินครึ่งเค่อ นางก็คงจะคลอด”
ท่านหมอหลินใจคอไม่ดี เขาเห็นใบหน้าซีดเซียวไร้ชีวิต ของฮูหยินน้อยแล้ว ขอเพียงอีกฝ่ายคลอดทายาทสกุลหลัวออกมา ได้อย่างปลอดภัยก็นับว่าโชคดี อย่าให้เกิดอันใดกับสองแม่ลูกก็พอ
“ท่านหมอหลินได้โปรดรั้งรอ อยู่ที่นี่ก่อนเถิดเจ้าค่ะ ข้าเกรงว่าจะเกิดเหตุอันใดร้ายแรงขึ้นกับลูกสะใภ้”
แม้อีกฝ่ายจะไม่ใช่มารดา ทว่ากลับห่วงใยสตรีที่เป็นเพียงลูกสะใภ้ ยิ่งกว่ามารดาผู้ให้กำเนิด ความจริงใจของหลัวฮูหยิน แสดงผ่านออกมาทางแววตา ท่านหมอหลินรู้สึกนับถือนางจากใจ จึงยอมรั้งอยู่ตามความต้องการของหลัวฮูหยิน
บ่าวรับใช้เชิญท่านหมอหลินให้ไปนั่งจิบน้ำชา กินของว่างรอที่ห้องข้างๆ ไม่เกินครึ่งเค่อ อย่างที่ท่านหมอหลินบอก เสียงร้องของหลูชิงเหลียนก็ดังขึ้น นางใช้แรงทั้งหมดที่มี เบ่งส่งบุตรชายที่นางเฝ้ารอมานานนับเก้าเดือน ให้ออกมาลืมตาดูโลก แม้จะเป็นลมหายใจ เฮือกสุดท้ายของนางก็ไม่เสียดาย
“อุ…แว๊….” เสียงของทารกแผดร้อง ทำให้คนที่เฝ้ารออยู่ข้างนอกรู้สึกยินดี
ทว่าไม่นานนัก ก็ได้ยินเสียงสาวรับใช้คนสนิท ของลูกสะใภ้กรีดร้องดังออกมา เสียงร่ำไห้น่าเวทนาดังขึ้น นายท่านหลัว ฮูหยินใหญ่ และท่านหมอหลิน จึงรีบพากันเข้าไปข้างในห้อง
ท่านหมอหลินนั่งลงตรวจชีพจรให้กับฮูหยินน้อยทันที ก่อนที่เขาจะมองไปยังทารกน้อย ที่ถูกห่อกายด้วยผ้าสีขาว แววตาของเขาฉายแววแห่งความเวทนาออกมา เขาสูดลมหายใจเข้า แล้วจึงหันหลังลุกขึ้นยืน กล่าวแสดงความยินดีและความเสียใจ ให้กับการเกิดใหม่ และการสูญเสียของสกุลหลัวในวันนี้
“นายท่านหลัว ฮูหยินใหญ่ ข้าขอแสดงความยินดีกับพวกท่านด้วย คุณชายน้อยคลอดออกมา มีร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงดี และข้า…ก็ต้องขอแสดงความเสียใจ ต่อครอบครัวของพวกท่าน ฮูหยินน้อย…ได้จากไปอย่างสงบแล้ว”
สองสามีภรรยายังไม่ทันได้ดีใจ ที่หลานชายคลอดออกมาได้อย่างปลอดภัย พวกเขากลับต้องรับรู้ถึงการสูญเสียลูกสะใภ้อันเป็นที่รัก ไปอย่างไม่มีวันกลับ
หลัวฮูหยินได้ยินแล้วก็เป็นลมล้มพับลงไปทันที นายท่านหลัวรีบประคองภรรยาขึ้นมา แล้วอุ้มนางออกไปนอนยังตั่งตัวยาวด้านนอก เชิญท่านหมอหลินให้ช่วยไปตรวจอาการของนาง
แม่นมซิ่ว แม่นมของหลูชิงเหลียน แม้จะเสียใจเป็นที่สุด แต่นางก็กลายเป็นผู้ที่มีสติดีที่สุด คอยจัดการเรื่องพิธีศพของฮูหยินน้อย บ่าวในจวนสกุลหลัว ไม่มีผู้ใดที่ไม่เสียน้ำตา
เพราะตลอดระยะเวลาสองปี ที่ฮูหยินน้อยแต่งเข้าสกุลหลัวมา นอกจากนางจะเป็นสตรีที่แข็งแกร่ง สามารถเป็นคู่ซ้อมให้กับคุณชายได้ นางยังมีจิตใจเมตตากรุณาต่อพวกเขาอีกด้วย
เพียงไม่นาน จวนสกุลหลัวที่ควรจะจัดงานเลี้ยง กลับกลายมาเป็นจัดงานเศร้าโศกแทน ผ้าขาวดำถูกประดับไปทั่วทั้งจวน ผู้คนที่รับรู้ถึงเรื่องการจากไปของฮูหยินน้อยสกุลหลัว ต่างก็พากันรู้สึกเวทนา บุตรชายเกิดมา มารดาสิ้นใจ
แม้ในยุคสมัยนี้ จะมีให้เห็นอยู่บ่อยๆ แต่ผู้ใดเล่าจะคิดว่า คนดีๆ อย่างเช่นฮูหยินน้อยสกุลหลัว จะกลายเป็นหนึ่งในผู้ที่ประสบพบเจอกับโชคร้ายเช่นนั้น
หลัวอี้เฉินที่ออกไปปราบปรามโจรป่า รู้สึกใจคอไม่ดีเช่นกัน หลังจากที่เขานำกำลังเข้ากวาดล้างฐานลับ และจับกุมพวกโจรป่า ที่หนีไม่ทันเหล่านี้ได้ทั้งหมดแล้ว เขาจึงรีบควบคุมตัวพวกมัน ไปส่งยังศาลต้าตงเพื่อรอตัดสินโทษ ก่อนที่จะควบอาชากลับไปยังจวนสกุลหลัวทันที
กว่าจะถึงจวนฟ้า ก็มืดค่ำลงเสียแล้ว ภายนอกประตูจวน ถูกประดับไปด้วยผ้าขาวดำ โคมถูกแขวนเอาไว้ สองขาของหัวหน้ามือปราบหนุ่มอ่อนแรง กู้อี้รีบปรี่เข้ามาประคองคุณชายของตน เขารู้สึกใจคอไม่ดีแล้วเช่นกัน ยามที่เห็นจวนถูกประดับประดา ด้วยสิ่งของที่ใช้ตกแต่งในงานอวมงคลเช่นนี้
“นายท่าน…ท่านกลับมาแล้ว…” บ่าวรับใช้คนหนึ่งที่เปลือกตาบวมเป่งวิ่งออกมาต้อนรับ
“เกิดเหตุอันใดขึ้น เหตุใดจวนถึงได้ถูกประดับด้วยผ้าขาวดำ ประดับโคมไฟไว้อาลัยเช่นนี้” กู้อี้เป็นฝ่ายถามบ่าวรับใช้ที่เฝ้าหน้าประตูจวนออกมา อีกฝ่ายคุกเข่าลงบนพื้น หลั่งน้ำตาลงมาอีกหน
“ฮึก…คุณชายน้อยกำลังรอนายท่านอยู่ขอรับ…ตะ..แต่ว่า ฮูหยินน้อย ดะ…ได้จากไปแล้วฮึก….ฮือๆๆๆ”
บ่าวรับใช้พยายามกลั้นใจรายงานออกมา ทว่าสุดท้ายก็ฝืนทนต่อความเศร้าโศกไม่ได้ เขาร้องไห้ราวกับฟ้าจะถล่ม หลัวอี้เฉินหน้าซีดเข่าอ่อนทันที เขารีบวิ่งเข้าไปภายในจวนที่เงียบสงัดราวกับไร้ผู้คน
หลังจากที่ฮูหยินรองและบุตรีจากไป หลี่ต้าถงก็มองภรรยาเอกตาขวาง เขารู้ถึงแผนการสกปรกโสมมเช่นนี้ ทว่ากลับคาดไม่ถึง ว่าผู้ลงมืออยู่เบื้องหลัง จะเป็นภรรยาผูกผมของตน“ข้าดูจากเทียบเชิญแล้ว คนผู้นี้ได้มันมาจากน้องชายของเจ้า เหนียนซื่อ!!! เหตุใดเจ้าถึงเปลี่ยนไปได้ถึงเพียงนี้” น้ำเสียงของหลี่ต้าถงแสดงถึงความผิดหวังออกมา และดูเย็นชาลงหลายส่วนก่อนหน้านี้เขายอมรับว่า ตนละเลยภรรยาเอกไปบ้าง ด้วยวัยที่เริ่มโรยราลง เขาจึงต้องไปหาความสุขจากภรรยารอง หรือแม้แต่อนุภรรยาทว่าเขาก็ไม่เคยมอบความโปรดปรานให้แก่สตรีคนใด เพราะไม่อยากให้เรือนหลังของตนมีปัญหา ตั้งแต่ใช้ชีวิตร่วมกันมา เขาก็ไม่เคยทำให้นางต้องรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจสิ่งใดที่สมควรเป็นหน้าที่ของภรรยาเอก เขาย่อมยกให้นาง เพียงแต่งานบางอย่าง เหมาะสมกับภรรยารอง เขาจึงยกหน้าที่ให้อีกฝ่ายแทน เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระที่อยู่ในมือของนาง ทว่านางกลับไม่เข้าใจ“เจ้ามีเหตุผลอันใดที่ต้องทำเช่นนี้ เจ้าคิดจะทำลายชื่อเสียงของเหมียวเอ๋อร์ยังไม่พอ เจ้ายังคิดที่จะทำลายชื่อเสียงของตระกูลหลี่ด้วยใช่หรือไม่” เห็นภรรยาผูกผมจ้องหน้าเขาทว่ากลับไม่ยอมตอบคำถามออกมา ความขุ่นเคืองยิ
และทุกการกระทำของชายแปลกหน้า ล้วนแล้วแต่อยู่ในสายตาของหลี่ต้าถง เขาเหลือบมองไปยังภรรยาเอก ก่อนที่จะสะบัดชายอาภรณ์ แล้วเดินออกไปนั่งอยู่ที่โถงรับรองด้านนอก เพื่อไต่สวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นจ้าวซื่อเข้าไปกอดหลี่ชิงเหมียว แล้วจึงพาบุตรีออกไปจากห้องนี้ ถึงแม้จะอยู่ในจวนของตระกูลตนเองแท้ๆ ยังเกิดเรื่องร้ายขึ้นมาได้ แล้วที่ใดยังจะปลอดภัยสำหรับพวกนางอีก จ้าวซื่อหลั่งน้ำตาลงมาอย่างอัดอั้น หลี่ชิงเหมียวบีบมือมารดาเบาๆ ในขณะที่ก้าวเดินไปยังโถงรับรองพร้อมกัน“เกิดอันใดขึ้น ไยถึงเป็นเจ้า ที่นอนอยู่บนเตียงกับหวงเชาได้” แม่นมโจวแสร้งหยิบอาภรณ์ของอี้หงที่กองอยู่บนพื้น แล้วเดินเข้าไปหา พลางลอบกระซิบถามอี้หง ที่ร้องไห้จนไม่มีน้ำตา“ขะ…ข้าก็ไม่รู้เจ้าค่ะแม่นม พอข้าลืมตาตื่นขึ้นมา ก็เห็นว่าพวกท่านมาอยู่ในห้องนี้กันหมดแล้ว ละ…และข้าก็ฮือๆๆๆ”อี้หงตอบออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก ก่อนที่จะร้องไห้ออกมาอีกหน แม่นมโจวมองอีกฝ่ายด้วยแววตาสมเพช ก่อนที่จะเดินตามฮูหยินใหญ่ออกไปจากห้องนี้ โดยไม่หันกลับมาสนใจอี้หงอีก สาวรับใช้ที่ทำงานผิดพลาดร่ำไห้ออกมาทางด้านเฉินจงที่เพิ่งลากหวงเชา ออกไปสอบปากคำที่ลานด้านหน้าเรือน มอ
หลี่ต้าถงเปิดประตูห้องนอนของหลี่ชิงเหมียวเข้าไปอย่างแรง ด้านหลังมีฮูหยินทั้งสองเดินตามเขาไปติดๆ พ้นประตูเข้าไปเป็นโถงนั่งเล่น หลังม่านกั้นเป็นเตียงนอน มีม่านถูกปลดลงมา เสื้อผ้าที่แยกไม่ออกว่าเป็นของบุรุษหรือสตรี กองรวมกันอยู่บนพื้น จนไม่ต้องเห็นภาพด้านใน ก็พอจะรู้ว่าเกิดเหตุอันใดขึ้นหลี่ต้าถงปรี่เข้าไปเปิดม่านมุ้งออก ภาพที่อยู่บนเตียง ยิ่งทำให้อารมณ์โกรธของหลี่ต้าถง พุ่งทะยานยิ่งขึ้นไปอีก เขาเข้าไปกระชากผ้าห่ม ปลุกคนที่นอนกอดกันอยู่บนเตียงให้ตื่นขึ้นมา บุรุษลุกขึ้นเปลือยท่อนบน นั่งขยี้ตาอยู่อย่างงุนงง ฮูหยินทั้งสองและสาวรับใช้ที่ติดตามมา รีบพากันหันหลังทันที“นังลูกไม่รักดี กล้าดีอย่างไร…”หลี่ต้าถงตะเบงออกมาโดยความโมโห ทว่าเขาก็ต้องกลืนคำพูดที่กำลังจะกล่าวออกมาคืนกลับไป เพราะเสียงเรียกอันคุ้นเคย ดังมาจากทางด้านหลังของเขา“ท่านพ่อ!!” หลี่ต้าถงหันไปมอง เห็นบุตรสาวเยื้องย่างผ่านม่านกั้นเข้ามา พร้อมกับอี้เหลียน สาวรับใช้คนสนิทของนาง“เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือเจ้าคะ” นางเดินเข้ามานัยน์ตาดุจหงส์มองไปยังทุกคนด้วยความงุนงง อารมณ์โกรธของหลี่ต้าถงจึงค่อยๆ ผ่อนคลายลง เขาชี้ไปยังเตียงนอน“บนเตียง
“เจ้าคงจะได้ยินมาจากโย่วถิงบ้างแล้วกระมัง เจ้าเพียงแค่ไปรออยู่ที่เรือนด้านหลังของจวน แล้วข้าจะส่งคุณหนูสามของตระกูลหลี่ไปให้เจ้าถึงที่”เหนียนซื่อมองอีกฝ่ายแววตาแฝงไปด้วยความขยะแขยง ดูก็รู้ว่าชายผู้นี้น่ารังเกียจกว่าที่คิด แม้แต่นางที่สูงวัยจนถึงขั้นเป็นมารดาของอีกฝ่ายได้ ก็ยังใช้แววตาโลมเลีย“นี่ข้าจะได้เป็นลูกเขยของท่านจริงๆ หรือ” หวงเชาเอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ทว่ากลับแสดงออกมาถึงความหยาบคาย ไร้ความถ่อมตนเช่นคราแรก เหนียนซื่อรู้สึกว่าตนคิดผิด เหมือนกับว่านำพาเสือเข้าจวน“หากเจ้าทำสำเร็จ สิ่งใดก็ย่อมเกิดขึ้นได้” เหนียนซื่อไม่ได้รับปากแน่นอนว่าถ้าหากหลี่ชิงเหมียว คว้านักเลงอย่างหวงเชามาเป็นสามี หลี่ต้าถงย่อมตัดขาดกับหลี่ชิงเหมียว เพื่อรักษาชื่อเสียงของตระกูลหลี่อย่างไม่ต้องเดา นางรู้จักนิสัยของสามีเป็นอย่างดี เขาไม่มีทางเก็บคนที่ไร้ประโยชน์เอาไว้หวงเชาแสยะยิ้มออกมา เรื่องเช่นนี้ช่างง่ายดาย เขาเดินตามบ่าวรับใช้ของฮูหยินใหญ่ มุ่งหน้าไปยังเรือนนอนหลังในสุดของจวน ยามนี้ปราศจากผู้คน ราวกับเป็นเรือนที่ถูกทิ้งให้อยู่โด
สาวรับใช้ของฮูหยินใหญ่ตระกูลหลี่ได้ยินในสิ่งที่บรรดาฮูหยินเหล่านี้พูดคุยกัน ต่างจดจำเอาไว้ในใจ หากคนของฮูหยินใหญ่ทำงานไม่สำเร็จ พ่อหม้ายลูกติด บุตรชายของฮูหยินที่นั่งอยู่ตรงนี้ คงจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด การแต่งงานกับบุรุษที่ไม่ลืมในรักเก่า แต่งออกไปก็ไม่มีความสุขงานเลี้ยงเริ่มขึ้นหลังจากที่แขกมาจนครบแล้ว ท่านเจ้าสำนักศึกษาตระกูลหลี่นั่งดื่มชา และร่ำสุราร่วมกับบรรดานายท่านจากจวนอื่น เสียงพูดคุยดังไม่แพ้ทางฝั่งสตรี ฮูหยินใหญ่นั่งพูดคุยอยู่กับบรรดาฮูหยินที่รู้จักกัน ส่วนฮูหยินรองนำสาวรับใช้ยกชามารินให้แก่ฮูหยินที่นั่งอยู่แต่ละโต๊ะ นางเป็นคนเข้าไปพูดคุยกับฮูหยิน ที่ฮูหยินใหญ่ไม่รู้จักเหล่านั้นอาศัยการเข้าสังคมของฮูหยินรอง ย่อมไม่ตกเป็นหัวข้อในการสนทนา นางดูแลรับแขกที่มาร่วมงานได้ดีจนได้รับคำชม ใบหน้างามของจ้าวซื่อ จึงมีแต่รอยยิ้มประดับอยู่ตลอดเวลา“ท่านนี่โชคดีจริงๆ ที่ท่านเจ้าสำนักศึกษามีภรรยารองเช่นจ้าวซื่อ ข้าเห็นนางดูแลแขกเหรื่อได้ดีไม่มีขาดตกบกพร่อง ใบหน้าก็งดงามรอยยิ้มก็ทำให้คนประทับใจได้ไม่ยาก” หนิวฮูหยิน ภรรยาเจ้าสำนักคุ้มภัยเมืองถงกล่าวออกมาด้วยน้
หลังจากสองเดือนให้หลัง งานเลี้ยงน้ำชาก็ได้ถูกจัดขึ้น ตามแผนการของฮูหยินใหญ่ บริเวณสวนบุปผาของจวนตระกูลหลี่ยามนี้ จึงคึกคักไปด้วยแขกผู้มาเยือน ส่วนใหญ่มาจากตระกูลที่ได้รับเทียบเชิญ ซึ่งมีทั้งตระกูลขุนนาง บัณฑิต พ่อค้า และคหบดีท่านเจ้าสำนักศึกษาตระกูลหลี่ คอยต้อนรับแขกอยู่ด้านหน้าทางเข้า พร้อมกับฮูหยินทั้งสอง ใบหน้าของเขาปรากฏรอยยิ้มอยู่ตลอด เพราะเขาไม่คิดว่า จะมีวันหนึ่งที่บุตรี ซึ่งเคยคิดว่าไร้ค่าของเขา จะกลายมาเป็นสตรี ที่ได้รับความสนใจ จากตระกูลทั้งหลายมากถึงเพียงนี้ แต่นั่นก็เป็นเพราะชื่อเสียงอันดีงามของเขาด้วย“ใต้เท้ากวน กวนฮูหยิน เชิญด้านในเลยขอรับ” หลี่ต้าถงกล่าวต้อนรับผู้มาเยือนด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มก่อนที่ภรรยารองอย่างจ้าวซื่อ จะจัดแจงให้สาวรับใช้ขั้นหนึ่งของจวน นำทางใต้เท้ากวน และกวนฮูหยินไปยังเรือนรับรอง ซึ่งอยู่กันคนละฝั่ง โดยการจัดงานเลี้ยงน้ำชาเช่นนี้ ย่อมแบ่งฝั่งชายหญิง เพื่อรักษาระยะห่างตามธรรมเนียมภายในเรือนรับรองฝั่งซ้ายของสวนบุปผา ยามนี้มีบรรดาฮูหยิน จากหลายเมืองที่ได้รับเทียบเชิญให้มาร่วมงาน นั่งร่วมโต๊ะพูดคุยกันอยู่บ้างแล้ว เช่น
“ได้ยิน…แต่ไม่มีผู้ใดในเมืองหลวงเชื่อน่ะสิ ทุกคนต่างกล่าวว่า ช่างเป็นเรื่องเหลวไหล บุรุษดีๆ คนใดบ้างเล่า ที่อยากจะได้สตรีโง่เขลา มาเป็นภรรยา แม้แต่อนุภรรยายังยากเลย” เหนียนโย่วถิงยกชาขึ้นมาจิบหลังจากที่กล่าวจบ ถ้าหากเขาไม่มีปัญหาเรื่องเงินขาดมือ เขาคงไม่ถ่อมาเยือนถึงเมืองถง เพื่อยืมเงินจากพี่สาวคนโต ที่แต่งออกมากับตระกูลหลี่ คราแรกบิดาเห็นว่าหลี่ต้าถงผู้นั้น ดูมีอนาคตก้าวหน้า ในเส้นทางขุนนาง จึงให้พี่หญิงใหญ่ออกเรือนมา แต่ไม่รู้เป็นเพราะเหตุใด หลังจากเข้ารับตำแหน่งท่านราชครูอยู่ไม่นาน เขากลับกลายเป็นคนโง่ ลาออกมาเปิดสำนักศึกษาอยู่ที่เมืองถงซะอย่างนั้น “แล้วผู้ใดบอกให้เจ้า ช่วยหาบุรุษดีๆ ให้แก่นาง หากได้พวกเหลวไหล ทำตัวเสเพลไปวันๆ ได้ยิ่งดี" เหนียนโย่วถิงวางถ้วยชาลงเสียงดัง นัยน์ตาเบิกโพลง เพราะไม่คิดว่าพี่หญิงใหญ่ของตน จะกลายเป็นสตรีที่มีความคิดที่น่ากลัวเช่นนี้ เขามองหน้าพี่สาวของตนอย่างไม่อยากเชื่อสายตา กาลเวลานั้นทำให้ใจคนเปลี่ยนไป ถึงเพียงนี้เชียวหรือ จากที่เคยเป็นสตรีอ่อนโยนจิตใจดี กลับกลายเป็นคนมีความคิดชั่วร้ายไปได้ ฮูหยินรองผู้นั้น บังเอิญทำสิ่งใดให้
เรื่องที่หลี่ชิงเหมียวกังวล แม่นมซิ่วและจิ่งอี๋ที่ช่วยกัน ทำหน้าที่คอยดูแลคุณชายน้อยหลัวอี้เจ๋อเอง ก็กังวลเช่นกัน ทว่าเรื่องนายหญิงคนใหม่ ที่จะมารับหน้าที่ดูแลนายน้อย ต่อจากนายหญิงผู้ล่วงลับนั้น ทางนายท่านหลัวและหลัวฮูหยิน ได้มีการพูดกัน กับท่านเจ้าสำนักคุ้มภัยหลูกับหลูฮูหยินเอาไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้วก่อนที่ทั้งสองจะออกเดินทางไปแสวงบุญ ท่านเจ้าสำนักคุ้มภัยหลูกับหลูฮูหยิน ได้บอกกล่าวกับนายท่านหลัวและหลัวฮูหยินแล้วว่า หลังจากที่หลัวอี้เฉินออกการไว้ทุกข์ ให้แก่บุตรสาวของพวกตนแล้ว ก็ให้เขาแต่งงานใหม่เสีย และสตรีนางนั้น จะต้องมาจากตระกูลบัณฑิตเท่านั้น“ท่านแม่ว่า…เรื่องที่นักพรตเต๋าผู้นั้นทำนาย เชื่อได้หรือไม่เจ้าคะ” จิ่งอี๋เอ่ยถามมารดาออกมาด้วยความสงสัยไม่ใช่ว่านางไม่เชื่อในเรื่องลี้ลับ ปาฏิหาริย์อันใด แต่นั่นออกจะน่าเหลือเชื่อเกินไปกระมัง ที่นักพรตทำนายเอาไว้ว่า สักวันคุณหนูของนาง จะมีโอกาสได้กลับมาเกิดใหม่และโอกาสนั้นจะมาพร้อมกับตระกูลบัณฑิต เรื่องที่คุณหนูจะกลับมาเกิดใหม่ ท่านนักพรตไม่ได้กล่าว แต่ทว่านางกับมารดา หรือแม้แต่นายท่านหลัวและหลัวฮู
ณ เรือนต้าชางเหนียนซื่อ หรือฮูหยินใหญ่กำลังนั่งอยู่บนตั่งตัวยาว ใบหน้ามีรอยยิ้มหยันอยู่ตรงมุมปาก เมื่อครั้งบุตรีของนางยังต้องแต่งออกไปกับบัณฑิตที่ยากจนแม้แต่หลี่ชิงหรง บุตรีของเหลียงอีเหนียงที่ล่วงลับไปแล้ว ก็ยังเคยมีการพูดคุยถึงเรื่องการแต่งงานเอาไว้กับตระกูลที่มีฐานะพอมีพอกินเลย หากปล่อยให้เด็กนั่นเลือกคู่ครองด้วยตนเอง มิใช่จะมักใหญ่ใฝ่สูงเลือกองค์ชายหรือไร“แล้วนางว่าอย่างไรบ้าง”น้ำเสียงเย็นชาดังออกมาจากริมฝีปากสีชาด ใจของนางร้อนรุ่มไปหมด หลังจากที่ได้ยินว่า เมื่อวันก่อน สามีได้แอบพูดคุยกับฮูหยินรอง ถึงเรื่องการออกเรือนของหลี่ชิงเหมียว เขาไม่คิดจะมาปรึกษานางที่เป็นแม่ใหญ่สักคำใบหน้าของเหนียนซื่อเปลี่ยนเป็นเย็นชา ยามที่คิดว่าสามีผูกผม หลังจากที่ฮูหยินรองมีบุตรชายหญิงให้เขา เขาก็มักจะทำสิ่งใดข้ามหน้าข้ามตานางไปเสมอ นี่เขาไม่เห็นนางเป็นภรรยาแล้วหรืออย่างไร“เรียนฮูหยินใหญ่ คุณหนูสามบอกว่า นางไม่มีคุณชายจากตระกูลใดในเมืองถงนี้ถูกใจนางสักคนเจ้าค่ะ”“เหอะ!! ยังเยาว์วัยแต่มีใจใฝ่สูงนัก ในเมืองถงยังไม่มีคุณชายจากตระกูลใ
Comments