แคว้นชิงโจว
ท้องพระโรง : ประชุมเช้า
“แคว้นเยี่ยน ส่งจดหมายแสดงเจตจำนงค์ ประสงค์ที่จะเชื่อมสัมพันธไมตรีระหว่างแคว้น โดยการยกองค์หญิงให้มาแต่งงานกับองค์ชายแคว้นชิงโจวของเรา ขุนนางทั้งหลาย เรื่องนี้ พวกท่านมีความเห็นประการใด”
“ทูลฝ่าบาท แคว้นเยี่ยนเป็นเมืองหน้าด่าน ที่มีเขตติดต่อกับแคว้นซูเล่อ ที่มีอำนาจพอๆ กับเรา เป็นการดีที่จะสานสัมพันธไมตรี พ่ะย่ะค่ะ”
เสนาบดีกรมกลาโหมกราบบังคมทูลความเห็นแก่ฮ่องเต้
“ทูลฝ่าบาท แคว้นเยี่ยนนั้นพืชพันธุ์ธัญญาหารล้วนสมบูรณ์ อีกทั้งชายแดนยังมีปราการน้ำขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อแคว้นชิงโจวของเรา หากมีความจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือเวลามีภัยพิบัติพ่ะย่ะค่ะ”
เสนาบดีกรมโยธากราบบังคมทูล
“อืม เราก็เห็นด้วยกับพวกท่าน ซึ่งพอคิดๆ ดูแล้ว เรามีแต่ได้ มากกว่าเสีย”
“พระบารมีฝ่าบาทแผ่ไปกว้างไกล ทุกแคว้นต่างอยากผูกมิตรพ่ะย่ะค่ะ”
ราชเลขาทูลสำทับ ฮ่องเต้ถังจินพยักหน้าช้าๆ
“ถ้าอย่างนั้น พวกท่านเห็นว่า ผู้ใดเหมาะสมที่จะเข้าพิธีสมรสในครั้งนี้”
เหล่าขุนนางต่างมองหน้ากัน และเป็นเสนาบดีกรมกลาโหม ซึ่งก้าวออกมาเพื่อทูลความเห็น
“กระหม่อมเห็นว่า ชินอ๋อง องค์ชายถังมู่เหริน ถึงวัยที่เหมาะสมจะแต่งงานในเวลานี้ที่สุดพ่ะย่ะค่ะ เนื่องจากชินอ๋องเชี่ยวชาญการศึก และมักจะไปประจำการที่ค่ายทหารแถบชายแดนเสมอ คุ้นเคยทั้งภูมิศาสตร์ และประชาชน หากชินอ๋องอภิเษกครั้งนี้ ถือว่าเหมาะสมกว่าผู้ใดพ่ะย่ะค่ะ”
เหล่าขุนนางล้วนพยักหน้าเห็นด้วยกับเสนาบดีกลาโหม
“ชินอ๋องอย่างนั้นหรือ แต่ตอนนี้เขาทำศึกอยู่ที่ชายแดนเหนือ ไม่ได้ปรึกษาเขา เกรงว่า ….”
“ฝ่าบาท ที่พระองค์ทำ เพราะหวังดีกับชินอ๋อง เพื่อความเป็นปึกแผ่นของแผ่นดิน ข้าพระองค์คิดว่า เรื่องนี้ ชินอ๋อง ไม่น่าจะขัดข้องพ่ะย่ะค่ะ”
“ดี ถ้าอย่างนั้น ตกลงตามนี้ ออกราชโองการ พระราชทานอภิเษกให้ชินอ๋องแต่งกับองค์หญิงแค้วนเยี่ยนเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรี”
ชายแดนเหนือ
“พระราชโองการมา”
“ชินอ๋อง องค์ชายถังมู่เหริน รับราชโองการ”
ถังมู่เหริน ชินอ๋องแห่งแคว้นชิงโจว พระราชโอรสคนที่ 2 ของฮ่องเต้ถังจิ้นหรง แคว้นชิงโจว เชี่ยวชาญการรบ และทำศึกสงคราม ขึ้นชื่อเรื่องความเก่งกาจทางการทหาร โหดเหี้ยม เถรตรง ยุติธรรม หากถอดชุดเกราะออก เขาถือว่าเป็นองค์ชายที่รูปงามคนหนึ่ง ผิวขาว ละเอียดราวสตรี สูง หน้าตาได้สัดส่วน รูปร่างกำยำเนื่องจากเขาเป็นผู้ฝึกยุทธ และเป็นแม่ทัพดูแลไพร่พลฝั่งชายแดนทางเหนือ
“แต่งงานงั้นหรือ เรื่องบ้าอะไรกัน เว่ยอี เอาผ้ามา”
ถังมู่เหรินลุกขึ้นจากอ่าง รูปร่างเขาที่ดูกำยำยามโดนน้ำช่างน่ามองนัก หน้าอกและกล้ามที่เป็นมัดๆ ที่เห็นได้อย่างชัดเจน อาจจะทำให้ผู้พบเห็นไม่อาจละสายตาได้เลย
เว่ยอีสวมเสื้อคลุมให้เขา ก่อนที่เขาจะเดินออกจากห้องอาบน้ำมาแต่งชุดลำลอง
“เว่ยอี เจ้าไปเมืองเยี่ยนกับข้า”
“ท่านอ๋อง ท่านจะไปสืบข่าวของว่าที่พระชายาหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“จู่ๆ ก็มีราชโองการให้ข้าแต่งงาน ก่อนหน้านั้นก็ยกเลิกงานแต่งข้ากับบุตรีเจ้ากรมคลัง ข้าอุตส่าห์หนีมาชายแดน ยังไม่พ้นราชโองการแต่งงานบ้าๆ นี่อีก ข้าจะไปดูเสียหน่อย ว่าคนที่จะมาเป็นว่าที่พระชายาที่จะแต่งกับข้า เป็นคนเช่นไร”
“ท่านอ๋อง ท่านคงไม่คิดที่จะ หนีการอภิเษกใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“หึ หนีจากอีกคน ก็เจออีกคนอยู่ดีมิใช่หรือ สู้แต่งให้จบๆ ไป จะได้ไม่ต้องประทานใครมาให้ข้าอีก”
แคว้นเยี่ยน : เมืองเหยียน
“ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ วันนี้ข้าได้ข่าวว่าองค์หญิงจะเสด็จผ่านทางนี้ นางจะเดินทางไปสักการะที่วัดกวนอิมบนเขา หากเราดักรอที่โรงเตี๊ยมนี้ อาจจะเจอนางพ่ะย่ะค่ะ”
“ดี งั้นเจ้าไปจองห้องพักก่อน ข้าจะเดินดูแถวนี้หน่อย”
“พ่ะย่ะค่ะ”
เมืองเหยียน ถือเป็นเมืองที่ติดชายแดนด้านเหนือที่ถังมู่เหรินดูแลอยู่ การเดินทางจึงใช้เวลาไม่นาน การค้าขายที่นี่ เน้นพวกเครื่องนุ่งห่ม ผ้าไหม เครื่องประดับเงิน ทับทิม และพลอยเป็นหลัก เนื่องจากเป็นภูเขาสูง แหล่งทรัพยาการจึงมีมาก และอากาศก็หนาวเย็นเกือบตลอดทั้งปี ผู้คนส่วนใหญ่ที่นี่จะปลูกพืชเมืองหนาวเป็นหลัก
ถังมู่เหรินเดินดูความคึกคักของตลาดอย่างเพลิดเพลิน เขาหวังว่าจะไม่มีสงคราม เพื่อให้ทุกคนที่นี่มีความสุขเช่นนี้ไปตลอด ผู้คนยิ้มแย้มแจ่มใส การค้าขายคึกคัก ใต้หล้าร่มเย็น เขาแวะดูกำไรหยกขาว พลางนึกไปถึงสตรีที่เขาเคยหมั้นหมายเมื่อครั้งก่อน
ชิงอี้เหนียง บุตรีเสนาบดีกรมคลัง นางชอบสวมเครื่องประดับสวยงาม และทุกครั้งที่เขากลับจากชายแดน มักจะซื้อไปฝากนางเสมอ จนกระทั่งปีกลาย ที่นางบอกเขาว่า นางต้องเข้าพิธีอภิเษกเป็นพระชายาขององค์รัชทายาท นางอ้างว่าเขาไม่สนใจนาง และให้ความมั่นคงกับชีวิตนางไม่ได้ เขาออกสนามรบตลอดเวลา แต่นางต้องการคนที่รัก และดูแลเอาใจใส่นางใกล้ๆ ตัว ทำให้นางมอบใจให้กับพี่ชายแท้ๆ ของเขาเพราะความใกล้ชิดที่ทั้งคู่มักจะพบเจอกันในงานพิธีสำคัญต่างๆ ในวังหลวง เขามองกำไรหยกนั้นอย่างใจลอย และวางมันลง หันกลับจะเดินออกไป เขาไม่ทันระวัง จึงทำให้ชนกับสตรีนางหนึ่งซึ่งเดินผ่านเขา
“โอ๊ะ ขออภัยแม่นาง ข้าเดินไม่ระวัง”
เขาคว้าแขนเสื้อนางได้ก่อนที่นางจะล้มลง นางสวมชุดสีขาว สวมเครื่องประดับบนศีรษะ แต่นางใช้ผ้าสีขาวปิดตั้งแต่จมูกลงมาถึงคาง แต่ตาของนางกลับสวยยิ่งนัก
“ไม่เป็นไร ข้าก็ไม่ทันระวัง ขอบคุณ”
“ท่านเป็นอะไรหรือเปล่า”
สตรีที่มาด้วยกันถาม
“ข้าไม่เป็นไร รีบไปเถอะ เดี๋ยวไม่ทัน”
นางย่อคำนับเข้าอย่างนอบน้อมและเดินจากไป เขามองตามพวกนางไป พวกนางดูรีบเร่ง เขาไม่ทันจะเอ่ยอะไรมาก นางก็ไปเสียแล้ว ถังมู่เหรินกำลังจะออกจากที่นั่น เท้าเขาก็เกิดไปเหยียบอะไรสักอย่างจนเขาต้องก้มมอง
เป็นถุงหอมห้อยป้ายหยกอันหนึ่ง ดูประณีตและกลิ่นหอมพิเศษยิ่งนัก เขาหันกลับไป แต่พวกนางก็ไปไกลจนเขาตามไม่ทันเสียแล้ว เขาจึงหยิบถุงหอมนั้น และเดินกลับโรงเตี๊ยม เว่ยอีรอเขาอยู่
“ท่านอ๋อง เห็นว่าขบวนขององค์หญิง จะมาพักค้างแรมที่โรงเตี๊ยมนี้ ก่อนขึ้นเขาเช้าวันพรุ่งนี้พ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยจองห้องไว้แล้ว เป็นห้องพักใกล้ๆ กับห้องพักขององค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ"
“ดี ข้าหิวแล้ว ไปหาอะไรกินกัน”
เขานั่งอยู่ไม่นาน ดูเหมือนคณะขององค์หญิงจะมาถึงพอดี นางสวมชุดสีส้ม ตกแต่งเครื่องประดับงดงามบนศีรษะ ท่าทางหยิ่งยโสไม่เป็นมิตร แต่ต้องยอมรับว่านางเป็นสตรีที่ดูงดงามยิ่งนัก
“ท่านอ๋อง นั่นองค์หญิงจ้าวซีเหมย ว่าที่พระชายาของพระองค์”
ชินอ๋องมองนางอย่างพินิจ กิริยามารยาทก็เหมือนหญิงสูงศักดิ์ทั่วไป แค่สายตาดูไม่ค่อยเป็นมิตร ดูยโสโอหังมากไปหน่อย ท่าทางจะเอาแต่ใจตัวเอง
“นี่ชาอะไรกัน ไปหาชาที่ดีกว่านี้มาให้ข้า”
นางปัดกาชาหล่นแตกเกลื่อนพื้น นางกำนัลต่างตกใจ รวมถึงคนงานในร้าน
“องค์หญิงเพคะ ที่นี่คือโรงเตี๊ยมที่ดีที่สุดในย่านนี้ก่อนออกนอกเมืองแล้วเพคะ ขออภัยองค์หญิงโปรดอภัย...”
“เพี๊ยะ”
นางตบนางกำนัล นางรีบคุกเข่าขออภัย
“หุบปาก ข้าแค่อยากกินชาที่ดีกว่านี้ ไม่ใช่จืดชืดอย่างน้ำล้างจานเช่นนี้ ไปหามาให้ข้าเดี๋ยวนี้”
“เพคะองค์หญิง บ่าวจะไปเดี๋ยวนี้”
นางกำนัลอีกสองคนรีบพานางไปจัดหาอาหารใหม่มาให้นาง จ้าวซีเหมยทำท่าหงุดหงิดอยู่ที่โต๊ะ
"ทำไมข้าต้องแต่งกับนาง สตรีไร้มารยาท หลงตัวเอง เย่อหยิ่งแบบนี้ นั่นไม่ใช่สตรีที่ข้าต้องการ"
“ท่านอ๋อง เบาเสียงลงหน่อยพ่ะย่ะค่ะ เดี๋ยวนางได้ยิน”
“ช่างน่ารังเกียจ……….”
“เจ้ากล้าดีอย่างไร นี่เป็นยาที่รักษาไข้หวัดของท่านอ๋อง เจ้าเป็นใคร ใหญ่มาจากไหน มาถึงจวนข้า ด่าคนของข้า ตบคนของข้า แล้วยังกล้าทำลายข้าวของ เจ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วใช่หรือไม่”“จวนของเจ้าอย่างนั้นหรือ นังบ้านนอก ป่าเถื่อน นี่เจ้าจะทำอะไรข้า เจ้ากล้าตบข้า อย่าคิดว่าเรื่องนี้จะจบง่ายๆนะ”“เพี๊ยะ”ซีเฟยตบชิงอี้เหนียงไปอีกทีเพื่อเตือนสตินาง และหยิบเศษแก้วที่หล่นพื้น ซึ่งยังมียาอยู่ด้านใน นางจับปากชิงอี้เหนียง บีบออก และเทยาที่เหลือกรอกเข้าปากนางอย่างรวดเร็วจนนางดิ้น แต่ไม่มีใครกล้าพอที่จะเข้าไปห้าม“แหวะ แค่กๆ เจ้า นังแพศยา เจ้าเอายาที่ตกพื้นแล้ว ให้ข้ากินอย่างนั้นหรือ นังสารเลว”“เมื่อกี้ เจ้าบอกว่า เจ้าอยากพิสูจน์ว่ายานี่มีพิษหรือไม่ ไม่ใช่หรือ ข้าก็แค่ ช่วยป้อนยาให้เจ้า เพื่อเป็นการพิสูจน์อย่างไรล่ะ ว่าเจ้ากินแล้ว จะตายหรือไม่”“สารเลว ข้าจะ..”“เจ้าจะทำไม เจ้ามองหน้าข้าไว้นะ รอบนี้แค่ยาที่ตกพื้น ยังดีที่ไม่ใช่เศษแก้วในมือข้า เจ้าภาวนาเอาไว้เถอะ อย่าได้คิดจะมีเรื่องกับข้า เพราะข้า ไม่ใช่ตุ๊กตาแสนดีที่จะอยู่เฉยๆ ให้เจ้ารังแกได้ ถ้าเจ้าอยากลองดู ข้าก็ไม่ขัดข้อง”“นี่เจ้า เจ้า”“เสียงเอะ
“คำพูดนี้ ใช้กับคนได้หรือไม่”ซีเฟยหันมามองหน้าเขา สายตาจริงใจพร้อมกับยิ้มให้“ได้สิเพคะ คนเราทุกคน ล้วนมีคุณค่าในตัวเองทั้งนั้น ไม่มีใครมาลดคุณค่าในตัวเราได้หรอกเพคะ”ไม่มีใครเคยพูดกับเขาเช่นนี้มาก่อน ตั้งแต่เล็กจนโต เขาโตมาพร้อมกับการแย่งชิง และบอกว่า ผู้แพ้ ย่อมเป็นคนที่ไร้ค่า ผู้ชนะเท่านั้นที่จะอยู่รอดได้ แม้แต่ตัวเขาเอง ก็รู้สึกว่าต้องแย่งชิงเท่านั้น จึงจะเป็นผู้ชนะ และการสูญเสียชิงอี้เหนียงในครั้งนั้น เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าแพ้ และไร้ค่า ไม่เคยมีใครบอกเขาว่าทุกคนเกิดมาล้วนมีคุณค่าในแบบของตน นางช่างแตกต่างจากผู้คนที่เขารู้จัก และคุ้นเคยในสังคมของวังหลวงเหลือเกิน“เจ้า คิดแบบนี้จริงๆ น่ะหรือ เจ้าไม่คิดบ้างหรือว่า ผู้ชนะเท่านั้น ที่สมควรถูกยกย่อง”“แล้วท่านว่า ผู้ชนะของท่าน คือการชนะอะไรล่ะเพคะ แล้วคนผู้นั้น สามารถเอาชนะทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้ได้หรือเพคะ”“ได้สิ เหตุใดจะไม่ได้ล่ะ ก็ในเมื่อ…”“ถ้าอย่างนั้น พระองค์ห้ามมิให้ตัวเองป่วยได้หรือไม่เพคะ”“ไม่ได้”“ห้ามไม่ให้อายุเพิ่มมากขึ้น หรือแก่ชราได้หรือไม่เพคะ”“นั่นก็ ไม่ได้เช่นกัน”“สุดท้าย พระองค์สามารถเอาชนะความตายหรือไม่เพคะ”
ที่นางบอกท่านอ๋องว่านางเลือกที่จะเป็นว่าที่พระชายาองค์รัชทายาทแล้ว หลังจากที่ท่านอ๋องออกศึกไป เพราะนางต้องการคนที่อยู่กับนาง มีเวลาดูแลนางอย่างใกล้ชิด นางให้เหตุผลว่า ท่านอ๋องต้องออกศึกอยู่เนืองๆ ไม่ค่อยได้กลับเมืองหลวง นางไม่มีโอกาสได้เจอท่านอ๋องบ่อยเท่าไหร่ และท่านอ๋องไม่สามารถดูแลนางได้ หากอภิเษกกับท่านอ๋อง นางอาจจะต้องอยู่แต่ในจวน เฝ้าตำหนักอ๋องอย่างเดียวดาย ดังนั้น นางถึงเลือกองค์รัชทายาท ซึ่งวันนั้น ท่านอ๋องพึ่งกลับมาจากการปราบกบฏที่เมืองหยาง และท่านอ๋องได้ซื้อเครื่องประดับเป็นชุดปิ่นทองพร้อมกำไรทองประดับไพลินสีน้ำเงินกลับมาเพื่อจะมอบให้นางเป็นของหมั้นหลังจากที่ถูกนางปฏิเสธไป เขาเอาเครื่องประดับที่ซื้อมา ทำลายทิ้งทั้งหมด อีก 5 วันถัดมา เขาทูลขอฮ่องเต้ เพื่อย้ายไปประจำการชายแดนทางเหนือ ซึ่งติดกับแคว้นเยี่ยนนั่นเอง……มาวันนี้ที่นางมา กลับมาให้เหตุผลว่าเป็นความเห็นชอบของผู้ใหญ่ นี่มันช่างเป็นเรื่องที่น่าขำเสียจริง ไม่แปลกใจที่ท่านอ๋องจะตอบกลับอย่างไร้ไมตรี“เว่ยอี จะเอาของพวกนั้นไปที่ใดหรือ”“ทูลพระชายา ท่านอ๋องสั่งให้ทำลายทิ้งพ่ะย่ะค่ะ”ซีเฟยรู้สึกแปลกใจ ข้าวของพวกนี้ ล้วนแต่เป็
“นางได้แจ้งธุระหรือไม่”“คุณหนูชิงบอกเพียงว่า แวะมาเยี่ยมพ่ะย่ะค่ะ”ถังมู่เหรินมองหน้าพระชายา จึงได้บอกเว่ยอี“เจ้าไปบอกนางว่าเดี๋ยวข้าไปพบที่ห้องรับแขก”“พ่ะย่ะค่ะ”“พระชายา รอก่อน”“ท่านอ๋อง มีอะไรเพคะ”“เจ้า ไปรับแขกกับข้า”“แต่ข้า ไม่ได้รู้จักกับนางนะเพคะ”“น้องสี่เจ้าก็ไม่เคยรู้จัก เหตุใดต้อนรับได้ล่ะ”“ก็ได้เพคะ”ซีเฟยพอจะทราบ ชิงอี้เหนียง คืออดีตคนรักของเขา นางเองก็ไม่อยากพบเจอ เพื่อไม่อยากมีปัญหาทีหลัง แต่ในเมื่อเลี่ยงไม่ได้ ตามมารยาทก็ควรต้องไปห้องรับแขก จวนอ๋องเมื่อชินอ๋องและซีเฟยเดินเข้ามา ก็พบกับแขกที่มาเยือน นั่งจิบชาอยู่ในห้องรับแขก เมื่อเห็นชินอ๋องเดินเข้าห้องมา นางก็รีบลุกขึ้นคำนับท่านอ๋อง“ชิงอี้เหนียง คารวะท่านอ๋องเพคะ”“เชิญคุณหนูชิงตามสบาย”“พี่มู่เหริน เหตุใดจึงทำตัวห่างเหินกับข้าแบบนี้เพคะ”นางไม่พูดเปล่า แต่เดินเข้ามาใกล้และเอื้อมมือมาจับเขาด้วย ซีเฟยจึงได้เห็นนางชัดๆ นางเป็นสตรีที่งดงามมาก ชุดแดงที่นางสวมใส่มาวันนี้ปักทอด้วยผ้าอย่างดี ดูด้วยสายตาปราดเดียวก็รู้ว่านางต้องอยู่ในตระกูลที่ไม่ธรรมดาแน่นอน แต่การกระทำที่ไม่สำรวมกิริยาแบบนี้ ซีเฟยเองก็พึ่งจะเคยเห็น ช
ถังมู่เหรินอุ้มจ้าวซีเฟยเข้ามาในห้องพักสำรอง คืนนี้พวกเขาต้องนอนที่นี่ด้วยกัน เขาค่อยๆ วางนางลงอย่างเบามือเพราะกลัวว่านางจะตกใจตื่น แต่ก็คงเพราะซีเฟยอ่อนเพลีย และต้องใช้เวลาในการปรุงยาครึ่งค่อนคืน ทำให้นางหลับสนิทโดยไม่รู้สึกตัวเลยสักนิดมู่เหรินมองหน้านางตอนนอนหลับสนิท ขนตานางงอนงามเป็นระเบียบ ใบหน้าที่หมดจด ไร้เครื่องประทินโฉม ผิวช่างละเอียดน่าสัมผัส ปากบางๆ นี่ เขาเคยได้ลิ้มลองเพียงไม่กี่ครั้ง แต่ก็ไม่เคยลืมรสชาตินั้น นางช่างอ่อนหวาน น่าหลงใหล“คงเหนื่อยสินะ พระชายา”มู่เหรินก้มลงจูบหน้าผากนาง ก่อนที่จะจัดให้นางนอนดีๆ เขาถือโอกาสนี้ นอนข้างๆ นาง และดึงผ้าห่มขึ้นมาเพื่อห่มให้พวกเขา ซีเฟยนอนนิ่ง เขานอนตะแคงมองนางอยู่นาน ก่อนที่เขาจะนอนหลับสนิทไป…..วันรุ่งขึ้น…..อาจเพราะเมื่อคืน อากาศหนาวเย็น ตอนนี้ ซีเฟยนอนซบอยู่กับอกของชินอ๋องโดยที่นางไม่รู้ตัว ถังมู่เหรินนั้น ตื่นนางแล้ว แต่เขารู้สึกว่าไม่อยากขยับตัว เพราะเขาชอบที่นางนอนท่านี้ เขารู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก นางเริ่มขยับตัว เขาจึงแกล้งหลับต่อ ซีเฟยลืมตาขึ้น นางหันมาตกใจเล็กน้อย นี่นางกำลัง นอนกอดเขาอยู่ แล้วเขา มานอนกับนางได้อย่าง
“พระองค์ทรงหมายถึง องค์รัชทายาท”“ใช่ เพียงแต่ข้าแค่ไม่เข้าใจว่า เหตุใด เขาถึงอยากเร่งเอาชีวิตข้ามากนัก ก่อนหน้านี้ เขาไม่ทำแผนที่ต่ำทรามแบบนี้ ตั้งแต่เราแต่งงานกัน ก็มีเรื่องแบบนี้มาเรื่อยๆ ข้า ไม่เข้าใจ”“พระองค์คิดว่า มีคนอื่นร่วมทำการครั้งนี้ด้วย”“ข้าก็เริ่มนึกไม่ออกแล้ว หากต้องการชีวิตข้า ก็เพียงแค่วางยาข้าก็จบ แต่เหตุใดต้องทำร้ายเจ้าด้วย นี่คือสิ่งที่ทำให้ข้าไม่มั่นใจจุดประสงค์ของเขา”“แย่แล้ว การที่ข้าทำแบบนี้ ก็เท่ากับว่าแหวกหญ้าให้งูตื่นเสียแล้ว”“ข้ากลับคิดกลับกันนะ ว่าให้เขารับรู้ไปเลยว่าเรารู้แผนชั่วนี่ เขาจะได้เปิดเผยตัวเสียที จะได้ไม่ลอบกัดอีก"“แล้วห้องที่ถูกวางยาพิษล่ะ ต้องทำอะไรบ้าง”“เรื่องนี้ไม่ยากเพคะ ที่ให้ปิดไว้ เพราะพิษจะได้ไม่ระเหยออกมาภายนอก มาจากกำยาน ก็แก้ด้วยกำยาน คืนนี้หม่อมฉันจะทำยาถอนพิษ และให้เอาไปจุดวันพรุ่งนี้ ก็ไม่มีปัญหาแล้วเพคะ”“แต่ว่าตอนนี้มันดึกแล้วนะ เจ้าพึ่งจะฟื้นจากพิษขึ้นมา”“ไม่เป็นไรเพคะ ใช้เวลาแค่ไม่นาน สมุนไพรและของที่ต้องใช้มีอยู่แล้ว อันเหมยก็พร้อมแล้ว เดี๋ยวหม่อมฉันจะไปห้องยา เพื่อปรุงยาเพื่อแก้พิษให้ในห้องเพคะ พระองค์ พักผ่อนไปก่อนน