สีหน้าของมู่หรงเซี่ยวเทียนพลันเคร่งขรึมขึ้น เขาส่ายหน้า“ถึงจะไม่มีเรื่องหยวนหัว เป่ยเยี่ยนกับแคว้นฉีก็ต้องทำสงครามปะทะกันในสักวัน แต่การให้เจ้าห้าอยู่ที่ต้าเหยียนก็เพื่อรักษาอนาคตของเป่ยเยี่ยนไว้ มิใช่เพราะแคว้นฉีทั้งหมด”“เสด็จพ่อทรงหมายความว่า นอกจากแคว้นฉีแล้วยังมีผู้อื่นที่ต้องการรุกรานเป่ยเยี่ยนของเราอีกหรือพ่ะย่ะค่ะ?”มู่หรงโม่พลอยมิสบายใจไปด้วยตลอดหลายปีมานี้ แคว้นฉีรีดนาทาเร้นเป่ยเยี่ยนหนักข้อขึ้นทุกปี จนกระทั่งคลังหลวงของเป่ยเยี่ยนว่างเปล่า อยู่ในสภาพที่ภายนอกแข็งแกร่งภายในอ่อนแอในยามนี้หากยังมีแคว้นอื่นใดคิดจะระรานอีก เกรงว่าเป่ยเยี่ยนคงจะแบกรับภาระหนักมิไหว ผลลัพธ์ย่อมคาดมิถึง“เมื่อปลายเดือนที่แล้ว ข้าได้รับข่าวลับที่เชื่อถือได้ว่า ภายในแคว้นตงอี๋ได้เริ่มเพิ่มกำลังทหาร เสบียงและยุทธภัณฑ์ก็ทยอยขนส่งไปยังแนวรบด้านตะวันตก เกรงว่าอีกมินานกองทัพตงอี๋ก็จะรุกรานชายแดนเราแล้ว”“มิใช่กระมังพ่ะย่ะค่ะ? ตลอดหลายปีมานี้เป่ยเยี่ยนกับตงอี๋เรียกได้ว่าอยู่กันอย่างสันติ เหตุใดพวกเขาจึงคิดจะยกทัพมาโจมตีเรากะทันหันเช่นนี้? หรือว่าพวกเขาต้องการทวงคืนเมืองทั้งสามที่ยกให้เป่ยเยี่ยนมาเมื
อยู่ใต้ร่มเงาผู้อื่นจำต้องก้มศีรษะ! ข้าอดทนได้!เขาปลอบใจตนเองแล้วก็กลับเข้าห้องไปวันรุ่งขึ้นภายในท้องพระโรงมู่หรงเซี่ยวเทียนเพิ่งกินมื้อเช้าเสร็จ ชายหนุ่มในอาภรณ์พญางูสี่กรงเล็บผู้หนึ่งก็เดินเข้ามาเขาคือองค์รัชทายาทแห่งเป่ยเยี่ยน มู่หรงโม่!“ถวายพระพรเสด็จพ่อ!”เขาเข้ามาแล้วก็คารวะด้วยความเคารพมู่หรงเซี่ยวเทียนโบกมือ “ลุกขึ้นเถิด ต่อไปหากไม่มีคนนอกอยู่ พิธีเช่นนี้ก็มิจำเป็น”“พ่ะย่ะค่ะ!”มู่หรงโม่ลุกขึ้นแล้ว ก็กล่าวเข้าเรื่องทันทีว่า “เสด็จพ่อ ลูกได้ยินมาว่า ทางหอดารารักษ์ตัดสินใจให้องค์รัชทายาทผู้รอวันปลดแห่งต้าเหยียนผู้นั้นเป็นบุตรแห่งนักปราชญ์ เรื่องนี้เกรงว่าจะมิเหมาะสม ถึงอย่างไร...”ยังมิทันกล่าวจบ มู่หรงเซี่ยวเทียนก็ขัดจังหวะขึ้นเสียก่อน “เรื่องนี้เป็นอาจารย์เจ้าได้อนุญาตแล้ว มิจำเป็นต้องกล่าวถึงอีก”“ที่แท้ท่านอาจารย์ก็อนุญาตนี่เอง แต่ว่าเสด็จพ่อ ฉินซูผู้นั้นสังหารหยวนหัวด้วยตนเอง หากวันหน้าข่าวรั่วไหลออกไป เกรงว่าอ๋องเซียงหยางจะโกรธแค้นยิ่งนัก เช่นนี้แล้ว เป่ยเยี่ยนของเราจะมิถึงคราวเคราะห์เพราะองค์รัชทายาทผู้รอวันปลดผู้นั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ?”“เรื่องนี้ตัวข้าย่อ
ฉินซูมิได้ใส่ใจความยินดีของซ่างกวนอวิ๋นซีมากนักเขาถามย้ำว่า “ดังนั้น ท่านจึงต้องการให้ข้าเข้าไปในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนเฉวียนกระไรนั่นแล้วนำบางสิ่งกลับมาให้ท่านหรือ?”“ถูกต้อง เจ้าฉลาดดีนี่!”“วรยุทธ์ของท่านแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ เหตุใดจึงมิเข้าไปเองเล่า?”“ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนเฉวียนมีข้อจำกัด อนุญาตให้ผู้ที่มีวรยุทธ์ต่ำกว่าระดับเหนือมนุษย์เท่านั้นที่เข้าไปได้”ฉินซูขมวดคิ้วถามว่า “ข้าอยู่ในระดับเหนือมนุษย์หรือ?”ซ่างกวนอวิ๋นซีส่ายหน้าเล็กน้อย แต่แล้วก็อธิบายว่า “ข้ามีวิธีที่จะทำให้เจ้าดูเหมือนอยู่ในระดับเหนือมนุษย์ได้”“ดูเหมือนมีประโยชน์อันใดเล่า หรือว่าท่านสามารถหลบเลี่ยงข้อจำกัดของดินแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนเฉวียนได้?”“ทำได้อยู่แล้ว มิเช่นนั้นข้าจะสาธยายให้เจ้าฟังจนปากแฉะไปไย!”เมื่อเห็นซ่างกวนอวิ๋นซีมีท่าทางมั่นใจเสียเต็มประดา ฉินซูจึงมองนางลึกซึ้งกว่าเดิมยายเฒ่าบ้าผู้นี้ ดูท่าทางแล้วมิใช่คนที่มีเล่ห์เหลี่ยมธรรมดาในเวลานั้น ซ่างกวนอวิ๋นซีก็เปลี่ยนเรื่อง “รีบไปพักผ่อนเถิด ไว้เรื่องของหยวนหัวคลี่คลายลงเมื่อใด หอดารารักษ์จะจัดพิธีรับตำแหน่งให้เจ้า”“มิต้องกระมัง พวกท่าน
คำพูดนั้นทำให้ฉินซูตกใจในทันใด!เขาเบิกตากว้างแล้วกวาดตามองซ่างกวนอวิ๋นซีขึ้นลง จากนั้นก็ส่ายหน้ากล่าวว่า “อย่าพูดเล่นดีกว่า มู่หรงเซี่ยวเทียนอายุอานามน่าจะเกือบหกสิบแล้วกระมัง? อย่างมากท่านก็แค่ยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดเท่านั้น เขาจะเป็นศิษย์น้องของท่านได้อย่างไร?”เมื่อได้ยินคำกล่าวนี้ ซ่างกวนอวิ๋นซีก็ยกมือปิดปากหัวเราะร่วนนางหัวเราะจนตัวโยน เปี่ยมด้วยเสน่ห์ชวนหลงใหลเมื่อมองดูของใหญ่ที่สั่นกระเพื่อมขึ้นลง ในใจของฉินซูก็พลันเกิดความรุ่มร้อนขึ้นอีกครั้งเห็นเขาคลำจมูก แล้วถามว่า “มีกระไรน่าขำนักหนา?”“หาได้มีไม่ วันนี้ข้าอารมณ์ดี เรื่องที่เจ้าสังหารหยวนหัว ข้าจะมิถือสาหาความกับเจ้าแล้วกัน”“พูดกระไรของท่าน ในเมื่อท่านต่างหากที่เป็นต้นเหตุ ข้ายังมิได้คิดบัญชีกับท่านเลย”สีหน้าของซ่างกวนอวิ๋นซีพลันเย็นชา “ข้ายังพูดมิจบ เรื่องที่เจ้าสังหารหนานกงจื่อชิน และยังสังหารผู้อาวุโสของข้าอีกหนึ่งคน หนี้ก้อนนี้ จะคิดบัญชีอย่างไร?”เห็นซ่างกวนอวิ๋นซีเปลี่ยนสีหน้าเร็วยิ่งกว่าพลิกหน้าตำรา ฉินซูทำได้เพียงกางมืออย่างจนปัญญา“ยามนั้นที่ท่านมาไล่ตามข้า ข้าก็บอกไว้แล้วว่าหนานกงจื่อชินรนหาที่ตายเอง หา
ซ่างกวนอวิ๋นซีพาฉินซูเข้าไปด้านใน มู่หรงเซี่ยวเทียนก็เอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า “ท่านเซียนซ่างกวนบอกว่าจะมาวันพรุ่งมิใช่หรือ? เหตุใดจึงมาโดยกะทันหันเช่นนี้เล่า?”“ฝ่าบาท หม่อมฉันมาในครั้งนี้ ด้วยมีประสงค์ให้ฝ่าบาทออกพระราชโองการปิดข่าวการตายของหยวนหัวเพคะ”“ปิดข่าวหรือ?”มู่หรงเซี่ยวเทียนขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ในมิช้าก็เข้าใจความตั้งใจของซ่างกวนอวิ๋นซีเขาส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “เหล่าผู้ติดตามของหยวนหัวสองสามคน ออกจากเมืองหลวงจินหลิงไปหลายชั่วยามแล้ว ตัวข้าเพิ่งจะทราบข่าวเมื่อครู่นี้เอง จะปิดข่าวเอายามนี้เกรงว่าจะสายเกินไปเสียแล้ว”“หาได้สายเกินไปไม่เพคะ หม่อมฉันได้ส่งคนไปสกัดแล้ว ส่วนคนของหยวนหัวหม่อมฉันจะเป็นผู้จัดการเอง แต่ปากของเหล่าขุนนางในราชสำนักและราษฎรนั้นต้องขอให้ฝ่าบาทช่วยปิดเพคะ”“เรื่องนี้มิยาก ช่วงหลายวันมานี้หยวนหัวก่อเรื่องชั่วช้าไปทั่ว ราษฎรพากันเกลียดชังเขาเข้าไส้ การตายของเขา พวกชาวบ้านย่อมมิพูดถึงมากนักส่วนเหล่าขุนนางในราชสำนัก พวกเขาย่อมรู้ดีถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้ ย่อมมิโง่เขลานำความไปรายงานลับหลังข้าหรอกทว่า เพื่อป้องกันไว้ก่อน ตัวข้าจะให้คนไปตั้งด่านที่ชายแ
ซ่างกวนอวิ๋นซีเดินเข้าไป เลิกคิ้วถามว่า “เมื่อครู่พวกเจ้ากล่าวว่า หยวนหัวแอบหนีออกมาโดยมิได้บอกอ๋องเซียงหยางหรือ?”หูซางกวาดตามองซ่างกวนอวิ๋นซีผาดหนึ่งยามนี้ แม้ซ่างกวนอวิ๋นซีจะสวมผ้าคลุมหน้า ทำให้ผู้อื่นมิอาจมองเห็นใบหน้าที่งดงามราวเทพธิดาได้ชัดเจนแต่อาภรณ์ของนางกลับบางเบา ทำให้มองเห็นรูปทรงโค้งเว้างดงามสะกดใจนั้นได้อย่างชัดเจน!หูซางและพวกเหม่อมองจนน้ำลายแทบหก“ฮิ ๆ นึกมิถึงว่าแคว้นเล็ก ๆ อย่างเป่ยเยี่ยนจะมีสาวงามเช่นนี้ สวรรค์ช่างใจดีกับหูซางผู้นี้เสียจริง! พี่น้องทั้งหลาย ข้าขอลิ้มรสก่อน แล้วค่อย...”ยังมิทันกล่าวจบ เขาก็ถูกซ่างกวนอวิ๋นซีบีบคอ!คนอื่น ๆ เห็นดังนั้นก็ตกใจจนแทบสิ้นสติ!ซ่างกวนอวิ๋นซีกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “หากมิอยากตาย ก็จงตอบคำถามของข้ามา!”“อ่า คือว่า...” ทุกคนลังเลโดยฉับพลันกร๊อบ!ซ่างกวนอวิ๋นซีบีบคอหูซางหักในทันใดแล้วโยนร่างทิ้งไปข้าง ๆอีกสองสามคนที่เหลือต่างตกใจจนวิญญาณแทบหลุดออกจากร่าง มิคาดคิดว่าสตรีผู้มีรูปร่างโดดเด่นผู้นี้ จะลงมือสังหารคนอย่างโหดเหี้ยมโดยมิพูดพร่ำทำเพลง“ดูเหมือนพวกเจ้าจะเบื่อหน่ายชีวิตกันแล้วสินะ!” ซ่างกวนอวิ๋นซีมองพวกเ
ฉินซูกล่าวพึมพำ "อันดับแรก ข้าคือบุตรแห่งนักปราชญ์คนใหม่ของหอดารารักษ์ของพวกท่านอยู่แล้ว อีกอย่างมีพวกท่านเป่ยเยี่ยนคอยรับมือเป็นด่านหน้า แม้ว่าอ๋องเซียงหยางหมายจะระรานต้าเหยียน ก็ต้องผ่านด่านพวกท่านไปก่อนมิใช่หรือ?"แม้ปากจะพูดเช่นนั้น แต่ในใจก็ยังรู้สึกหวั่น ๆ อยู่มิใช่น้อยเพราะเขาเองก็มิแน่ใจว่า อ๋องเซียงหยางจะใช้อำนาจของตนเองกดดันต้าเหยียนในเรื่องอื่นหรือไม่ซ่างกวนอวิ๋นซีพูดอย่างมิค่อยสบอารมณ์นัก "เจ้าพล่ามกระไรนักหนา ตกลงคิดหาวิธีได้หรือยัง?""คิดได้แล้ว" ฉินซูพูดด้วยท่าทีจริงจัง"รีบว่ามา!""ก่อนอื่นตอนนี้ต้องปิดข่าวเรื่องการตายของหยวนหัวไปก่อน แล้วค่อยดูสถานการณ์กันต่อไป!"ซ่างกวนอวิ๋นซีขมวดคิ้ว "นี่คือวิธีที่เจ้าคิดได้หรือ?"ฉินซูพยักหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง"ดูเหมือนเจ้าจะคิดว่า คำพูดของข้าก่อนหน้านี้แค่ขู่เจ้าเท่านั้นสินะ"เมื่อสิ้นเสียงพูด กระบองหนามแหลมก็ปรากฏขึ้นในมือของนางแล้ว!ฉินซูรีบถอยร่นไปหลายก้าว "ใจเย็นก่อน ข้ามิได้หลอกท่าน ข้าจริงจังนะ"ซ่างกวนอวิ๋นซีโบกกระบองหนามในมือ พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย "เรื่องที่จะหักขาสกปรกของเจ้า เรื่องนั้นข้าก็พูดจริงเช่นกัน!"
ฉินซูจึงได้กระจ่างในทันที แล้วถามด้วยความสงสัยอีกว่า “แล้วท่านเล่าอยู่ในระดับใด?”“ข้ามิเหมือนจอมยุทธ์! ยิ่งกว่านั้น ข้าอยู่ในระดับใดนั้นมิได้เกี่ยวข้องกับวิธีการที่เจ้าจะใช้รับมือกับอ๋องเซียงหยาง”“จะมิเกี่ยวข้องได้อย่างไร หากพลังของท่านแข็งแกร่งกว่าอ๋องเซียงหยางผู้นั้น ท่านก็มิจำเป็นต้องเสียแรงคิดหาวิธีรับมือแล้ว ท่านแค่ลงมือสังหารเขาเสียก็สิ้นเรื่องแล้ว”ซ่างกวนอวิ๋นซีส่ายหน้า “แค่ระดับเหนือมนุษย์ ข้ามิได้เห็นอยู่ในสายตา ทว่าเจ้าคิดกระไรตื้น ๆ ในฐานะอ๋องแห่งแคว้นฉีผู้กุมอำนาจทางการทหารและการปกครอง มีหรือที่จะไม่มีกลุ่มอำนาจแข็งแกร่งคอยหนุนหลัง”ฉินซูถามด้วยความประหลาดใจว่า “หมายความว่ากลุ่มอำนาจเบื้องหลังอ๋องเซียงหยางมีผู้ที่แข็งแกร่งกว่าท่านหรือ?”แม้ซ่างกวนอวิ๋นซีจะมิอยากยอมรับ แต่สิ่งที่ฉินซูคาดเดานั้นเป็นความจริงดังนั้นนางจึงทำได้เพียงพยักหน้าเล็กน้อยเมื่อเห็นดังนั้น สีหน้าของฉินซูก็พลันเคร่งขรึมขึ้นผู้ที่แข็งแกร่งกว่าซ่างกวนอวิ๋นซี เกรงว่าคงมีเพียงหัวหน้าโหรหลวงเท่านั้นที่สามารถรับมือได้ในตอนนี้เอง ซ่างกวนอวิ๋นซีก็กล่าวขึ้นอีกว่า “อีกอย่างยังมิต้องกล่าวถึงว่าอำนาจเ
มู่หรงเซี่ยวเทียนต้องการพบฉินซู!ซ่างกวนอวิ๋นซีกลับกล่าวอย่างอ้อมค้อมว่า “บุตรแห่งนักปราชญ์เพิ่งมาถึงหอดารารักษ์ เดินทางมาเหน็ดเหนื่อย บัดนี้หลับใหลไปแล้ว วันพรุ่ง วันพรุ่งหม่อมฉันจะพาเขาเข้าวังไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทด้วยตนเอง!”เมื่อได้ยินคำกล่าวนี้ มู่หรงเซี่ยวเทียนก็โกรธขึ้งในทันทีข้ารออยู่ที่นี่ตั้งนานสองนาน บัดนี้เจ้ากลับให้ข้ารอถึงวันพรุ่งอีกรึ?แม้ในใจจะเดือดพล่านเพียงใด แต่ด้วยฐานะของซ่างกวนอวิ๋นซี เขาจึงทำกระไรมิได้ดังนั้นเขาจึงกล่าวเสียงเรียบว่า “ถ้าเช่นนั้น วันพรุ่งข้าจะคอยท่านเซียนมาเยือน!”พูดจบก็ลุกขึ้นยืนเมื่อมู่หรงเซี่ยวเทียนเดินมาถึงประตูก็หยุดฝีเท้าลงกะทันหัน และหันกลับไปพูดด้วยน้ำเสียงแฝงความนัยว่า “ท่านเซียนซ่างกวน ข้ายังอยากเตือนท่านอีกสักครั้ง อ๋องเซียงหยางกุมอำนาจทางการทหารและการปกครอง อีกทั้งวรยุทธ์ยังลึกล้ำเกินหยั่งถึง การยั่วยุคนเช่นนี้ มิใช่สิ่งที่ปราชญ์พึงกระทำ!”พูดจบก็สะบัดแขนเสื้อจากไปด้วยความขุ่นเคืองซ่างกวนอวิ๋นซีขมวดคิ้วเรียวสวย รู้สึกจนปัญญาอยู่เล็กน้อยที่ฉินซูลงมือกับหยวนหัวถึงตายนั้นเป็นสิ่งที่นางคาดมิถึงแต่เมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้นางก็ทำได้